บทที่ 264 – ตัวตนที่มีไว้เพื่อชาร์ล็อต
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรครับ?”
จู่ๆ อันน่าก็พูดขัดขึ้นมาก่อน แต่ฮิสครอมก็ไม่ได้หัวเสียเขายิ้มด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรพลางพูดตอบกลับอันน่า
อันน่ากล่าวถามอย่างเรียบง่ายว่า
“อิสระของชาร์ล็อตล่ะ นายต้องสัญญากับฉันมาก่อนว่านายจะมอบอิสระให้กับเธอ”
“อ้อ เรื่องนั้นงั้นเองสินะครับ”
เขาก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับชาร์ล็อต
“อันที่จริงถึงจะบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งแต่สถานะของคนที่พวกเรามาเชื้อเชิญโดยตรงนั้นต่างจากผู้ศรัทธา เรียกอีกแบบว่าผู้สนับสนุน”
“ซึ่งพอทำสัญญาเสร็จพวกเราจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปตามโชคชะตาเพราะแบบนั้นพวกเขาเหล่านั้นถึงจะได้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกได้ หากพวกเรามัวแต่จำกัดกรอบคนเหล่านั้นไว้ก็มีแต่ข้อเสีย”
“ดังนั้นเธอจะมีอิสระมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน”
อันน่าที่ได้ฟังแบบนั้นก็พยักหน้า ใช่ สุดท้ายแล้วเธอก็ยังเป็นเธอ คนที่คอยปกป้องชาร์ล็อตทั้งในตอนนี้และในอนาคต
เธอจะปกป้องเด็กคนนั้น ปกป้องความคิดและปกป้องอนาคตเด็กคนนั้นไว้ นั่นคือเหตุผลที่เธอเกิดมาบนโลกใบนี้
เธอที่เคยหลงทางตกอยู่ในบ่อแห่งความอิจฉาริษยาแต่ก็สามารถหลุดพ้นออกจากมันมาได้ มันเลยทำให้เธอตระหนักว่าสิ่งนี้สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
เธอจะไม่มีความสุขก็ไม่เป็นไร เธอจะหายไปก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะนั่นคือสิ่งที่มันเหมาะกับเธอแล้ว ห้ามหลงรักใครสักคนที่เหมือนๆ กับชาร์ล็อต
“นั่นแหละคือข้า.. ตัวตนที่เรียกว่า ด้านลบ น่ะ”
เธอคิดแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทั้งเศร้าสร้อยและมีความสุขในเวลาเดียวกัน ราวกับว่ารอยยิ้มนี้มันอัดแน่นด้วยความรู้สึกอันมากมาย
“สิ่งที่ข้าต้องทำคืออะไร”
อันน่าไม่มีทางเลือกมากนัก อย่างเดียวที่เธอทำได้มีเพียงเชื่อ.. จำเป็นต้องเชื่อเท่านั้น เพราะนี่คือแสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่เธอสามารถไขว่คว้าได้
คนอย่างเธอนอกจากชาร์ล็อตแล้วก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครอยากจะจดจำ อันที่จริงเธอเชื่อว่าด้วยนิสัยของเธอหากมีคนรู้ว่าเธอมีตัวตนออยู่
เธอก็คงจะกลายเป็นคนที่ถูกรังเกียจ ตรงกันข้ามกับชาร์ล็อต เรื่องนั้นต่อให้ไม่เกิดเธอก็รู้ เธอต้องรู้อยู่แล้ว เพราะหลายปีที่เธอเกิดมาเธอจมปลักกับสิ่งที่เรียกว่าอคติหรือด้านลบเสมอมา
นับประสาอะไรจะไม่เข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นตัวตนที่น่ารังเกียจขนาดไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เธอพึ่งทำกับชาร์ล็อตไป
แล้วเธอก้รู้ดียิ่งกว่าใครว่าหากต้องการบางสิ่งบางอย่างต้องมีการแลกเปลี่ยนที่เท่ากัน ต่อให้ฮิสครอมยังไม่บอก..
เธอก็คงพอจะรู้แล้วว่าการคืนชีพของชาร์ล็อต บางทีมันอาจจะทำตัวเธอหายไป… แต่นั่นก็ไม่เป็นไร
เพราะเธอต้องเลือก.. หน้าที่เธอคือมีแค่ปกป้องชาร์ล็อตเท่านั้น มีแค่นั้นจริงๆ ..
…..
….
…
ดวงตาของชาร์ล็อตลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอหันไปรอบด้านพร้อมกับความสับสน ก่อนที่เธอจะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้
เธอจำได้ว่าเธอกำลังตัดสินใจที่จะออกเดินทางจากโรงเรียนแห่งนี้ สำหรับเธอการอยู่ที่นี่ไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอสักเท่าไหร่
พร้อมกับนึกถึงเรื่องที่เลทิเซียทำกับตัวเอง.. แต่ชาร์ล็อตแม้จะกลัวเลทิเซียแต่เธอก็ยังเป็นด้านบวกดังนั้นเธอจึงไม่ได้โกรธแค้นอะไรเลทิเซีย
เพียงแต่ว่าไม่รู้จะทำยังไงเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอคนนั้นอีกอย่างพอเห็นท่าทางของเลทิเซียเมื่ออยู่ต่อหน้าตัวเธอเอง เลทิเซียเหมือนอึกอัก
มันเลยทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่า.. ที่ตรงนั้น.. ที่โรงเรียนแห่งนั้น ภายในห้องนอนห้องนั้นมันไม่เหมาะที่จะมีเธออยู่
อันที่จริงเธอแอบคิดมาตั้งนานแล้ว.. จนกระทั่งได้ไปเจอเลทิเซียในที่นั่น ที่ที่เธอไปฟังการบรรยายแล้วบังเอิญเจอกับเลทิเซียพอดี
ท่าทางของเลทิเซียมันทำให้เธออึดอัดใจ.. จนเธอกัดฟันตัดสินใจเดินทางจากไป.. แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะทิ้งกระดาษแผ่นเล็กๆ ไว้เป็นคำบอกลาเลทิเซีย
ก่อนที่จะออกเดินทางและนั่นเป็นความทรงจำส่วนสุดท้ายที่เธอจำได้ .. ตอนนี้เธอตื่นขึ้นมากลับมาอยู่บนรถม้าเสียอย่างนั้น
“ตื่นแล้วงั้นเหรอครับ?”
ในตอนนั้นเองเสียงที่เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนดังขึ้นจากด้านหลังส่งผลให้ชาร์ล็อตสะดุ้งหันกลับไปมองพบกับชายผมเหลืองทองคนหนึ่งนั่งอยู่
“เอ่อ… คือ”
“ข้าชื่อฮิสครอม”
เขากล่าวแนะนำตัว แต่ชาร์ล็อตจำคนคนนี้ได้ทันที พอเขาพูดชื่อตัวเอง
“อ่า คนเมื่อตอนนั้น”
ฮิสครอมไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงยิ้มอย่างลึกลับพร้อมพยักหน้าให้ชาร์ล็อต ก่อนที่ชาร์ล็อตจะตั้งข้อสงสัย..
แถมชุดตอนนี้เธอก้เหมือนจะสวมใส่ชุดที่ไม่ใช่ของตัวเอง
“เอ่อ.. ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเหรอ.. แล้วที่นี่คือที่ไหน..?”
“เอ้ะ ก็เจ้าเป็นคนขอติดรถม้าข้ามาเองนี่ แล้วที่นี่คือศาสนจักรโอโรโบรอสน่ะ”
“แต่ว่าข้า…”
ชาร์ล็อตกำลังจะปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้ขอติดมาสักหน่อย.. แต่ก็นึกถึงอันน่าขึ้นมา.. ถ้าหากเธอจู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับไปแล้วหลังจากนั้นตนเองก็มาอยู่ที่นี่
หมายความว่า.. คนที่ควบคุมร่างกายตัวเองมาคือ อันน่า!! เธอไม่ได้เป็นอะไร!
ชาร์ล็อตดีใจจนออกนอกหน้าส่งผลให้ฮิสครอมแสดงสีหน้างงงวย เพราะจู่ๆ คนตรงหน้าก็ดีใจขึ้นมาซะเฉยๆ
แต่ชาร์ล็อตไม่ได้สนใจ เธอพยายามเรียกอันน่าในใจ แต่อันน่าก็ไร้ซึ่งเสียงตอบ.. ในความเงียบที่มีเพียงเสียงเกวียนและเท้าของม้า..
เธอยังเรียกอันน่าอยู่นานสองนาน แต่ก็รู้ซึ่งการตอบกลับจากเธอ จนชาร์ล็อตรู้สึกท้อแท้ เธอกล่าวทิ้งท้ายไว้นิดหน่อยว่า
“ถ้าเจ้าไม่ออกมา ข้าก็จะไม่ให้เจ้าทานสตูเนื้ออีกแล้วนะ”
แม้จะมีอาหารยั่วยวนอันน่ายังคงเงียบกริบ จนชาร์ล็อตต้องถอดใจ เธอกลับมายังโลกแห่งความจริง ก่อนจะเอียงคอพูด
“เอ่อ.. ท่านฮิสครอม ข้าจำได้ว่าข้าอยู่ที่โรงเรียนลิเบอร์ข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร.. แล้วชุดนี้มันอะไร ..? ทำไมรู้สึกสบายจัง”
เธอกล่าวถามเป็นชุด ฮิสครอมก็ตอบกลับ
“ไม่ต้องมากพิธีขนาดนั้นหรอกนะ.. เมื่อคืนเจ้าเดินตัวเปียกโชกมาขอติดรถม้าข้าไปด้วยเห็นว่าเจ้าต้องการจะไปศาสนจักรเหมือนกันข้าเลยรับขึ้นมาด้วย”
“เพราะแบบนั้น ข้าเลยให้ยืมชุดตัวเองใส่ ถึงจะเป็นเหมือนชุดธรรมดา แต่จริงๆ แล้วมันคือชุดคาร์ดินัลแห่งศาสนจักรโอโรโบรอสเลยนะ”
“ส่วนเหตุผลที่ว่ามาได้ไง.. ข้าขอเก็บไว้เป็นความลับนะ เพราะมันเกี่ยวข้องกับการค้าขายของศาสนจักรเราน่ะ”
ถึงแม้ชาร์ล็อตจะสงสัย แต่เธอไม่ใช่คนที่จะตื๊อไม่เลิก อันที่จริงเธอไม่มีความกล้ามากขนาดนั้นหรอก แต่พอนึกถึงเรื่องชุด
“อ่า.. ของสำคัญแบบนี้ให้ข้าใส่มันจะไม่เป็นอะไรเหรอ.. ข้าจะเอาคืนตอนนี้แหละ”
เธอพูดเสร็จก็พยายามถอดเสื้อ แต่ฮิสครอมรีบพูดทันที
“ไม่ต้องหรอกๆ อีกอย่างชุดเจ้าเปียกหมดทั้งกระเป๋าเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานนี่น่า ข้าไม่คิดมากหรอก อีกอย่างศาสนาเรานั้นสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อกันเพราะว่า..ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันยังไงล่ะ”
“แต่ว่า…”
“เถอะน่า ถือว่าข้าขอร้องก็แล้วกัน”
“กะ.. ก็ได้”
ชาร์ล็อตไม่มีทางเลือกมีแต่ต้องยอมรับดีๆ พอชาร์ล็อตนึกถึงเรื่องที่ว่าชุดตัวเองเปียกเพราะอันน่าไม่ดูแลเธอก็บ่นเบาๆ
“อันน่าเธอเนี่ยน่า..”
“มีอะไรเหรอครับ?”
“อะ เปล่าๆ ข้าพูดคนเดียวนะ”
ฮิสครอมเอียงศีรษะมองเหมือนกับจะบอกว่าแปลกคนเสียจริง ทำให้ชาร์ล็อตได้แต่หัวเราะแห้งๆ พร้อมเกาแก้ม