การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 301

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 301 – ต้นกำเนิดที่แท้จริงและสงครามในอดีต

“เพราะแบบนั้นถึงได้ใช้เวทมนตร์ในที่แห่งนี้ไม่ได้สินะ”

“ใช่”

เลทิเซียกล่าวถาม ซิลเวียก็พยักหน้าตอบ เวทมนตร์นั้นเองก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นกำเนิด ไม่สิ ถ้าจะให้พูดถูกสร้างมาโดยต้นกำเนิดมากกว่า

เลทิเซียเอามือแตะปลายคาง เพราะแบบนี้เองนะ เวทมนตร์ถึงได้แข็งแกร่งมาก เพราะเวทมนตร์ในโลกแห่งนี้ไม่เหมือนในการ์ตูน เกมหรือในนิยายที่เธอรู้จักมา

เพราะเวทมนตร์แต่ละอย่างนั้นสามารถทำในสิ่งที่เรียกได้ว่าเหนือจินตนาการไปไกลโข ไม่ว่าจะแทรกแซงปรากฏการณ์ความเป็นจริง

หรือสร้างแนวคิดใหม่ขึ้นมาดั่งที่พาลาดินทั้งห้าได้สร้างขึ้นมา… ซิลเวียก็อธิบายเสริมต่อด้วยว่า

“หากให้เปรียบเทียบว่าต้นกำเนิดคือจุดจุดหนึ่งที่สร้างมิติทั้งหมดทั้งมวลขึ้นมา ซึ่งมิตินั้นตีให้เข้าใจว่าเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าแล้วกัน”

“ต้นกำเนิดก็สร้างอีกเส้นขึ้นมาซึ่งสิ่งเหล่านั้นคือเวทมนตร์ จะพูดให้ถูกคือเวทมนตร์นั้นอยู่นอกกรอบของทุกระดับมิติ”

“นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเวทมนตร์ของงเหล่ามนุษย์ธรรมดาถึงสามารถทำร้ายพวกเราที่อยู่เหนือกว่าในทุกๆ หลักการได้ในบางกรณี เพราะเวทมนตร์อยู่นอกกรอบที่ว่านั่นเอง”

ซิลเวียอธิบาย เพราะแบบนี้เองสินะ.. ในขณะที่คิดแบบนั้นเลทิเซียก็นึกถึงฮิสครอมขึ้นมาพร้อมกับถามออกไป

“อ่า แล้วภูตล่ะ พวกภูตนี่คืออะไรกันแน่?”

“ข้าว่าเรื่องนั้นเจ้าน่าจะได้คำตอบแล้วนะ”

ซิลเวียพูดกับเลทิเซียเหมือนยืนยันสิ่งที่อยู่ในหัวเลทิเซีย ใช่ ภูตคือตัวแทนของแนวคิดบางอย่างที่ปรากฏมาในรูปร่างของลักษณะบางอย่าง

ว่าให้เข้าใจง่ายๆ คือ ภูตนั้นอยู่เหนือกว่าแม้แต่เทพนั่นเอง.. เพราะพวกมันเป็นตัวตนเหมือนเวทมนตร์อยู่นอกกรอบของมิติ

เพราะแบบนั้นพลังสะท้อนของอามาเระถึงต่อยได้แม้แต่ฮิสครอมสินะ.. เลทิเซียพยักหน้าเข้าใจเหตุผลขึ้นมาบ้าง

“เอ๊ะ.. แล้วชิ้นส่วนเวหาล่ะ?”

“อ้อ เจ้านั่นสินะ”

ซิลเวียนึกอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ เธอคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกถึงสองมังกร.. เธอคิดแบบนั้นก่อนที่จะพูดเบาๆ

“นี่คือข้อสันนิษฐานของข้านะ.. โลกนี้น่ะแท้ที่จริงแล้วถือกำเนิดขึ้นเมื่อหมื่นกว่าปีก่อนเท่านั้นเอง เรื่องนี้มีแค่ข้ากับท่านเทพสูงสุดที่รู้”

“ส่วนประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ผู้สร้างได้รังสรรค์ให้เป็นแบบนั้น.. และในเมื่อมีผู้สร้าง..บางทีชิ้นส่วนเวหานั่น”

“อาจจะเป็นโลกก่อนโลกนี้ หรือก็คือเป็นต้นกำเนิดที่แตกต่างจากต้นกำเนิดนี้ ให้ข้าเดาคงเป็นเศษส่วนที่เหลือรอดมาจากอดีตกาลในมหาสงครามในอดีต”

พอซิลเวียอธิบายมาถึงจุดนี้ เลทิเซียก็เอียงคอ.. มหาสงครามในอดีตคืออะไร.. พอเลทิเซียถามแบบนั้นซิลเวียก็ตอบ

“เอาล่ะเราจะเข้าสู่ประวัติศาสตร์ก่อนที่โลกนี้จะถือกำเนิดขึ้นนะ แต่นี่เป็นการคาดเดาจากตระกูลลูเดนเบิร์กผู้สืบทอดพระเจ้าสูงสุดานานตั้งแต่โลกถือกำเนิดนะ”

“จากการศึกษาของพวกเรา.. พวกเราพบว่าต้นกำเนิดที่พึ่งกล่าวไปนั้นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้นกำเนิดมี..”

“ว่ากันว่าต้นกำเนิดนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าจำนวนอะเลฟอยู่.. ต้นกำเนิดของเราเหมือนจะเป็นแค่จุดเริ่มต้น… ที่เรียกว่า อะเลฟซีโร่ แต่ยังมีเหนือขึ้นไปอีกคือต้นกำเนิดที่สูงกว่าซึ่งถูกเรียกตามลำดับ อะเลฟหนึ่ง”

“เจ้าจำเทพที่ข้าเคยเล่าว่าเทพที่ก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของมวลมิติหรือไม่?”

ซิลเวียถามเลทิเซีย แน่นอนว่าเลทิเซียพยักหน้าไม่ได้ลืม

“นั่นแหละ จากการสันนิษฐาน.. บางทีเขาอาจจะก้าวเข้าสู่ต้นกำเนิดอะเลฟที่สูงกว่าซึ่งเรียกว่า.. อะเลฟหนึ่ง!!”

พอกล่าวถึงจุดนี้สิ่งหนึ่งก็ลอยเข้ามาในหัวเลทิเซีย ใช่ เธอรู้จักจำนวนอะเลฟดีกว่าซิลเวียแน่นอน เพราะว่า..

จำนวนอะเลฟคือวิธีการนับจำนวนเซตที่มีค่าเป็นอนันต์นั่นเอง..

“แน่นอนว่าพออะเลฟหนึ่งต้องมีสอง.. และสาม..และจากการคาดเดาของพวกเราทุกๆ อะเลฟล้วนมีสิ่งที่เหมือนกับเราทุกประการก็จริง..”

“แต่หากให้จะพูดพวกเขาที่นับว่าต่ำที่สุดเห็นพวกเราไม่ต่างจากจุดจุดหนึ่งด้วยซ้ำ.. ความเหนือกว่าโดยสิ้นเชิงแบบมิอาจใช้ตรรกะใดมาวัดได้”

“ให้พูดเข้าใจง่ายๆ บางทีทุกการพบเจอของพวกเรา เรื่องราวของพวกเรา ตลอดชีวิตของพวกเราอาจจะมีพวกเขาเป็นคนกำหนดมาไว้ตั้งแต่แรก!!”

พอซิลเวียพูดถึงจุดนี้ดวงตาเลทิเซียหรี่เล็กลงทันที.. สิ่งนั้นหมายถึงอะไร หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ต่างจากพระผู้เป็นเจ้าผู้รังสรรค์ทุกสิ่งเลยไม่ใช่หรือไง

ฟังดูอาจจะเหมือนมิติที่เหนือกว่า แต่ในแง่ของระดับชั้นก็ห่างกันสุดกู่.. ซึ่งยากจะอธิบายด้วยปากเปล่า..

แถมนั่นแค่อะเลฟที่หนึ่ง.. แล้วสองนี่จะไม่มองอะเลฟหนึ่ง เหมือนที่อะเลฟมองเราไม่ต่างจากจุดจุดหนึ่งเลยเหรอ?

ซิลเวียไม่ได้หยุดที่จะเห็นใบหน้าตกใจของเลทิเซีย..

“แต่ว่ากันว่าจำนวนของต้นกำเนิดที่เหนือกว่าเราขึ้นไปอีกนั้น.. อาจจะมีมากมายไร้ที่สิ้นสุดเลยก็ว่าได้”

“ซึ่งสิ่งต้นกำเนิดทั้งหมดทั้งมวลนี้จะมีชื่อเรียกที่เล่ากันปากต่อปากว่า..”

“ต้นกำเนิดที่แท้จริง” (ชินโนะเก็นเท็น)

หลังจากฟังมาจนถึงจุดนี้โลกทั้งใบในการรับรู้ของเลทิเซียก็เปลี่ยนไป แต่พอฟังมาถึงจุดนี้เลทิเซียก็รู้สึกว่า..

“แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับสงครามในอดีตล่ะ”

“ใจเย็นๆ ก่อนข้ากำลังจะอธิบายนี่ไง”

ซิลเวียกล่าว เธอก็หัวเราะแห้งๆ เธอแอบมองการตอบสนองเลทิเซียอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นแค่ทฤษฎีที่ครอบครัวเธอตั้งขึ้นมา

ดังนั้นอาจจะไม่ถูกหรืออาจจะถูกก็ได้ ห้าสิบ-ห้าสิบน่ะนะ อย่างไรก็ตามพอได้เล่าซิลเวียก็ไม่คิดจะหยุด

“แต่แล้วอะไรที่ห่อหุ้มต้นกำเนิดที่แท้จริงอยู่ล่ะ.. มันคือโลกที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกสีทองสามารถมองเห็นต้นกำเนิดได้จากที่นั่นเหมือนกับมองใบไม้”

“เธอจะบอกว่า…”

“ใช่.. ต้นกำเนิดไม่ได้มีเพียงแค่อันเดียวอาจจะมีมากมายไร้จุดจบและตัวเจ้าก็ถือเป็นการยืนยันที่ดี.. เพราะหากทฤษฎีนี้ถูกในต้นกำเนิดที่แท้จริงของโลกนี้นั้น ต้องมีเวทมนตร์ เพราะแรกเริ่มเดิมทีก็มีต้นกำเนิดเดียว”

“หรือก็คือ.. ฉันมาจากอีกต้นกำเนิดที่แท้จริงหนึ่งซึ่งที่แห่งนั้นไม่มีเวทมนตร์งั้นเหรอ?”

“ถูกต้อง”

ซิลเวียพยักหน้า จากตัวตนของเลทิเซียมั่นใจได้เลยว่าอีกโลก อีกต้นกำเนิดที่แท้จริงนั้นมีอยู่จริงๆ พอคิดแบบนั้นซิลเวียเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา

ก่อนที่เธอจะเล่าต่อ..

“กลับมาที่สงครามในอดีต บางทีสงครามนั้นอาจจะเป็นสงครามที่รุนแรงที่สุดในทุกหนทุกแห่ง.. จากการเห็นเศษซากของชิ้นส่วนเวหานั่นเป็นเรื่องพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า”

“ต้นกำเนิดที่แท้จริงนั้นอาจจะแตกพังทลายราวกับเศษกระจก.. การต่อสู้เต็มไปด้วยความโหดร้ายและรุนแรง”

“ผู้คนในแต่ละต้นกำเนิด ต้นกำเนิดที่แท้จริงต่างล้มตายโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวว่าตนเองตายด้วยซ้ำ และการพังทลายในครานั้นส่งผลให้.. ต้นกำเนิดที่แท้จริงพังทลายไปจนสิ้นจนเหลือเพียงความว่างเปล่า!”

พอฟังแบบนั้นเลทิเซียก็ขมวดคิ้ว.. การต่อสู้ที่ทำลายทุกอย่างโดยที่เธอยังไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ..

ของแบบนั้นมันมีอยู่จริงๆ งั้นเหรอ หากมีออออยู่จริงแล้วหากมันปะทุขึ้นมาอีกอย่าว่าแต่มันเริ่มตอนไหนเลย

พวกเธอจะรู้ไหมด้วยซ้ำว่าตอนนี้ยังสงบอยู่ แล้วสุดท้ายสงครามครั้งนั้นเป็นยังไงกันแน่ หากเกิดขึ้นจริง..

“และจากการคาดเดา ชิ้นส่วนเวหาอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ก่อสงครามในอดีต.. ทำให้ชิ้นส่วนเวหายังไม่พังทลาย”

“หมายความว่าไง”

“เจ้าคิดดูนะ คนระดับที่เหมือนต่อยแลกหมัดกันทีเดียวต้นกำเนิดที่แท้จริงพังง่ายๆ แล้วขอองติดตัวพวกเขาจะไม่เก่งสุดๆ เหรอ.. บางทีหากให้ข้าเดาได้มิตินั้นคงมีอะไรสักอย่างของบุคคลที่ก่อสงครามคอยค้ำจุนต้นกำเนิดนั้น”

“อ่า จะว่าไปพอเจ้าหมึกนั่นโผล่ออกมา….”

คำพูดหลังจากนั้นของซิลเวียเลทิเซียไม่ได้ยินแล้ว หูของเธอราวกับดับลงไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น..

หัวใจเต้นระรัว ภาพของดาบสีดำยาวปรากฎขึ้นในหัวของเธอ.. ดาบเล่มนั้นที่ผนึกหมึกยักษ์..หากดาบเล่มนี้เป็นของผู้ก่อสงคราม

หมึกก็เคยต่อสู้กับผู้ก่อสงคราม? ..

ไม่สิเจ้าหมึกนั้นอาจจะเก่งก็จริงแต่ก้ไม่เก่งขนาดนั้น บางทีบุคคลที่ก่อสงครามระดับนั้นอาจจะไม่ได้เก่งสุดๆ มาตั้งแต่แรก..

จึงต้องเสียสละดาบปักลงผนึก และด้วยความที่ดาบจูชินเล่มนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของผู้ก่อสงคราม.. หากผู้ก่อสงครามเก่งจนถึงขั้นนั้นในภายหลัง

ต่อให้ไม่เคยเจอก็คงได้รับบารมีมาจากบุคคลที่อยู่ระดับนั้นอยู่ดีจึงทำให้ชิ้นส่วนเวหาไม่พังทลายลงไป..

“ไวท์…”

ไม่สิ.. ไม่สิๆ เลทิเซียพยายามนึกแล้วตัวเองรู้จักของพวกนี้ได้ยังไง เจ้าดาบจูชินเล่มนี้.. หากมันเหลือรอดมาจากยุคบรรพกาลแล้วจะมี..หนังสือ.. ที่อยู่บนโลก..

ภาพของเด็กหญิงผมสีเหลืองทองลึกลับปรากฏขึ้น เธอยื่นหนังสือศาสตราพิชิตสวรรค์ทั้งห้าให้เพื่อแลกกับเศษเหล็ก..

ฉับพลันนั้นเองที่เธอนึกถึงผู้หญิงคนนั้นผ่านความทรงจำ..

เลทิเซียก็ราวกับรู้สึกว่าถูกเธอคนนั้นจ้องมาที่เธอ..

ไม่ใช่เรื่องในอดีต… แต่เป็นตอนนี้

เลทิเซียเบิกตากว้างพร้อมกับอุทานอย่างมั่นใจ..

คนที่ชื่อโรสนั้น..

“ผู้หญิงคนนั้นคือคนก่อสงครามในอดีต!”

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท