บทที่ 301 – ต้นกำเนิดที่แท้จริงและสงครามในอดีต
“เพราะแบบนั้นถึงได้ใช้เวทมนตร์ในที่แห่งนี้ไม่ได้สินะ”
“ใช่”
เลทิเซียกล่าวถาม ซิลเวียก็พยักหน้าตอบ เวทมนตร์นั้นเองก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นกำเนิด ไม่สิ ถ้าจะให้พูดถูกสร้างมาโดยต้นกำเนิดมากกว่า
เลทิเซียเอามือแตะปลายคาง เพราะแบบนี้เองนะ เวทมนตร์ถึงได้แข็งแกร่งมาก เพราะเวทมนตร์ในโลกแห่งนี้ไม่เหมือนในการ์ตูน เกมหรือในนิยายที่เธอรู้จักมา
เพราะเวทมนตร์แต่ละอย่างนั้นสามารถทำในสิ่งที่เรียกได้ว่าเหนือจินตนาการไปไกลโข ไม่ว่าจะแทรกแซงปรากฏการณ์ความเป็นจริง
หรือสร้างแนวคิดใหม่ขึ้นมาดั่งที่พาลาดินทั้งห้าได้สร้างขึ้นมา… ซิลเวียก็อธิบายเสริมต่อด้วยว่า
“หากให้เปรียบเทียบว่าต้นกำเนิดคือจุดจุดหนึ่งที่สร้างมิติทั้งหมดทั้งมวลขึ้นมา ซึ่งมิตินั้นตีให้เข้าใจว่าเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าแล้วกัน”
“ต้นกำเนิดก็สร้างอีกเส้นขึ้นมาซึ่งสิ่งเหล่านั้นคือเวทมนตร์ จะพูดให้ถูกคือเวทมนตร์นั้นอยู่นอกกรอบของทุกระดับมิติ”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเวทมนตร์ของงเหล่ามนุษย์ธรรมดาถึงสามารถทำร้ายพวกเราที่อยู่เหนือกว่าในทุกๆ หลักการได้ในบางกรณี เพราะเวทมนตร์อยู่นอกกรอบที่ว่านั่นเอง”
ซิลเวียอธิบาย เพราะแบบนี้เองสินะ.. ในขณะที่คิดแบบนั้นเลทิเซียก็นึกถึงฮิสครอมขึ้นมาพร้อมกับถามออกไป
“อ่า แล้วภูตล่ะ พวกภูตนี่คืออะไรกันแน่?”
“ข้าว่าเรื่องนั้นเจ้าน่าจะได้คำตอบแล้วนะ”
ซิลเวียพูดกับเลทิเซียเหมือนยืนยันสิ่งที่อยู่ในหัวเลทิเซีย ใช่ ภูตคือตัวแทนของแนวคิดบางอย่างที่ปรากฏมาในรูปร่างของลักษณะบางอย่าง
ว่าให้เข้าใจง่ายๆ คือ ภูตนั้นอยู่เหนือกว่าแม้แต่เทพนั่นเอง.. เพราะพวกมันเป็นตัวตนเหมือนเวทมนตร์อยู่นอกกรอบของมิติ
เพราะแบบนั้นพลังสะท้อนของอามาเระถึงต่อยได้แม้แต่ฮิสครอมสินะ.. เลทิเซียพยักหน้าเข้าใจเหตุผลขึ้นมาบ้าง
“เอ๊ะ.. แล้วชิ้นส่วนเวหาล่ะ?”
“อ้อ เจ้านั่นสินะ”
ซิลเวียนึกอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ เธอคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกถึงสองมังกร.. เธอคิดแบบนั้นก่อนที่จะพูดเบาๆ
“นี่คือข้อสันนิษฐานของข้านะ.. โลกนี้น่ะแท้ที่จริงแล้วถือกำเนิดขึ้นเมื่อหมื่นกว่าปีก่อนเท่านั้นเอง เรื่องนี้มีแค่ข้ากับท่านเทพสูงสุดที่รู้”
“ส่วนประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ผู้สร้างได้รังสรรค์ให้เป็นแบบนั้น.. และในเมื่อมีผู้สร้าง..บางทีชิ้นส่วนเวหานั่น”
“อาจจะเป็นโลกก่อนโลกนี้ หรือก็คือเป็นต้นกำเนิดที่แตกต่างจากต้นกำเนิดนี้ ให้ข้าเดาคงเป็นเศษส่วนที่เหลือรอดมาจากอดีตกาลในมหาสงครามในอดีต”
พอซิลเวียอธิบายมาถึงจุดนี้ เลทิเซียก็เอียงคอ.. มหาสงครามในอดีตคืออะไร.. พอเลทิเซียถามแบบนั้นซิลเวียก็ตอบ
“เอาล่ะเราจะเข้าสู่ประวัติศาสตร์ก่อนที่โลกนี้จะถือกำเนิดขึ้นนะ แต่นี่เป็นการคาดเดาจากตระกูลลูเดนเบิร์กผู้สืบทอดพระเจ้าสูงสุดานานตั้งแต่โลกถือกำเนิดนะ”
“จากการศึกษาของพวกเรา.. พวกเราพบว่าต้นกำเนิดที่พึ่งกล่าวไปนั้นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้นกำเนิดมี..”
“ว่ากันว่าต้นกำเนิดนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าจำนวนอะเลฟอยู่.. ต้นกำเนิดของเราเหมือนจะเป็นแค่จุดเริ่มต้น… ที่เรียกว่า อะเลฟซีโร่ แต่ยังมีเหนือขึ้นไปอีกคือต้นกำเนิดที่สูงกว่าซึ่งถูกเรียกตามลำดับ อะเลฟหนึ่ง”
“เจ้าจำเทพที่ข้าเคยเล่าว่าเทพที่ก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของมวลมิติหรือไม่?”
ซิลเวียถามเลทิเซีย แน่นอนว่าเลทิเซียพยักหน้าไม่ได้ลืม
“นั่นแหละ จากการสันนิษฐาน.. บางทีเขาอาจจะก้าวเข้าสู่ต้นกำเนิดอะเลฟที่สูงกว่าซึ่งเรียกว่า.. อะเลฟหนึ่ง!!”
พอกล่าวถึงจุดนี้สิ่งหนึ่งก็ลอยเข้ามาในหัวเลทิเซีย ใช่ เธอรู้จักจำนวนอะเลฟดีกว่าซิลเวียแน่นอน เพราะว่า..
จำนวนอะเลฟคือวิธีการนับจำนวนเซตที่มีค่าเป็นอนันต์นั่นเอง..
“แน่นอนว่าพออะเลฟหนึ่งต้องมีสอง.. และสาม..และจากการคาดเดาของพวกเราทุกๆ อะเลฟล้วนมีสิ่งที่เหมือนกับเราทุกประการก็จริง..”
“แต่หากให้จะพูดพวกเขาที่นับว่าต่ำที่สุดเห็นพวกเราไม่ต่างจากจุดจุดหนึ่งด้วยซ้ำ.. ความเหนือกว่าโดยสิ้นเชิงแบบมิอาจใช้ตรรกะใดมาวัดได้”
“ให้พูดเข้าใจง่ายๆ บางทีทุกการพบเจอของพวกเรา เรื่องราวของพวกเรา ตลอดชีวิตของพวกเราอาจจะมีพวกเขาเป็นคนกำหนดมาไว้ตั้งแต่แรก!!”
พอซิลเวียพูดถึงจุดนี้ดวงตาเลทิเซียหรี่เล็กลงทันที.. สิ่งนั้นหมายถึงอะไร หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ต่างจากพระผู้เป็นเจ้าผู้รังสรรค์ทุกสิ่งเลยไม่ใช่หรือไง
ฟังดูอาจจะเหมือนมิติที่เหนือกว่า แต่ในแง่ของระดับชั้นก็ห่างกันสุดกู่.. ซึ่งยากจะอธิบายด้วยปากเปล่า..
แถมนั่นแค่อะเลฟที่หนึ่ง.. แล้วสองนี่จะไม่มองอะเลฟหนึ่ง เหมือนที่อะเลฟมองเราไม่ต่างจากจุดจุดหนึ่งเลยเหรอ?
ซิลเวียไม่ได้หยุดที่จะเห็นใบหน้าตกใจของเลทิเซีย..
“แต่ว่ากันว่าจำนวนของต้นกำเนิดที่เหนือกว่าเราขึ้นไปอีกนั้น.. อาจจะมีมากมายไร้ที่สิ้นสุดเลยก็ว่าได้”
“ซึ่งสิ่งต้นกำเนิดทั้งหมดทั้งมวลนี้จะมีชื่อเรียกที่เล่ากันปากต่อปากว่า..”
“ต้นกำเนิดที่แท้จริง” (ชินโนะเก็นเท็น)
หลังจากฟังมาจนถึงจุดนี้โลกทั้งใบในการรับรู้ของเลทิเซียก็เปลี่ยนไป แต่พอฟังมาถึงจุดนี้เลทิเซียก็รู้สึกว่า..
“แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับสงครามในอดีตล่ะ”
“ใจเย็นๆ ก่อนข้ากำลังจะอธิบายนี่ไง”
ซิลเวียกล่าว เธอก็หัวเราะแห้งๆ เธอแอบมองการตอบสนองเลทิเซียอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นแค่ทฤษฎีที่ครอบครัวเธอตั้งขึ้นมา
ดังนั้นอาจจะไม่ถูกหรืออาจจะถูกก็ได้ ห้าสิบ-ห้าสิบน่ะนะ อย่างไรก็ตามพอได้เล่าซิลเวียก็ไม่คิดจะหยุด
“แต่แล้วอะไรที่ห่อหุ้มต้นกำเนิดที่แท้จริงอยู่ล่ะ.. มันคือโลกที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกสีทองสามารถมองเห็นต้นกำเนิดได้จากที่นั่นเหมือนกับมองใบไม้”
“เธอจะบอกว่า…”
“ใช่.. ต้นกำเนิดไม่ได้มีเพียงแค่อันเดียวอาจจะมีมากมายไร้จุดจบและตัวเจ้าก็ถือเป็นการยืนยันที่ดี.. เพราะหากทฤษฎีนี้ถูกในต้นกำเนิดที่แท้จริงของโลกนี้นั้น ต้องมีเวทมนตร์ เพราะแรกเริ่มเดิมทีก็มีต้นกำเนิดเดียว”
“หรือก็คือ.. ฉันมาจากอีกต้นกำเนิดที่แท้จริงหนึ่งซึ่งที่แห่งนั้นไม่มีเวทมนตร์งั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง”
ซิลเวียพยักหน้า จากตัวตนของเลทิเซียมั่นใจได้เลยว่าอีกโลก อีกต้นกำเนิดที่แท้จริงนั้นมีอยู่จริงๆ พอคิดแบบนั้นซิลเวียเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา
ก่อนที่เธอจะเล่าต่อ..
“กลับมาที่สงครามในอดีต บางทีสงครามนั้นอาจจะเป็นสงครามที่รุนแรงที่สุดในทุกหนทุกแห่ง.. จากการเห็นเศษซากของชิ้นส่วนเวหานั่นเป็นเรื่องพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า”
“ต้นกำเนิดที่แท้จริงนั้นอาจจะแตกพังทลายราวกับเศษกระจก.. การต่อสู้เต็มไปด้วยความโหดร้ายและรุนแรง”
“ผู้คนในแต่ละต้นกำเนิด ต้นกำเนิดที่แท้จริงต่างล้มตายโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวว่าตนเองตายด้วยซ้ำ และการพังทลายในครานั้นส่งผลให้.. ต้นกำเนิดที่แท้จริงพังทลายไปจนสิ้นจนเหลือเพียงความว่างเปล่า!”
พอฟังแบบนั้นเลทิเซียก็ขมวดคิ้ว.. การต่อสู้ที่ทำลายทุกอย่างโดยที่เธอยังไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ..
ของแบบนั้นมันมีอยู่จริงๆ งั้นเหรอ หากมีออออยู่จริงแล้วหากมันปะทุขึ้นมาอีกอย่าว่าแต่มันเริ่มตอนไหนเลย
พวกเธอจะรู้ไหมด้วยซ้ำว่าตอนนี้ยังสงบอยู่ แล้วสุดท้ายสงครามครั้งนั้นเป็นยังไงกันแน่ หากเกิดขึ้นจริง..
“และจากการคาดเดา ชิ้นส่วนเวหาอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ก่อสงครามในอดีต.. ทำให้ชิ้นส่วนเวหายังไม่พังทลาย”
“หมายความว่าไง”
“เจ้าคิดดูนะ คนระดับที่เหมือนต่อยแลกหมัดกันทีเดียวต้นกำเนิดที่แท้จริงพังง่ายๆ แล้วขอองติดตัวพวกเขาจะไม่เก่งสุดๆ เหรอ.. บางทีหากให้ข้าเดาได้มิตินั้นคงมีอะไรสักอย่างของบุคคลที่ก่อสงครามคอยค้ำจุนต้นกำเนิดนั้น”
“อ่า จะว่าไปพอเจ้าหมึกนั่นโผล่ออกมา….”
คำพูดหลังจากนั้นของซิลเวียเลทิเซียไม่ได้ยินแล้ว หูของเธอราวกับดับลงไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น..
หัวใจเต้นระรัว ภาพของดาบสีดำยาวปรากฎขึ้นในหัวของเธอ.. ดาบเล่มนั้นที่ผนึกหมึกยักษ์..หากดาบเล่มนี้เป็นของผู้ก่อสงคราม
หมึกก็เคยต่อสู้กับผู้ก่อสงคราม? ..
ไม่สิเจ้าหมึกนั้นอาจจะเก่งก็จริงแต่ก้ไม่เก่งขนาดนั้น บางทีบุคคลที่ก่อสงครามระดับนั้นอาจจะไม่ได้เก่งสุดๆ มาตั้งแต่แรก..
จึงต้องเสียสละดาบปักลงผนึก และด้วยความที่ดาบจูชินเล่มนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของผู้ก่อสงคราม.. หากผู้ก่อสงครามเก่งจนถึงขั้นนั้นในภายหลัง
ต่อให้ไม่เคยเจอก็คงได้รับบารมีมาจากบุคคลที่อยู่ระดับนั้นอยู่ดีจึงทำให้ชิ้นส่วนเวหาไม่พังทลายลงไป..
“ไวท์…”
ไม่สิ.. ไม่สิๆ เลทิเซียพยายามนึกแล้วตัวเองรู้จักของพวกนี้ได้ยังไง เจ้าดาบจูชินเล่มนี้.. หากมันเหลือรอดมาจากยุคบรรพกาลแล้วจะมี..หนังสือ.. ที่อยู่บนโลก..
ภาพของเด็กหญิงผมสีเหลืองทองลึกลับปรากฏขึ้น เธอยื่นหนังสือศาสตราพิชิตสวรรค์ทั้งห้าให้เพื่อแลกกับเศษเหล็ก..
ฉับพลันนั้นเองที่เธอนึกถึงผู้หญิงคนนั้นผ่านความทรงจำ..
เลทิเซียก็ราวกับรู้สึกว่าถูกเธอคนนั้นจ้องมาที่เธอ..
ไม่ใช่เรื่องในอดีต… แต่เป็นตอนนี้
เลทิเซียเบิกตากว้างพร้อมกับอุทานอย่างมั่นใจ..
คนที่ชื่อโรสนั้น..
“ผู้หญิงคนนั้นคือคนก่อสงครามในอดีต!”