การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 304

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 304 – ทักษะคือต้นกำเนิด?

“ทักษะของเทพนั้นเป็นเหมือนกับเวทประจำตัวของจอมมารมากกว่าทักษะซะอีก แต่แตกต่างจากทักษะของสิ่งมีชีวิตโลกเบื้องล่างตรงที่พวกเทพสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้ตลอดเวลาเท่านั้นแหละ”

“แต่ว่าเจ้า.. เจ้า..มีทักษะทุกอย่างมาตั้งแต่แรกแล้ว.. ข้า.. ข้ารู้สึกเหมือนความพยายามของตนเองถูกทำลายจนย่อยยับเลยล่ะ”

ซิลเวียหัวเราะทั้งน้ำตา อันที่จริงเธอช็อกจริงๆ หากเธอสามารถไปเจคนที่มอบทักษะให้กับเลทิเซียได้ เธอคงตรงดิ่งไปซัดหน้าอีกฝ่ายในทันที

ถึงฐานะเทพผู้ควบคุมความเป็นและความตายจะเก่งกว่าเธอหลายขุมก็ตาม แต่ก็อยากจะซัดสักหมัดเพื่อระบายเสียจริง

เลทิเซียได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว ก่อนที่จะกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย

“มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ เพราะเวลาที่จะใช้ต้องให้พวกเทพเป็นคนกำหนด และพอเกิดมาก็ต้องได้พวกเจ้ามายอมรับก่อนอีก แต่พวกเจ้ากลับไม่สามารถควบคุมมันได้”

“นั่นก็ถูก แต่ว่าก็ไม่น่าแปลก เพราะขนาดภูตพวกเรายังสามารถสร้างภูตได้ แต่หากอยากจะทำให้มันหายไปกลับมิอาจทำได้นั่นแหละ”

“แบบนี้นี่เอง”

เลทิเซียแตะปลายคาง ราวกับว่ามีเรื่องให้สงสัยมากมาย พอคิดได้แบบนั้นก็ถามขึ้นอีกครั้ง

“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าทักษะของเทพนั้นอ่อนแอกว่าทักษะของโลกเบื้องล่าง”

“อ้อ เรื่องนั้นข้ายังไม่ได้อธิบายสินะ”

พอพูดถึงเรื่องที่ตัวเองได้อวดความรู้ ซิลเวียก็กลับมาร่าเริงแจ่มใสพร้อมกับทำหน้าตาจริงจัง

เลทิเซียได้แต่หัวเราะแห้งๆ พร้อมกับคิดว่าซิลเวียนี่ง่ายเสียจริงเลย ขณะคิดซิลเวียก้เริ่มอธิบายอย่างยาวเหยียด

“ทักษะนั้นไม่เหมือนเวทมนตร์หรือพลังงานใดๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยต้นกำเนิด อันที่จริงพวกเราก็ไม่รู้รายละเอียดเรื่องต้นกำเนิดของทักษะมากนัก”

“เพียงแต่ว่า ทักษะนั้นสามารถใช้งานได้โดยไร้ซึ่งข้อผูกมัดหรือข้อจำกัดใดๆ ”

“หากจะให้อธิบายง่ายๆ สมมุติว่ามีลุกโป่งอยู่หนึ่งลูกที่ข้างในเต็มไปด้วยอากาศ และอากาศนั้นคือพลังเวทของสิ่งมีชีวิต”

“ส่วนลูกโป่งคือกายหยาบ หากใช้ลมภายในจะหายไปแต่ก็ใชเวลาไม่นานสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้จากปัจจัยรอบด้าน”

“อย่างพลังจากโลกหรืออะไรก็ว่ากันตามแต่ละกฎเกณฑ์ของเวทมนตร์”

ซิลเวียอธิบายให้เข้าใจโดยง่าย เลทิเซียพยักหน้าเข้าใจ เรื่องนี้เธอรู้ดีอยู่แล้วล่ะ เพราะเธอเติบโตมาพร้อมกับการศึกษามันอย่างละเอียด

ซิลเวียจึงอธิบายต่อ

“พูดอีกอย่างก็คือเวทมนตร์มีอะไรบางอย่างมาจำกัดอยู่ดีไม่ว่าจะกฎหรือรูปแบบของแนวคิดว่า เวทมนตร์มนุษย์ควรจะแทรกแซงกฎเกณฑ์ เวทมนตร์ปีศาจควรจะรังสรรค์จากอะไรบางอย่าง”

“มันเป็นกฎของต้นกำเนิดที่กำหนดมา เจ้าเองก็คงรู้ดีในฐานะที่เคยไปเหยียบต้นกำเนิดที่มีกฎแห่งเวทมนตร์ที่แตกต่างจากโลกแห่งนี้”

พอซิลเวียอธิบายมาถึงจุดนี้ก็เหลือบมองเลทิเซีย เลทิเซียคิดตาม พอมาคิดๆ ดูแล้วเวทมนตร์ดูเหนือหลักการทุกอย่างก็จริง

แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วทุกอย่างก็อยู่ภายใต้หลักการที่ยิ่งใหญ่กว่า หากในโลกเดิมเลทิเซียไม่มีเวทมนตร์ และการมีเวทมนตร์คือเรื่องเหนือหลักการ

แต่พอมาเจอโลกที่เหนือหลักการเข้าอีกทีก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เหนือหลักการแต่อย่างใด พูดอีกอย่างมันก็เหมือนวิทยาศาสตร์

มีแนวคิดและหลักการแพทเทิร์นที่ค่อนข้างชัดเจน จะพูดอีกอย่างคือก็อยู่ภายใต้หลักการอีกทีว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้เสียก่อน

ซึ่งมันไม่ต่างอะไรจากรถในโลกเดิมที่แม้จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่ใช้เวทมนตร์ก็ตาม สุดท้ายก็ต้องใช้น้ำมัน

เพียงแค่ตัวแปรบางอย่างมันต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วก็อยู่ในแนวคิดความเป็นไปที่ควรจะเป็น ซิลเวียพูดต่อ

“แต่ว่าทุกอย่างที่ว่ามานั้นไม่สามารถอธิบายกับทักษะได้ เพราะทักษะนั้นไม่สามารถใช้หลักการหรือเหตุผลอะไรมาหักล้างมันได้”

“มันเปรียบเหมือนกับว่า ‘มีแนวคิดเป็นของตนเอง’ ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกอีกอย่างก็คือ ‘มันมีต้นกำเนิดเป็นของตัวเอง’ สินะ”

“เหตุผลที่เจ้าใช้ทักษะในโลกนั้นได้ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะแบบนี้ด้วยก็ได้”

พอซิลเวียกล่าวแบบนั้น เลทิเซียก็ส่ายหน้า

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงข้าควรจะใช้พลังในความว่างเปล่านี้สิ หากทักษะมีพลังเทียบเคียงกับต้นกำเนิดอย่างที่เจ้าบอก เพราะต้นกำเนิดนั้นสร้างความว่างเปล่า ถูกไหมล่ะ”

พอเลทิเซียกล่าวแบบนั้น ซิลเวียเองก็ส่ายหน้าพร้อมกับทำท่าทางอวดดี เหมือนกำลังจะบอกว่าเลทิเซียลืมอะไรไป

เลทิเซียที่เห็นท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่ายก็สับสน เพราะหากเป็นตามที่อีกฝ่ายว่ามาจริงทั้งทฤษฎีเรื่องต้นกำเนิดอื่นและต้นกำเนิดนี้ก็พังน่ะสิ

เพราะเลทิเซียนั้นใช้พลังในโลกชิ้นส่วนเวหาได้ แต่โลกนี้กลับใช้ไม่ได้ เช่นนั้นทฤษฎีก็ขัดแย้งกันเองสิ..

ก่อนที่เลทิเซียจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอเบิกตากว้างพร้อมกับอุทานออกมาว่า

“อ๊ะ..”

“ใช่แล้ว.. ยังมีอยู่ไม่ใช่หรือไงสิ่งที่หลอมรวมต้นกำเนิดที่เราอยู่และสูงขึ้นไปอีกได้… ที่มันเรียกว่า…..”

“ต้นกำเนิดที่แท้จริง (ชินโนะเก็นเท็น)”

ใช่แล้ว ในเมื่อโลกนั้นมีต้นกำเนิดที่แท้จริงซึ่งแตกต่างกันจากโลกนี้ ทำให้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมโลกนั้นถึงใช้ไม่ได้

และความว่างเปล่านี้ไม่ใช่พลังของต้นกำเนิดอะเลฟซีโร่ที่สร้างมันขึ้นมา แต่เป็นต้นกำเนิดที่แท้จริง

หากเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี ทักษะนั้นแข็งแกร่งมากถึงระดับที่ว่ามีต้นกำเนิดเป็นของตนเอง

ซึ่งพลังของต้นกำเนิดนั้นใครๆ ก็ทราบว่ามันสร้างได้แม้แต่โลกทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพออยู่ชิ้นส่วนเวหาถึงใช้ได้

เพราะว่านั่นเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงจากโบราณกาล และที่ใช้ในโลกใบนี้ไม่ได้ เพราะกฎที่ต้องให้เทพมอบพลังที่เรียกว่าทักษะให้ก่อนนั้นไม่ใช่กฎระดับทั่วไป

แต่เป็นกฎในต้นกำเนิดที่แท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเจ้าสิ่งที่เรียกว่าทักษะนี้อาจจะล้ำค่าในระดับที่ประเมินไม่ได้เลย

อาจจะเป็นคมดาบที่ไว้ต่อกรกับผู้ที่อยู่ในต้นกำเนิดอะเลฟที่สูงขึ้นไปได้เลยก็ว่าได้นะเนี่ย..

“แต่ว่าก็ว่าเถอะ.. ทักษะนี่มันน่ากลัวนะเนี่ย ถึงในโลกเดิมจะมีพลังอย่างการหักล้างเวทมนตร์หรืออะไรได้ แต่ลองนึกสภาพว่าเธอมีทักษะอะไรสักอย่างที่สามารถฆ่าคนอื่นได้ด้วยคำพูดสิ อีกฝ่ายคงตายโดยไม่ได้รู้ตัวหรือต่อต้านได้เลยสิ”

“นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมต้องได้รับการยอมรับจากเหล่าเทพก่อนยังไงล่ะ ไม่งั้นก็คงเห็นฆาตกรเลือดเย็นไล่สังหารคนเป็นว่าเล่นแล้วล่ะนะ ข้าว่า”

“นั่นสินะ”

ทั้งสองคนมองหน้ากันรู้สึกผวากับสิ่งที่เรียกว่าทักษะ และเพราะเช่นนี้เลทิเซียก็รู้ว่าทักษะมันน่ากลัวยังไง

“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะซิลเวีย”

“มีอะไรเหรอ เลทิเซีย”

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่า… บางทีความว่างเปล่าแห่งนี้ไม่ใช่ความว่างเปล่าที่ ‘ต้นกำเนิด’ สร้างขึ้นมา แต่เป็น ‘ต้นกำเนิดที่แท้จริง’ สร้างขึ้นมาสินะ”

“ใช่แล้วล่ะ”

“พูดอีกอย่างก็คือ… ความว่างเปล่าแห่งนี้..ไม่ได้ครอบคลุมแค่ทั่วทุกหนแห่งในโลกของเราแต่เป็น.. ต้นกำเนิดอะเลฟที่สูงขึ้นไปด้วย เพราะมันสร้างจากต้นกำเนิดที่แท้จริง”

พอเลทิเซียพูดแบบนั้น ซิลเวียเองก็คิ้วกระตุกความรู้สึกที่ยากจะบรรยายแผ่ขยายออกมาจากหน้าอก

ซิลเวียค่อยๆ กลืนน้ำลายพร้อมกับหันหน้าไปหาเลทิเซีย และพยักหน้าเบาๆ

“ใช่แล้—”

ก่อนที่ทันจะได้พูดจบบางสิ่งบางอย่างก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเธอ พร้อมกับแรงกระแทกลึกลับที่มองไม่เห็นเลทิเซียไหวตัวทันอย่างรวดเร็ว

เธอเคลื่อนที่เข้ามาบดบังการโจมตีที่มองไม่เห็นตรงหน้า และฉับพลันนั้นเองแรงกระแทกลึกลับก็ได้ซัดใส่ร่างเลทิเซีย

ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านออกมาราวกับจะพังทลายดวงวิญญาณของเธอ ไม่มีซึ่งพลังแห่งการรักษาหรือฟื้นฟู

ไม่มีการเสริมพลังกายภาพใดๆ ร่างกายเลทิเซียตอนนี้ไม่ต่างจากเต้าหู้ทั้งอ่อนแอ ทั้งไร้พลัง

เสียงกรีดร้องดังออกจากปากของเลทิเซีย พลังลึกลับราวกับแทรกแซงเข้าสู่ผิวหนังเลทิเซียพร้อมทำลายทุกสิ่งอย่างในร่างกายเลทิเซีย

“เลทิเซีย เจ้าเป็นอะไรไหม?!”

เธอกัดริมฝีปากไม่ได้ตอบคำของซิลเวีย ใช้มือซ้ายคว้าจับบางอย่างที่มองไม่เห็นตรงหน้าอกสะบัดออกไปด้านข้าง

ก่อนที่พริบตาต่อมาแขนของเลทิเซียจะขาดสะบั้นไปจนถึงหัวไหล่ หากโดนหน้าอกละก็บางทีเลทิเซียก็เหลือแค่เพียงหัวกับส่วนขาที่ยังไม่หายไป

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท