บทที่ 315 – “หนูขอโทษ..”
“ดูท่า.. เจ้าคงยังไม่รู้สินะว่ากำลังทำอะไรอยู่”
อาคุสที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะแล้วก็พูดขึ้นมา เลทิเซียที่เห็นท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่ายก็พอรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
ดังนั้นเธอจึงถอยหลังไปหลายก้าวจนหยุดอยู่ข้างๆ ซิลเวีย แม้ซิลเวียจะไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่กล่าวมา
แต่เลทิเซียก็ไม่อยากปล่อยให้เธออยู่คนเดียว เพราะยังไงซะที่นี่ก็มีเจ้าศัตรูที่ไล่ฆ่าพวกเธออย่างพวกหมึกยักษ์อยู่
ดังนั้นเลทิเซียจึงไม่กล้าปล่อยซิลเวียเอาไว้คนเดียวแน่นอน อย่างน้อยเธอก็ไม่อยากให้ซิลเวียอยู่คนเดียว
แต่น่าแปลกใจที่อาคุสกล่าวแบบนั้นเสร็จเขาก็ไม่ได้โจมตีเลทิเซียทันที เขาจ้องไปที่เลทิเซียพร้อมกับกล่าวขึ้น
“ข้าจะบอกอะไรดีๆ ให้นะว่า .. เจ้านั่นน่ะไม่ใช่เด็กธรรมดาอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ อันที่จริงเจ้าเองก็ดูฉลาดน่าจะดูออกตั้งแต่แรกแล้วนี่น่า”
เลทิเซียเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย อาคุสที่เห็นแบบนี้จึงยิ้มแล้วก็กล่าวต่อว่า
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเด็กนั่นน่ะ.. เป็น ‘เด็กแห่งคำสาป’ คนที่จะนำพาความล่มสลายมารอบตัวของตัวเอง”
พออาคุสกล่าวถึงคำว่า ‘เด็กแห่งคำสาป’ มือเล็กๆ ของนิลที่จับเลทิเซียอยู่ก็สั่นเล็กน้อย เธอก้มหน้าลงไม่กล้ามองหน้าเลทิเซีย
อาคุสที่พูดอย่างคล่องปาก ก็ไม่คิดจะหยุดพูด แน่นอนว่าในเมื่อตอนแรกเขาไม่คิดจะใช้กำลัง แม้เลทิเซียจะพูดออกมาแบบนั้น
เขาก็ไม่มีทางที่จะโกรธขึ้นมาง่ายขนาดนั้น เขายังคงเลือกการประนีประนอม กล่าวสืบต่อและเหมือนที่พูดมาจะไม่ใช่คำโกหกด้วยนะ
“ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้ามาจากที่ไหนและมาที่นี่ได้ยังไง แต่ว่า.. เจ้าเองก็น่าจะมีคำถามอยู่เหมือนกัน.. ว่าทำไมที่แห่งนี้ถึงกลายเป็นซากปรักหักพัง ทำไมถึงมีเด็กแบบนี้อยู่คนเดียว?”
“เหตุผลมีเพียงอย่างเดียวเพราะคนที่ทำลายเมืองนี้จนสิ้นซากก็คือเด็กคนนั้นยังไงล่ะ.. ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตัวนำพาความซวยมายังเมืองแห่งนี้ก็คือเด็กนั่น”
อาคุสกล่าวออกมาทำให้นิลที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่ลงไปอีก.. เธอ ใช่ เป็นเพราะเธอ..
เลทิเซียที่เห็นภาพนี้ก็พูดขึ้นว่า
“นายพูดเรื่องอะไร.. เมืองนี่ดูยังไงมันก็ล่มสลายมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่นิลพึ่งจะอายุกี่ขวบเอง…”
“นิล? เจ้ากำลังพูดถึงเด็กนั่นเหรอ? โกหกแม้แต่ชื่อตัวเองนี่น่า รู้จักหลอกใช้นะเจ้าน่ะ ฮ่าๆ ”
“…….”
อาคุสที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ คำพูดเสียดแทงดังขึ้นจ้องไปที่นิลด้วยสายตาดูถูก
ทำให้นิลที่หลบอยู่หลังเลทิเซียไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ เธอกัดริมฝีปากเบาๆ … ใช่แล้ว นั่นเป็นชื่อที่เธอคิดขึ้นมาเอง
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเธอต้องการจะโกหก.. เพราะว่าชื่อเก่าของเธอนั้น เธอไม่อยากนึกถึงมันอีกแล้ว
ดังนั้นเธอจึงไม่บอกชื่อจริง.. แต่ความจริงที่ว่าเธอโกหกมันก็ยังเป็นเรื่องจริง เธอจึงไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเลทิเซียได้
อาคุสกล่าวต่อว่า
“เด็กผู้หญิงผมสีดำสนิทราวกับปีศาจ.. ผมลากยาวปกคลุมไปทั่วแผ่นดินที่ไม่อาจตัดมันได้.. ถึงข้าจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมผมของเธอถึงถูกตัดออกไปได้ยังไง”
“แต่พูดมาถึงขนาดนี้เจ้าเองก็คงรู้จักแล้วล่ะ.. หนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก.. ความวุ่นวายแห่งสรรพสิ่ง… คำสาปอันมืดมิดที่นำพาทุกอย่างไปสู่จุดจบ..ไม่เหลืออะไรเลย.. ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเธอจะหายไปจนหมด..”
นิลที่ยืนก้มหน้าอยู่พอได้ยินคำนั้นเธอก็ปล่อยมือออกจากแขนของเลทิเซีย.. เธอถอยไปด้านหลัง
ปากพึมพำบางสิ่งบางอย่าง ต่อให้เป็นโง่ขนาดไหนก็คงมองออกว่าเธอรู้สึกเจ็บปวดกับทุกคำที่อาคุสพึ่งกล่าวออกมา
ราวกับคำเหล่านั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้รับ.. สายตาอันรังเกียจที่จดจ้องมาที่เธอ ความเกลียดชังทุกอย่างที่โยนมาที่เธอ
ร่างกายที่ไม่อาจเติบโตแต่เกศานั้นยังคงยาวขึ้นเรื่อย.. ทุกครั้งที่เธอถูกมองจะไม่มีสายตาที่อ่อนโยนต่อเธอเลย
ใช่ ราวกับว่านี่มันไม่ใช่โลกของเธอ.. เธอไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เธอไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลย…
อาคุสไม่ได้สนใจหรือเห็นใจท่าทางของนิลเลยแม้แต่น้อย
“ทุกอย่างที่มาพัวพันกับเธอ.. ล้วนแล้วแต่จะไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น.. และเมืองนี้เองก็เช่นกั—”
“หุบปาก”
เลทิเซียพูดขึ้นมาทันที อันที่จริงเธอแค่อยากจะรู้ในสิ่งที่ไม่รู้เฉยๆ แต่มันก็มากเกินไปสำหรับนิลอยู่ดี..
แน่นอนว่าเลทิเซียเข้าใจนิลยิ่งกว่าใครในนี้ เพราะเธอก็เคยตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน สายตาที่จ้องมาและเต็มไปด้วยอคติบางอย่าง
ในโลกเดิมของเลทิเซีย ตลอดชั่วชีวิตของเธอแทบโดนมองแบบนั้นตลอด นอกจากตอนที่อยู่กับครอบครัว
แต่เหมือนจะไม่ใช่สำหรับนิล ไหล่ทั้งสองข้างที่สั่นสะท้านก้มหน้าก้มตาไม่อาจจะเงยหน้าขึ้นมามองเลทิเซียได้…
ราวกับว่าเพียงแค่ความจริงนี้เปิดทุกคนจะรังเกียจเธอ.. มันก็หมายความว่าไม่มีใครเคยยอมรับเธอเลยนั่นเอง
“เฮ้ๆ ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ ช่างเถอะ ดูท่าเจ้าคงไม่อยากรู้แล้ว.. และก็ตามที่บอกไว้เด็กนี่น่ะอันตราย เพราะงั้นส่งมาให้พวกเราเถอะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธเลยนี่ เธอกับเด็กนี่ยังไงซะมันก็แค่คนแปลกหน้ากันไม่ใช่หรือไง?”
“พี่สาว… หนูขอโทษ…”
นิลก้มหน้าพูด เธอไม่กล้ามองหน้าเลทิเซียอีกครั้ง อันที่จริงตลอดมาเธออยู่คนเดียวตลอด…และถูกปฏิเสธตลอดมา..
พอรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่คนเดียวซะแล้ว.. เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจนกระทั่งเลทิเซียปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอ..
และปลดเธอออกจากพันธะแห่งคำสาป… ที่เธอรังเกียจมันที่สุด.. ใช่ นั่นคือผมสีดำที่ยาวราวกับสายน้ำที่ไม่เห็นปลายทาง
มันถูกทับด้วยซากปรักหักพังมากมาย ถูกของมีคมมากมายเฉือนลงไปแต่มันก็ไม่เคยขาดเลย..
สำหรับเธอผมสีดำยาวนี้ไม่เพียงไม่งดงาม แต่ยังน่ารังเกียจอีกด้วย เธอเกลียดมัน.. เกลียดมันที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้
และคนที่ช่วยเธอออกจากพันธะนั้นคือเลทิเซีย.. เลทิเซียตัดผมของเธออย่างง่ายดายราวกับไม่ใช่เรื่องยากอะไร..
สำหรับนิลเลทิเซียก็เหมือนผู้มีพระคุณ
ใช่ มันเป็นแบบนั้น พอมานึกดูเธอพึ่งโกหกชื่อตัวเองให้กับผู้มีพระคุณไป.. อันที่จริงเธอรู้ตัวว่าเลทิเซียนั้นจะทิ้งตนไปก็ไม่ผิด
เพราะเลทิเซียแค่คนที่ผ่านทางมาเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอะไร อย่างไรก็ตามเธอไม่เพียงแค่ไม่ขอบคุณ
เธอยังโกหกเลทิเซียอีกต่างหาก..
แน่นอนว่าที่เธอพูดออกไปเพราะเธอว่าหากพูดความจริงออกไปเธอจะถูกเกลียด จะอ้างว่าเพราะทิ้งชื่อเดิมไปแล้วก็ไม่ได้
ดังนั้นพอถูกเปิดโปงต่อหน้าเลทิเซียแบบนี้ ทั้งเรื่องความเป็นตัวประหลาดของเธอ ทั้งเรื่องที่เธอโกหก
ความกล้าทั้งหมดของเธอหายไป.. เธอถอยหลังออกห่างจากเลทิเซีย สิ่งเดียวที่เธอพูดในตอนนี้มีเพียงแค่คำว่าขอโทษ..
“หนูขอโทษ…”
เธอหันหลังให้เลทิเซีย.. แล้วก็วิ่งหนีออกไปคนเดียวทันที เธอไม่รู้.. ไม่สิมันคงไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้ว่าควรทำยังไง
เพราะตลอดมาเธออยู่คนเดียวมาตลอด.. เลทิเซียที่เห็นภาพนี้ก็เหมือนกับมองเห็นตัวเองยังไงยังงั้น
พอเธอรู้สึกผิด..ที่โกหก จะวิ่งหนี.. ราวกับจะหนีจากความผิดพลาดของตัวเอง วิ่งหนีโดยหาอะไรสักอย่างมาอ้างว่าแบบนี้ดีแล้ว
แบบนี้ถูกแล้ว..
เมื่อมีครั้งที่หนึ่งต้องมีครั้งที่สอง.. และครั้งที่สาม สุดท้ายก็จะกลายเป็นคนที่หนีอยู่ตลอด..
เลทิเซียยังไม่รู้จักเด็กคนนี้ดีเลย อันที่จริงก่อนจะพูดว่ายังไม่รู้จักดี ต้องพูดไม่ค่อยรู้จักเลยจะมากกว่า
แต่ว่า..
ถึงเลทิเซียจะไม่เชื่อในโชคชะตาหรือแม้แต่โลกใบนี้.. รวมถึงตัวเองด้วย…
แต่เธอ.. จะเชื่อในคำสอนของพี่เสมอ.. หากคนที่ต้องการความช่วยเหลือมีอยู่หากทำได้ก็จงทำ..