บทที่ 332 – ปณิธานแห่งต้นกำเนิด
เสียงกรีดร้องของนิล..เจ้าหมึกยักษ์ดังขึ้นส่งผลให้โลกทั้งใบมันแตกหัก.. มุมมองทุกอย่างในระยะสายตาของเลทิเซียพังทลาย
ร่างกายของนิลตัวน้อยที่อยู่บนท้องฟ้าต่างพร่าเลือนลงหลายส่วน วินาทีนี้เลทิเซียเข้าใจสถานการณ์ยิ่งกว่าใคร
ผสมกับคำพูดของเจ้าหมึกยักษ์ด้านข้างเธอเมื่อครู่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างมันไขกระจ่างเรียบร้อยแล้ว!
แต่เหตุการณ์ยังไม่สิ้นสุด ห่างไกลออกไป.. ตรงจุดที่ตระกูลของนิลตั้งอยู่ก็มีแสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งตรงขึ้นมาใส่นิล
ราวกับว่านิลนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจ.. ซึ่งดาบเล่มนั้นเพียงพริบตาที่เผยตัวออกมาก็ส่งผลให้ความมืดมิดอันบริสุทธิ์ปกคลุมแปดทิศ
นี่ไม่ใช่ความมืดแห่งความชั่วร้าย.. แต่เป็นความมืดที่ไร้สิ่งเจือปน ไร้ความรู้สึกเจอปน เป็นความมืดจริงแท้ตรงข้ามเพียงกับแสงสว่าง..
แต่หารู้ไม่ว่า..ความมืดก็คือแสง.. เพียงแต่เป็นแสงสีดำเท่านั้น.. เพราะความมืดจะสาดส่องไปทุกจุดที่ไม่มีแสง
และแสงจะสาดส่องปัดเป่าความมืด.. โดยรวมแล้วคำว่าสว่างกับมืดนั้นไม่ต่างกันเลยแม้แต่นิด..
บางทีอาจจะเป็นความรู้สึกผิดต่อบิดา..หรืออาจจะเป็นเพราะมารดาผู้อยากให้ลูกสาวไม่กลายเป็นความมืดอันชั่วร้าย
ดาบเล่มนี้จึงได้หลอมรวมความมืดมิดเข้ากับความเป็นแสงสว่างหรือตัวตนที่จะนำทุกอย่างไปสู่ความรุ่งเรือง..
กลายเป็นแสงทมิฬแห่งความมืดที่บริสุทธิ์..และแกร่งกร้าวราวกับอสนีบาต!
ดาบผ่าดาราสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว!
และเพียงพริบตานั้นทุกอย่าง คำถามมากมายในหัวของเลทิเซียล้วนได้รับการไขกระจ่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นิลหรือเจ้าหมึกยักษ์คือสิ่งที่ต้องถูกกำจัดโดยไวท์… วิญญาณที่สถิตอยู่กับเลทิเซีย.. นี่เป็นชะตาของพี่น้องที่ถูกบังคับให้ต้องห้ำหั่นกัน!
บางทีดาบผ่าดาราสวรรค์อาจจะไม่ได้มีธาตุมืดอย่างที่เลทิเซียครอบครอง และอาจจะไม่ได้มีอสนีบาตแกร่งกร้าวเช่นนี้
หากเธอได้กำจัดนิลไปตอนแรก.. เพราะปมในใจของไวท์คือการเป็นเด็กที่ไม่ดี.. เพราะตัวเองขัดคำพูดของพ่อ..
ดังนั้นเธอต้องกำจัด.. กำจัดปีศาจอสูรที่เป็นศัตรู บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความต้องการแต่กลายเป็นสัญชาตญาณโดยที่ไม่รู้ตัว
เธอกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง..บิดาทอดทิ้ง..เจ้านายทอดทิ้ง.. เพราะงั้นเธอจึงต้องกำจัดปีศาจ.. กำจัดและต้องกำจัดเท่านั้น
ซึ่งหากตามแผนของเจ้าพวกต้นตระกูลของไวท์วางเอาไว้.. ตัวไวท์จะกำจัดอสูรหมึกกลืนกินได้และตัวของเธอจะพลิกผันจากความมืดเป็นแสงสว่าง
เพราะตัวเธอจะกลายเป็นคนที่นำพาความรุ่งโรจน์มาแทน แต่แน่นอนว่าทุกอย่างไม่เป็นตามที่พวกมันคาดหวัง
จึงกลายเป็นว่า..ในตอนนี้ไวท์จึงเป็นกระบี่ที่ต้องการสังหารปีศาจอสูร.. ซึ่งการที่จะสามารถลบล้างปมนี้ได้บางทีมีเพียงแต่คงต้องสังหารนิลหรือเจ้าหมึกยักษ์เท่านั้น
“……ทำไม..”
เลทิเซียก้มหัวต่ำลงเล็กน้อย ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าอันไหนเป็นมิตร อันไหนเป็นศัตรู.. ภาพของนิลเด็กผู้หญิงที่มีสายตาที่น่าสงสาร
เหมือนกับแบกรับบาปอะไรบางอย่างเอาไว้..
ไวท์เด็กผู้หญิงที่ตื่นเต้นไปกับทุกอย่าง โดดเดี่ยวมานานแสนนาน .. ตอนนี้เธอได้มีทั้งอิสระและเสรีภาพ
“นายท่าน อาหารอันนี้อร่อยมากเลย มันเรียกว่าอะไรงั้นเหรอ”
มือของเธอกำแน่นจนเล็กของเธอจิกเข้าไปในฝ่ามือเธอมีเลือดไหลซิบ ในโลกที่ทุกอย่างแทบจะพังถล่มนั้น
ราวกับว่ามีเพียงเลทิเซียผู้เดียวที่ไม่ได้อยู่ในโลกเหล่านั้น.. ทำไม.. เธอต้องมาเห็นอะไรแบบนี้..
ทำไม….
พี่น้อง…
ฆ่ากันเอง?
นั่นเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากตัวเลทิเซียที่รักครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใดมากที่สุด.. ทำไมถึงต้องทำแบบนั้น..
ทำไม…
เลทิเซียไม่อาจหาคำตอบได้เธอเงยหน้าขึ้นไปมองนิลร่างเล็กที่กำลังกลายร่างเป็นอสุรกายน่าเกลียดน่ากลัว
มองไปที่แสงสีขาวที่ภายในเหมือนเป็นสีทมิฬที่โจมตีใส่นิลร่างเล็กกลางอากาศด้วยความเกลียดชังและเคียดแค้น..
เสียงกรีดร้องของเจ้าหมึกยักษ์ที่อยู่ข้างๆ เธอ..
และคมดาบเล่มเล็กที่อยู่บนมือของเธอมีใบหน้างุนงงของไวท์สะท้อนออกมาให้เห็น..
“ฉันต้อง…ไม่ให้มันเกิดขึ้น”
เลทิเซียกล่าวเช่นนั้น ดวงตาของเธอแดงก่ำจนน่ากลัว.. บางทีเหตุผลที่เลทิเซียสามารถมองเห็นภาพนี้ได้อาจจะเป็นเพราะตอนนั้น..
ตอนที่เลือดเนื้อของเจ้าหมึกยักษ์เข้ามาในตัวของเธอทำให้โลกที่มันสร้างส่งผลในตัวของเธอด้วย
เป็นเหตุผลที่มีเพียงแค่เลทิเซียกับเจ้าหมึกยักษ์ที่มองเห็นฉากนี้.. ส่วนซิลเวียไม่สามารถมองเห็นได้
แต่เรื่องนั้นเลทิเซียในตอนนี้ไม่ได้สนใจ.. เธอไม่อยากจะเห็นภาพของพี่น้องฆ่ากันเอง..นี่ไม่ใช่แค่ทำเพื่อนิลหรือไวท์ที่อาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองต้องฆ่าฟันกับพี่น้องฝาแฝด
แต่มันยังเป็นการทำเพื่อตัวเลทิเซียเองมากที่สุด.. ไม่ว่าจะเป็นเจ้าผู้กล้าสองคนที่ฆ่าสเตฟานี่ไป..
เลทิเซียเกลียดมันมาก.. เกลียดมันจนอยากจะฆ่ามันสักหมื่นๆ รอบ แต่เธอกลับไม่เคยดูถูกความสัมพันธ์ของพวกมัน
ใช่ ความรู้สึกของพวกมันคือความรู้สึกที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงโลกเพื่อครอบครัว.. ถึงแม้มันจะไม่ถูกแต่นั่นก็ทำให้เลทิเซียตระหนักรู้ได้ว่า
ไม่ว่าจะครอบครัวหรือเพื่อนพ้องทุกอย่างล้วนแล้วแต่สำคัญ.. ไม่ใช่ว่าหากเธอต้องช่วยเพื่อนหรือครอบครัว..เธอต้องช่วยใครก่อน?
ครอบครัวเหรอ? หรือเพื่อนกันล่ะ..?
ไม่.. เธอจะช่วยทั้งคู่ เพราะไม่ว่าจะสูญเสียใครไปสุดท้ายแล้วสิ่งที่รอเธออยู่มีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้น..
ตอนนี้เองก็เช่นกัน.. นิลอาจจะไม่ใช่.. แต่ไวท์คือคนที่เลทิเซียให้ความสำคัญมาก.. เธอยังไม่ได้กินอาหารอร่อยๆ อีกหลายอย่าง
เธอยังไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกอีกหลายปีอย่างมีความสุข เลทิเซียไม่มีทางยอมให้ไวท์ต้องรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมารู้ว่าคนที่ตัวเองสังหารไปเป็นพี่น้องฝาแฝด
ครอบครัว..เองก็สำคัญกับนิล..นิลเองก็สำคัญกับเลทิเซีย
ครอบครัว..เพื่อน..
ทุกอย่างต่างหลอมรวมกันกลายเป็นเลทิเซียในตอนนี้..
เธอจะไม่มีทางให้เรื่องราวนั้นเกิดขึ้น
“ฉัน..จะไม่ให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด!!!”
เลทิเซียคำรามกร้าวขึ้นมาพร้อมกับโลกทั้งใบที่แตกเสี่ยงๆ ออก กลายเป็นความว่างเปล่า เสียงกรีดร้องของเจ้าหมึกยักษ์..
ไม่สิ.. นิล.. เสียงร้องของเธออัดแน่นไปด้วยความบ้าคลั่ง
“เป็นแค่ตัวปลอม.. เป็นแค่ตัวปลอม…. ข้า.. ข้าตัวจริง.. ทำไม..”
เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความสับสนดังขึ้น เงาร่างสีดำที่ต่อสู้กับซิลเวียเองก็สลายหายไปเช่นกัน ความบ้าคลั่งของเธอนั้นผลักร่างเลทิเซียปลิวลิ่วโดยไร้แรงกระแทก
ซึ่งเลทิเซียอาศัยจังหวะนี้ใช้ปณิธานอันแกร่งกล้าของเธอเรียกร้องถึงต้นกำเนิด.. สาเหตุที่พวกเธอดำรงอยู่ในความว่างเปล่าแห่งนี้ได้หาใช่เพราะตัวพวกเธอเอง
แต่เป็นเพราะต้นกำเนิดที่ปกป้องพวกเธออยู่ เมื่อพิจารณาจากจุดนี้ดีๆ ละก็.. พวกเธอสามารถกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้!
เพราะพวกเธอเชื่อมต่ออยู่ สาเหตุที่ทั้งเลทิเซียและซิลเวียสามารถเคลื่อนที่ในโลกนี้ได้ล้วนเป็นเช่นนั้น..
ดังนั้นการที่จะตั้งปณิธานว่ากลับโลกที่พวกเธอเคยอยู่ได้นั้น ย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ปณิธานนั้นต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงจะต่อต้านแนวคิดแห่งความว่างเปล่า
และหยิบยืมพลังแห่งต้นกำเนิดมาได้ล่ะ?
คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น..
เรื่องนี้เลทิเซียรู้ดีกว่าใครเพราะตัวตนที่เป็นตัวแทนของต้นกำเนิดและแข็งแกร่งที่สุดอยู่ใกล้เธอที่สุด..
“อามาเระ!”