บทที่ 352 – การฉายซ้ำของประวัติศาสตร์
“ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสินะ”
เสียงอันเรียบนิ่งของคนคนหนึ่งดังขึ้น.. เสียงของเธอไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เลยทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามคำพูดของเธอก็ทำให้เลทิเซียไหล่กระตุก
เธอหันไปมองต้นเสียง แน่นอนว่าไม่ใช่ใครนอกจากสตรีผมสีขาวคนที่ห้ามปรามเลทิเซียเอาไว้ในตอนแรก
ดวงตาของเลทิเซียแดงก่ำด้วยความโกรธ ก่อนที่จะทันได้พุ่งเข้าโจมตีสตรีคนนั้นเธอเพียงถอนหายใจหนึ่งครั้ง
ร่างกายของเลทิเซียก็สั่นสะท้าน สมองราวกับถูกระเบิดออกจากด้านใน เลือดไหลทะลักออกจากทุกรูขุมขนทั่วร่าง
แขนขาขาดและหลุดกระเด็น.. แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ เลทิเซียไม่รู้ว่านั่นคือภาพลอนของตัวเธอเอง
หรือเป็นเพราะเกิดขึ้นจริงๆ แต่มีพลังฟื้นฟูของเธอถึงทำให้ทุกอย่างฟื้นฟูกลับมาได้ทันที
แต่หญิงสาวคนนั้นก็พูดต่อ..
“เธอคิดว่าฉันขัดขวางเธอ? คิดว่าฉันเป็นศัตรูของเธอ?”
“เหอะ อย่ามาพูดให้ฉันขำดีกว่า ถ้าหากไม่ใช่เพราะสึกุขอร้องให้ฉันช่วยเธอไว้ ฉันคงปล่อยให้เธอทำลายคนที่เธอรักไปแล้ว”
หญิงสาวคนนั้นกล่าวขึ้น คำพูดนั้นแน่นอนว่าเลทิเซียไม่ได้เข้าใจเลยสักนิด ไม่สิ อาจจะเพราะไม่อยากจะเข้าใจก็ได้
เลทิเซียไม่ใช่คนโง่.. อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่าหากอีกฝ่ายไม่หยุดเธอไว้ละก็.. บางทีชาร์ล็อตอาจจะ…
“อาจจะไม่ตาย?”
หญิงสาวคนนั้นพูดสิ่งที่เลทิเซียคิดออกมาได้หน้าตาเฉย ก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นซ้ำอีกกรอบหนึ่งว่า
“นี่เธอไม่เข้าใจอะไรเลยหรือแค่ไม่คิดจะเข้าใจตั้งแต่แรก?”
“……”
เลทิเซียไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงกล่าวต่อแม้นี่จะไม่ใช่ตามแบบลักษณะนิสัยของเธอก็ตาม
แต่เพราะเป็นคำขอร้องของผู้หญิงที่ชื่อสึกุ เธอจึงได้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับกล่าวคำ..
“เผ่าอสูร… เผ่าอสูรคือเผ่าที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากปรากฏการณ์จุดผสานของกาลเวลาที่เธอได้สร้างขึ้นมา..”
“และก็แน่นอนที่ฉันบอกว่าทุกโลกในที่นี้.. ฉันหมายถึงทุกต้นกำเนิดที่ไม่ใช่ต้นกำเนิดแห่งนี้มันถูกเชื่อมโยงหรือเรียกอีกแบบว่าดูดเข้าในต้นกำเนิดแห่งนี้”
“นั่นแหละคือจุดผสานของกาลเวลา.. เรียกว่าจุดผสานของต้นกำเนิดยังดูดีกว่าละนะ..”
“อย่างไรก็ตามเผ่าอสูรในโลกนี้มีประเภทอะไรบ้างล่ะ? บ้างก็เป็นปีศาจ บ้างก็เป็นมนุษย์ บ้างก็เป็นอสูรจริงๆ ที่หลุดออกมาจากนิทานปรัมปราในโลกก่อน”
“เธอเข้าใจที่ฉันจะบอกไหม?”
ใช่แล้ว.. อสูรไม่ได้มีเพียงมนุษย์หรือปีศาจ แต่พวกมอนสเตอร์ที่ไร้สติอย่างพวกก็อปลินหรือมอนสเตอร์ต่างๆ ในโลกล้วนแล้วแต่เป็นเผ่าอสูร
พอพูดมาถึงจุดนี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่า เผ่าอสูรนั้นถือกำเนิดขึ้นมาจากเรื่องเล่า.. ตำนาน หรือคำกล่าวขานจากอีกโลกหนึ่ง
ภายใต้จุดผสานของกาลเวลาทำให้พวกสิ่งเหล่านั้นมีตัวตนขึ้นมาในโลกนี้ได้ด้วยความบังเอิญ
จะพูดว่าบังเอิญก็ไม่ถูก เพราะในโลกนี้มีตัวตนอันพิลึกพิลั่นอย่างสตรีผมขาวที่ไม่รู้ที่มาที่ไป หรือสตรีผมสีทองที่มีนามว่าโรสที่อาจจะเคยทำลายล้างต้นกำเนิดมาแล้วนั้น..
ล้วนแต่เป็นชนวนทำให้โลกนี้เกิดปรากฏการณ์จุดผสานของกาลเวลา กล่าวคือมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรทั้งสิ้น
“แน่นอนว่าเผ่าอสูรก็มีระดับของมันเอง.. ซึ่งบางทีเธอก็คงจะพอเดาได้ตั้งแต่รู้ว่าบางทีเผ่าอสูรก็ไม่ตาย บางทีเผ่าอสูรก็ตายได้”
เธอกล่าวออกมาแบบนั้น จะบอกว่าแบ่งระดับก็ไม่เชิงซะทีเดียว ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวในอีกโลกเสียมากกว่าที่จะวัดว่าตัวตนพวกเขาจะถือกำเนิดขึ้นมายังไง
ถ้าเป็นอสูรระดับมอนสเตอร์ที่มีให้เห็นกันประปรายตามนิทานพื้นบ้านอย่างพวกก็อปลินหรือลิซาร์ดแมนอะไรแบบนั้น
ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษสามารถเข่นฆ่าหรือดับสูญได้ตามปกติ.. แต่ถ้าพูดถึงระดับผู้ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์อย่างทสึรุและชาร์ล็อตล่ะ..
ใช่แล้ว.. เหตุผลที่เธอได้มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ได้เพราะอะไรกันล่ะ?
จะมีอะไรอย่างอื่นนอกเสียจากการที่เธอได้กลายเป้นตำนานให้คนได้เคารพและเป็นที่รู้จัก และจารึกลงในจิตใจว่า..
ทสึรุฮิเมะ คนคนนี้คือคนที่ตายเพื่อปกป้องปราสาท
ชาร์ล็อต กอร์แด ผู้ที่เป็นเทพธิดาแห่งการสังหาร..
ใช่ นี่คือแนวคิดที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากเรื่องเล่าแปรเปลี่ยนเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ โลกนี้จึงได้ทำการ ฉายซ้ำประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าหลายครั้งเผ่าอสูรบางทีก็ฆ่าไม่ตาย บางครั้งก็ฆ่าตายได้แบบน่าฉงน.. ซึ่งที่พวกเธอยังตายไม่ได้เพราะยังไม่ถึงฉากจบของประวัติศาสตร์เหล่านั้น
กล่าวคือ.. พวกเธอจะไม่มีทางตายหรือตายไม่ได้เด็ดขาด ตราบใดที่ประวัติศาสตร์นั้นยังฉายไม่จบ และแน่นอนว่าปรากฏการณ์นี้เชื่อมโยงมาถึงพวกผู้หญิงผมสีขาวเหล่านี้
การจะเผ่าอสูรที่อยู่ในระดับตำนานในหน้าประวัติศาสตร์ หากไม่กำจัดสตรีผมสีขาวจนทำให้ปรากฏการณ์จุดผสานของกาลเวลาก็มีแต่ต้องรอให้ถึง..จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์
ซึ่งแน่นอนว่าคนบนโลกนี้ไม่มีทางรู้ประวัติศาสตร์จากโลกใบอื่นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่สับสนและงุนงงว่า..
ทำไมเผ่าอสูรบางทีก็ฆ่าตายไม่ได้ แต่บางทีก็ฆ่าตายได้..
นั่นแหละคือคำอธิบายความอมตะฆ่าไม่ตายของเผ่าอสูร.. ซึ่งเรื่องนี้คนนอกมองไม่ออกก็จริงแต่เลทิเซียคงเดาออกตั้งแต่แรก..
แต่ถ้าหากเธอยอมรับมันละก็….
“ใช่.. ถ้าหากยอมรับก็หมายความว่าเธอยอมรับด้านตรงกันข้ามนี้เช่นกันว่า.. เมื่อถึงเวลาตายตำนานของพวกทสึรุ.. เธอไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน”
“ต่อให้สังหารฉันหรือใครสักคนในหมู่พวกเราสามคนไป.. สุดท้ายแล้วตัวตนของทุกอย่างจะไม่มีมาตั้งแต่แรกเช่นกัน กล่าวคือล้วนไร้ความหมาย”
“ความตายของพวกเธอน่ะ.. ถูกกำหนดมาตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะเกิดขึ้นมาในโลกก่อนแล้วยังไงล่ะ!!!!”
เสียงของหญิงสาวผมสีขาวก้องกังวานอยู่ในหัวของเลทิเซีย ความจริงที่เธอพยายามจะปฏิเสธมาตลอด..
เลทิเซียก้มหน้าลงมือสองข้างกำเป็นหมัดอย่างช้าๆ .. จี้สีแดงที่ชาร์ล็อตมอบให้นั้นถูกกำแน่นจนแทบแหลกคามือของเลทิเซียเลยก็ว่าได้..
“เรื่องแบบนั้นน่ะ.. ฉันรู้แต่แรกแล้วล่ะ… แต่ว่า.. ถ้าหากเธอไม่มาขวางเอาไว้ละก็.. ถ้าเธอไม่มาขวางไว้ฉันก็เพียงแค่ฆ่าทุกคนก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าหากมีการประหารขึ้นอีกฉันก็จะฆ่าอีก.. ฆ่า.. ฆ่า.. และก็ฆ่า… ต่อให้มือคู่นี้ต้องแปดเปื้อนแค่ไหนก็ตาม.. ฉันก็จะต้องปกป้อง คนแข็งแกร่งแบบเธอคงไม่เคยเข้าใจหรอกว่าคนที่อ่อนแอและไร้ค่าที่จะมีชีวิตอยู่แบบฉัน… ต้องการพวกเขาเหล่านั้นขนาดไหน”
เลทิเซียกัดริมฝีปากจนเลือดไหลออกจากปากของเธอเสียงของเธอดูแข็งกร้าวเส้นเลือดปูดบนใบหน้า…
หญิงสาวคนนั้นไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เธอพูดตอบเลทิเซียเบาๆ พร้อมกับถอนหายใจอีกครั้งว่า..
“ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันเปล่าประโยชน์น่ะ”
“เธอบอกว่าแค่ช่วยก็พอ? ช่วยก็พองั้นสินะ.. ฉันพึ่งบอกไปไม่ใช่เหหรอว่านี่คือการฉายซ้ำของประวัติศาสตร์ ต่อให้เธอพยายามเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนั้น?”
“คำตอบก็คือ ประวัติศาสตร์จะถูกเปลี่ยน ตัวตนของพวกเธอจะเป็นไม่ได้แม้แต่ตำนานด้วยซ้ำ ตัวตนของคนเหล่านั้นที่ในตอนนี้เป็นตำนานจนกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงทุกวันนี้”
“เธอบอกเธอจะเปลี่ยนมัน? .. กล่าวคือ พวกเธอเหล่านั้นเองก็จะไม่ได้ปรากฏตัวบนโลกนี้ตั้งแต่แรก เธอจะบอกว่าเธอจะทำแบบนี้งั้นเหรอ?”
หญิงสาวคนนั้นพูดตรงประเด็นทำให้เลทิเซียพูดไม่ออกอย่างไรก็ตาม เธอก็กัดริมฝีปากตอบ
“อย่างน้อย…”
แต่ยังไม่ทันได้พูดจบหญิงสาวผมขาวก็พูดตัดขึ้นมาก่อน
“อย่างน้อยก็ดีกว่าตายไปยังงั้นเหรอ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงจะมากำหนดประวัติศาสตร์ให้คนอื่น จริงอยู่ที่เธอนั้นอาจจะรู้จักกับทสึรุที่อยู่โรงเรียน”
“ได้สนิทกับชาร์ล็อตที่เป็นรูมเมจ.. แต่แล้วไง.. เธอได้รู้จักกับต้นตอที่สร้างตำนานเหล่านี้ขึ้นหรือเปล่า เธอไม่รู้จักพวกเขาด้วยซ้ำ”
“สิ่งที่เธอรู้จักมีเพียงทสึรุและชาร์ล็อตที่เกิดจากการฉายซ้ำของประวัติศาสตร์บนโลกนี้เท่านั้น.. หากเธอเปลี่ยนแปลงการฉายซ้ำนี้จนไม่เกิดเป็นประวัติศาสตร์ดังเดิมมันก็หมายความว่า..ตำนานในโลกฝั่งนู้นก็จะหายไปเช่นกัน..”
“ฉันจะขอถามเธออีกรอบ..เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”
“เธอคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นจริงๆ งั้นเหรอ?”