การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 355

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 355 – วิธีการ

คำถามแรกที่ลอยเข้ามาในหัวคือมารดาแห่งสรรพสิ่งคืออะไรอแต่ราวกับว่าคำถามนั้นไม่จำเป็นต้องมีใครตอบทุกคนย่อมรู้จักสิ่งนั้นทันที

แน่นอนไม่เว้นแม้แต่เลทิเซียด้วย.. ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อหลายปีก่อนที่เลทิเซียได้หลุดเข้าไปในโลกชิ้นส่วนเวหา

ในวันนั้นเธอได้ยินเรื่องเล่าบางอย่าง… ก่อนที่โลกใบนี้จะถือกำเนิดขึ้นมา.. แน่นอนว่าก่อนที่โลกนี้จะถือกำเนิดต้องหมายถึงต้นกำเนิด

แต่ชิ้นส่วนเวหาเป็นต้นกำเนิดในอดีตที่เคยพังทลายไปด้วยฝีมือใครสักคนไปแล้ว.. กล่าวคือโลกที่เลทิเซียอยู่ในยามนี้เป็นโลกใบใหม่ที่มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากเดิม

ซึ่งเรื่องนี้เลทิเซียรู้ดีกว่าใครเพราะเคยไปชิ้นส่วนเวหามาแล้วนั่นเอง.. กล่าวคือชิ้นส่วนเวหาเปรียบดั่งโบราณสถาน

ถึงอายุขัยมันจะยาวนานกว่าคำว่าโบราณไปไกลโขก็เถอะ.. ซึ่งภายในนั้นเลทิเซียได้รับฟังเรื่องเล่าอะไรบางอย่างที่มีชื่อว่า..

‘เทพแห่งการกำเนิดโลก’

เป็นเรื่องราวของสองสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่าตัวตนของพวกเธอเปรียบดั่งความสมดุลของสรรพสิ่ง

แม้ไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าตัวตนของพวกเขาคืออะไร แต่เพียงพริบตาที่เลทิเซียได้ยินคำว่า ‘มารดาแห่งสรรพสิ่ง’ นั้น

มันทำให้หัวของเธอเชื่อมโยงเรื่องในอดีตไปโดยอัตโนมัติราวกับว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะรู้จัก..

และหากเป็นเช่นนั้นจริง เลทิเซียก็พอจะเรียบเรียงเหตุการณ์ในอดีตได้แล้ว.. หากมารดาแห่งสรรพสิ่งคือผู้สรรค์สร้างต้นกำเนิดขึ้นมาครั้งแรก

บางทีผู้หญิงผมสีขาวตรงหน้าเลทิเซียนี้.. ก็เป็นคนที่สร้างโลกนี้ขึ้นมาใหม่อีกที ถึงเลทิเซียจะไม่มั่นใจแต่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป้นแบบนั้น

ซึ่งเรื่องราวมันลึกกว่าที่เลทิเซียคิด เธอไม่ได้คิดที่จะเก็บเอามาใส่ใจในตอนนี้ เพราะสิ่งที่เธอสนใจมีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือ…

วิธีคืนชีพที่ว่านั่น เรื่องอื่นทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่อยู่ในความสนใจของเลทิเซีย.. อาจารย์ชิสุที่ได้ยินแบบนั้นก็เปลี่ยนเรื่องกลับมาเรื่องเดิม

“อะแฮ่ม… อย่างที่ฉันได้บอกไปตามข้างต้นว่าหลักการแนวคิดของความตายมันเป็นอย่างที่ว่ามานั่นแหละ”

“และสิ่งที่ฉันจะแนะนำเธอก็คือการ… เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องมาจากคำว่าเหตุที่บอกว่า ‘ตาย’ ดังกล่าวนั้น”

เธอพูดพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาและก็หลับตา ดวงตาของเลทิเซียก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความสับสนเล็กน้อย

นั่นแน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติ ยังไงซะเลทิเซียก็เชื่อว่าการจะชุบชีวิตคนตายนั้นไม่อาจจะทำได้มาตลอด

หากมีคนมาบอกว่ามันมีวิธีอยู่จริงๆ ต่อให้เป็นเลทิเซียเองกก็ยังแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ อาจารย์ชิสุเองก็ไม่ได้คิดจะพูดยาวยืดเยื้อเธอกล่าวสืบต่อ

“จริงอยู่ที่ว่า.. เหตุที่ว่า ‘ตาย’ ปรากฏขึ้นมาแล้วนั่นคือความเป็นจริงที่แน่นอนที่ไม่อาจจะบิดเบือนได้ จึงมีผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”

“สิ่งนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้วในโลกใบนี้.. เข้าใจที่ฉันจะบอกใช่ไหม? ไม่ต้องพูดถึงพวกเผ่าอสูรอย่างชาร์ล็อตกับทสึรุเลย”

อาจารย์ชิสุจ้องไปที่เลทิเซีย แน่นอนว่าพออธิบายแบบนี้เลทิเซียก็เข้าใจแทบจะทันที.. พูดง่ายๆ คือหากตายแล้วก็คือตาย

ต่อให้เลทิเซียจะแก้ไขมันเท่าไหร่ความจริงที่บอกว่าตายนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง.. พูดง่ายๆ ก็คืออดีต ปัจจุบันและอนาคต

ที่เลทิเซียจะพบเจอกับอะไร ที่เลทิเซียจะได้มองเห็นอะไรทุกอย่างล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดมาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

จริงๆ ในโลกเดิมของเลทิเซียมีการโต้เถียงกันมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นว่าทุกอย่างถูกกำหนดให้เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว

หาได้ขึ้นอยู่กับผู้สังเกตเช่นเราไม่.. หากโลกเรามีสิ่งที่เรียกว่าโลกคู่ขนานอยู่จริงๆ หมายความว่าอนาคตที่ยังไม่เกิดนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยเรางั้นเหรอ

แต่ถ้ามองกลับกันหากเราเป็นแค่ผู้ที่เดินทางไปยังโลกตามตัวเลือกต่างๆ ที่เราเลือกแทนล่ะ.. หมายความว่า

ต่อให้เลทิเซียจะเดินไปซ้ายหรือไปขวา.. อีกฝั่งที่ไม่ได้เลือกนั้นแทนที่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่แต่กลับเป็นมันมีมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก

ตัวเราเป็นเพียงผู้สังเกตที่พึ่งมาถึงเหตุการณ์นั้นเพียงเท่านั้นเอง

สรุปคือความตายของทุกๆ คนล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว.. เพียงแต่เลทิเซียพึ่งเดินทางมาถึงฉากนั้นในโลกนี้ก็เท่านั้นเอง

นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ชิสุจะบอกเลทิเซีย … เพราะพวกเรานั้นใช้นิยามคำว่าเวลาต้องเป็น 1 2 3 ผู้ที่อยู่สูงกว่าขึ้นไปแล้วละก็

เวลาที่เป็น 1 2 3 สำหรับเราแต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขตัวเลขเดียวเท่านั้น กล่าวง่ายๆ คือไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตก็เกิดขึ้นพร้อมกันหมดนั่นแหละ

นั่นจึงเป็นที่มาของคำอธิบายนี้นั่นเอง

ซึ่งพอฟังถึงจุดนี้แทนที่จะรู้สึกว่าช่วยได้ เลทิเซียกลับรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมเพราะว่า.. การที่ทุกอย่างถูกกำหนดให้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว

หมายความว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่อาจจะช่วยจากความตายได้เลย.. ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อหลีกเลี่ยงความตายไม่ได้แบบนี้

เรื่องของผลลัพธ์ที่อาจารย์ชิสุพูดไปก่อนหน้านี้ยิ่งตอกย้ำที่ใบหน้าเลทิเซียมากขึ้นกว่าเดิมว่า การช่วยคนตายไม่มีทางเป็นไปได้

และอาจารย์ชิสุก็พูดต่อเหมือนอ่านใจเลทิเซียได้ว่า

“แต่.. ที่ฉันจะบอกคือไม่ได้เธอไปงัดข้อกับสิ่งที่เป็นไปได้สักหน่อยนี่..”

“หมายความว่าไง?”

พอฟังแบบนั้นเลทิเซียก็พูดถามขึ้นมาแทบจะทันที ถ้าหากผู้หญิงคนนี้รู้เรื่องนั้นดีแล้วยังบอกว่ามีวิธีช่วยอยู่อีก

มันก็หมายความว่า.. มันอาจจะเป็นไปได้จริงๆ ก็ได้..

การช่วยคนสำคัญของเลทิเซียน่ะ

“วิธีการช่วยที่ฉันจะพูดถึงคือ.. มีสองวิธีหลักๆ ”

“สองวิธีเลยเหรอ?”

พอได้ยินแบบนั้นเลทิเซียก็รู้สึกว่าแบบนั้นก็ตื่นเต้น ไม่ได้มีแค่วิธีเดียวแต่มีถึงสองวิธี.. หรือก็คือมีโอกาสมากกว่าหนึ่งครั้ง

“ใช่ แต่จะใช้วิธีไหนก็ขึ้นอยู่ตามสถานการณ์ เธอต้องเลือกให้ถูกวิธี”

“วิธีที่หนึ่ง.. ‘Butterfly Effect’ หรือ ผีเสื้อขยับปีก.. ทฤษฎีนี้เธอน่าจะเคยได้ยินมาก่อนในโลกเดิมของเธอ”

“เป็นการสร้างเหตุการณ์เล็กๆ แต่ส่งผลถึงขั้นเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์บางอย่างได้ ซึ่งหากเธอใช้วิธีนี้มันอาจจะควบคุมยากนิดหน่อยก็ตาม”

“แต่ทว่า..วิธีนี้มีโอกาสสำเร็จกว่าวิธีที่สองเพราะว่าตัวเธอไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นมากนัก ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่ดีในการแทรกแซงความจริงที่แน่นอน”

“วิธีนี้ฉันไม่แนะนำให้ใช้ในการช่วยเพื่อนเผ่าอสูรของเธอเพราะ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จะค่อยๆ ขยายใหญ่ได้ก็จริงแต่สุดท้ายแล้วมันก็จะเกิดเรื่องราวดั่งเช่นประวัติศาสตร์ดั้งเดิมด้วยเหตุการณ์บางอย่างอยู่ดีนั่นเอง”

“แต่ระวังไว้ด้วยนะ .. หากทำให้เกิด ‘Time Paradox’ ละก็.. ภาพสะท้อนของริวคุงจะปรากฏตัวออกมาในโลกนั้นด้วย”

พอฟังมาถึงจุดนี้เลทิเซียก็เริ่มที่จะสงสัยในบางอย่าง ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นไปมองอาจารย์ชิสุพร้อมกับกล่าวถาม..

“คือ..”

“วิธีที่สอง”

ก่อนที่เลทิเซียจะได้กล่าวถามอาจารย์ชิสุก็ยกนิ้วที่สองขึ้นมาแทบจะทันที ไม่ให้เลทิเซียได้พูดแทรก แม้เลทิเซียจะสงสัย

แต่เพราะนี่คือทางเดียวที่จะสามารถช่วยเพื่อนคนสำคัญจึงตั้งใจฟังต่อไป อาจจะเพราะเธอเป็นอาจารย์มาหลายปีแล้ว

ทำให้เธอในตอนนี้มีนิสัยเหมือนอาจารย์ไม่มีผิด… นิสัยที่ไม่ชอบให้นักเรียนพูดขึ้นมาขัดขณะที่สอน ก็นะเธอเป็นอาจารย์จริงๆ นี่น่า

“วิธีนี้ควบคุมสถานการณ์ได้ง่ายก็จริง.. แต่มันยุ่งยากมากๆ เลยนั่นคือการที่เธอต้อง… หลอกลวงโลกใบนี้”

“หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ.. ทำให้มีเหตุและผลเหมือนเดิมที่ความจริงวางมาไว้.. แต่..จะเปลี่ยนเรื่องราวที่ว่านั้นให้เป็นตามที่เธอต้องการ”

“เช่นว่า.. B น่ะต้องเจอ A และเพราะสาเหตุจาก A นี้เลยนำพาไปสู่ความตายเพราะ A จริงๆ แล้วคือคนต้องมาฆ่า B”

“สิ่งที่เธอต้องทำคือปล่อยให้ความจริงดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจนถึงความจริงที่ว่า B ด้วยฝีมือ A แต่เธอต้องช่วยอะไรบางอย่างกับ B เพื่อให้ B ไม่ตาย”

“แต่เหตุการณ์ที่ A ฆ่า B ต้องเกิดขึ้นเหมือนเดิมเพื่อหลอกลวงโลกใบนี้ หลอกลวงความเป็นจริงและหลอกลวงโชคชะตา”

พอพูดถึงจุดนี้.. จู่ๆ เลทิเซียก็พูดขึ้นว่า..

“แต่ว่าเดี๋ยวก่อนนะ.. วิธีแบบนั้นมัน.. เป็นการทำก่อนที่จะเกิดการตายของพวกเธอทั้งหมดเลยไม่ใช่เหรอ หรือว่า….”

พอพูดถึงจุดนี้เลทิเซียก็จ้องไปที่อาจารย์ชิสุ เธอเองก็ยกยิ้มขึ้นช้าๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบเบาๆ ว่า

“ใช่แล้ว.. ที่ฉันจะบอกคือเธอต้อง… ย้อนเวลากลับไปยังไงล่ะ และวิธีย้อนเวลาน่ะเธอคงรู้แล้วใช่ไหม.. จากเมื่อสิบปีก่อนที่อาณาจักรมิราลิสน่ะ”

…….

[เรื่องราวของ ‘เทพแห่งการกำเนิดโลก’ มีการเล่าถึงใน บทที่ 71]

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท