บทที่ 364 – เวโรเน่..?
เลทิเซียค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ .. เธอมองเห็นท้องฟ้าสีครามแต่ในตอนนี้รอบด้านอึมครึมไปด้วยบรรยากาศที่มืดมนนิดหน่อย
ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่โล่งกว้างหญ้าแม้ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าเขียวขจีแต่ก็ยังคงงดงามหากเทียบกับโลกเดิมเลทิเซียที่เต็มไปด้วยตึกราวบ้านช่อง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันสดใสแต่อย่างใด.. ภาพทุกอย่างค่อยๆ ย้อนทวนขึ้นมาในหัวของเลทิเซีย..
“อามาเระ…ทุกคน”
เธอกัดริมฝีปากเบาๆ .. ยกแขนพาดผ่านดวงตาทั้งสองข้าง ในมือข้างนั้นถือจี้สีแดงอันหนึ่งอยู่ เลทิเซียไม่ใช่ปีศาจไร้หัวใจ
ทุกครั้งที่เห็นคนสำคัญสลายไปต่อหน้าต่อตาไม่มีทางที่เธอจะชิน แม้จะรู้ว่าอามาเระไม่ได้เป็นอะไร
แต่ทว่า..ภายในหัวใจของเลทิเซียก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี.. อีกทั้งชาร์ล็อตเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีทางช่วยจริงๆ ไหม..
“ฉันมัน…”
ในขณะที่เลทิเซียกำลังนอนอยู่บนพื้นนั้นเอง จู่ก็พลันมีเสียงอันสุขุมและอ่อนโยนดังขึ้นด้านข้าง
“เอ่อ.. เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
พอเลทิเซียได้ยินแบบนั้นเธอก็ตกใจพร้อมกับดีดตัวถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับเก็บจี้สีแดงเข้าไปทันที.. ด้านข้างมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งยองมองเธออยู่
เธอคนนี้มีผมสีดำกับเลทิเซียแท้ๆ .. แต่ผมนั้นดูเงางามไม่เหมือนผมสีดำของเลทิเซียกับไวท์เลยสักนิด
ใบหน้าของเธอ… เข้าขั้นน่าเกลียดน่ากลัวเลยก็ว่าได้.. เพราะใบหน้าของเธอครึ่งใบหน้าเป็นแผลเป็นถูกเผาตั้งแต่คางไปจนถึงใต้ดวงตา
แต่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นงดงามราวกับเทพธิดาไม่มีผิด.. บางทีหากไม่มีแผลเป็นตรงไฟไหม้นั้นเธอคงสวยน่าดูเลยล่ะ
พอเห็นเลทิเซียตกใจเด็กผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อะ.. ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้จะทำให้เจ้าตกใจจริงๆ นะ”
เธอรีบพูดขอโทษพร้อมกับใช้ผ้าสีขาวขึ้นมาพันใบหน้าที่มีแผลเป็นไฟไหม้เอาไว้.. เพราะเธอคิดว่าเลทิเซียกำลังกลัวใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเธอ
แถมเลทิเซียในตอนนี้ก็ดูเหมือนเด็กอายุสิบกว่าปีเท่านั้นด้วย เวทมนตร์ที่ปกปิดรูปร่างนั้นหายไปพร้อมกับการปะทะกับภาพสะท้อนของเทพผู้สร้างแล้วล่ะนะ
แต่น่าเสียดายที่ของแบบนั้นไม่ได้ทำให้เลทิเซียกลัวหรอก เพราะที่เลทิเซียแสดงท่าทางแบบนี้ออกมามันแทบเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดของเธอแล้ว
แต่หญิงสาวคนนั้นก็เหมือนจะมีความคิดของตัวเองน่าดู เพราะเธอเห็นที่ดวงตาเลทิเซียมีน้ำตาไหลอู่ด้วย
“อ่า.. ข้าไม่ได้ต้องการจะทำให้เจ้ากลัวนะ ข้าขอโทษ เพราะงั้นหยุดร้องไห้เถอะนะ … จริงสิ ข้ามีดอกไม้นะ.. เจ้าต้องการไหม?”
“ฉันไม่ได้ร้องไห้”
เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็รีบพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาออกทันที.. หากยังร้องไห้แบบนี้มีหวังกลายเป็นคนขี้แยไปพอดีสิ..
พอเห็นเลทิเซียพูดแบบนั้น เธอก็เหมือนจะรู้ว่าควรจะพูดอะไรไม่ควรจะพูดอะไร….
“จ๊อกกกกกก”
แต่ในตอนนั้นเองท้องของเลทิเซียก็ร้องขึ้นมา.. ทำให้หญิงสาวไม่ทราบนามคนนั้นตกใจทันที เธอมองเลทิเซียด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“อืมมมม”
แน่นอนว่าเพราะก่อนหน้านี้เธอยังกินอาหารไม่เต็มอิ่มด้วยซ้ำ รีบออกมาเพราะความกังวลเสียก่อน
ทำให้ท้องยังไม่เต็ม แถมยังต้องใช้พลังงานอย่างมากในการข้ามเวลาแต่ละครั้งจึงไม่แปลกที่จะท้องว่าง
อีกอย่างแม้เลทิเซียจะไม่จำเป็นต้องกินหรือดื่มก็ไม่ตายก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าท้องของเธอนั้นต้องเต็มอิ่มอยู่เสมอ
ที่ทำให้เธอไม่ต้องกินไม่ต้องดื่มเพราะเลือดเธอไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าสารอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงแล้ว เพราะเลือดนั้นมันจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ตลอดอยู่แล้วนั่นเอง
ดังนั้นแม้จะไม่จำเป็นต้องหิว.. แต่หากไม่อยากท้องร้องก็ต้องกินด้วยนะ
“เจ้าหิวงั้นสินะ.. มาบ้านข้าสิ เดี๋ยวข้าแบ่งอะไรให้กิน แถมดูเจ้าตอนนี้สิ”
อีกฝ่ายมองเลทิเซียด้วยสายตาจ้องลึก.. เลทิเซียในตอนนี้สวมเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะกับขนาดตัว นั่นก็แน่นอนเพราะว่าก่อนหน้าเลทิเซียขยายร่างเพื่อหลอกตาชาร์ล็อต
แต่พอตอนนี้กลับเป้นร่างปกติของเธอเองชุดเลยไม่เหมาะกับตัวเธอ ไม่เพียงแค่นั้น ชุดของเธอยังขาดๆ เกินๆ ราวกับหลุดมาจากสลัมที่ไหนสักแห่งเลยงั้นแหละ
ถ้าหากมีปลอกคอด้วย.. เธอคงคิดว่าเลทิเซียเป็นทาสหลบหนีแล้วล่ะ.. แถมเนื้อตัวยังมอมแมมอีกต่างหาก
เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว เธอในตอนนี้ยังไม่รู้สถานการณ์เลยว่าเธออยู่ที่ไหนช่วงเวลาใด
แต่ที่มั่นใจคือเธอไม่ได้หลุดไปโลกอื่นแน่นอนเพราะว่าเส้นเวลาที่เธอถูกพัดมานั้นเป็นโลกเดิมแน่นอน
แค่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนเท่านั้นแหละ.. ทางที่ดีตอนนี้ควรจะหาที่ไหนปักหลักสักแห่งสักก่อน.. แล้วก็ต้องวางแผนรับมือด้วยสิ
แต่การหลีกเลี่ยงพบปะกับคนอื่นจะดีกว่านะ..
“ไม่สิ.. คิดสิตัวฉันคิดสิ.. หากตามที่อาจารย์ชิสุว่ามาเป็นความจริงแล้วละก็.. มีอีกวิธีหนึ่งนี่ที่ยังไม่ได้ลอง.. วิธีที่อ้างอิงมาจาก ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกน่ะ”
เลทิเซียคิดแบบนั้น บางทีหากสร้างพันธมิตรหรือแปรเปลี่ยนอะไรเล็กๆ น้อยอาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีก็ได้
ทั้งตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นในอดีตหรืออนาคตด้วยสิ.. ทางทีดี..
“อืม.. เข้าใจแล้ว”
เลทิเซียพยักหน้าตอบตกลงทันที.. แม้จะควบคุมไม่ได้แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วก็ต้องมาลองกันสักตั้งแล้วกัน
“งั้นตกลงตามนี้ กลับบ้านกันเถอะ ฮึบ”
เธอกล่าวแบบนั้นพร้อมกับยกถังน้ำขึ้นแล้วก็เดินนำเลทิเซียไปทางหมู่บ้านแห่งหนึ่ง.. เลทิเซียเห็นอีกฝ่ายดูท่าจะหนักเลยไม่ได้ชวนคุย
เพราะถังที่ใส่น้ำก็ไม่ใช่เล็กๆ .. แต่พอยิ่งมองเธอก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด เพราะทุกครั้งที่เธอก้าวขาไปข้างหน้าน้ำที่อยู่ในถังก็หกออก
จนแทบจะหมดแล้ว เลทิเซียถึงจะไม่จำเป็นต้องแสดงตัวเป็นคนใจดีเหมือนอยู่ในโรงเรียนแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะการแสดงแบบนั้น
มันทำให้เธอเปลี่ยนไป.. หรืออาจจะเพราะแต่แรกเดิมทีเลทิเซียไม่ใช่คนใจจืดใจดำแต่แรกแล้ว.. เลทิเซียถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
“เดี๋ยวฉันช่วย”
เธอเดินไปยกถังออกจากมือของอีกฝ่าย แต่เหมือนทางนั้นจะปฏิเสธ
“เอ.. เอ๊ะ ?… ไม่เป็นไ— ว้าว ไม่หนักเลยงั้นเหรอคะ?”
แต่พอเห็นเลทิเซียยกขึ้นแบบสบายๆ ดวงตาของเธอก็เผยแววประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เด็กคนนี้ตัวเล็กกว่าเธอซะอีก
แต่ยกถังน้ำที่เธอยกขึ้นได้อย่างทุลักทุเลง่ายๆ เลยเนี่ยนะ.. แถมไม่รู้ว่าตาฝาดไปเองไหมเหมือนน้ำในถังที่หกไปจะกลับมาเต็มเหมือนเดิมด้วย
“อ้อ.. มันคือเวทมนตร์น่ะ”
เลทิเซียพูดเบาๆ อันที่จริงร่างกายเธอในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเสริมพลังด้วยเวทมนตร์แล้วล่ะ สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่า ‘ทักษะ’ ที่เธอได้รับมานั้น
มันมีบางอันที่เพิ่มลักษณะทางกายภาพโดยตรง ทำให้ไม่แปลกที่เลทิเซียจะแข็งแรงอย่างที่เห็น.. ไม่เพียงแค่นั้นเลทิเซียยังใช้เวทเติมน้ำกลับมาเต็มถังให้อีกด้วย
“ว้าว.. เจ้าใช้เวทมนตร์เป็นด้วยเหรอเนี่ย?”
พอเลทิเซียได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย.. เวทมนตร์คือศาสตร์ที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันจนเป็นเหมือนเรื่องปกติ
นั่นแน่นอนว่ารวมถึงเด็กบ้านนอกเช่นกัน แม้จะมีคนใช้เวทมนตรืง์ไม่เป็นอยู่บ้างก็จริง.. แต่ทุกๆ หมู่บ้านจะมีสถานที่ฝึกสอนฝึกหัดอยู่
ทำให้เด็กๆ ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงเวทมนตร์ได้.. แต่จากคำพูดของเด็กคนนี้หมายความว่า.. สถานที่ฝึกสอนฝึกหัดยังไม่มีสินะ
จากการศึกษาประวัติศาสตร์มา สถานที่ฝึกสอนฝึกหัดนี้ได้รับการสนับสนุนโดยองค์การของราชาที่ประกาศออกมาโดยตรง
ซึ่งองค์การนี้เผยแพร่ออกมาครั้งแรกเมื่อประมาณสองร้อยปีก่อนปัจจุบัน.. ซึ่งแพร่หลายในปัจจุบัน.. หมายความว่า..
ตอนนี้อาจจะเป็นช่วงสองร้อยปีก่อน..หรือประมาณนั้นสินะ..
“มีอะไรเหรอ?”
“เปล่าหรอก..”
อีกฝ่ายถามเลทิเซียแต่เลทิเซียก็ปฏิเสธ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นว่า
“จริงสิ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรเหรอ?”
“ฉันเหรอ..”
เลทิเซียคิดอยู่ครู่หนึ่ง คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้งนะ..
“ฉันชื่อเลทิเซีย”
“อ่า.. เลทิเซียงั้นเหรอ? ยินดีที่ได้รู้จักนะเลทิเซีย ข้าชื่อว่า เวโรเน่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
พอได้ยินแบบนั้นหนังตาเลทิเซียกระตุกเล็กน้อย หันไปหาเวโรเน่
“เวโรเน่งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว ทำไมเหรอ”
“อ้ะ.. เปล่าหรอก ชื่อเหมือนคนรู้จักฉันน่ะ”