บทที่ 367 – ยังมีความหวัง
หลังจากที่เลทิเซียใจอ่อนตัดสินใจที่จะสอนเวทมนตร์ให้กับเวโรเน่ ทั้งคู่ก็ตกลงกันว่าจะสอนให้พรุ่งนี้ตอนเย็นหลังจากที่เธอทำงานเสร็จ
และเวโรเน่เองก็กลัวเลทิเซียจากไปเธอถึงขั้นพูดย้ำว่าอย่าไปนะ.. อยู่ที่นี่ก่อน.. เลทิเซียได้แต่รู้สึกขำขันกับท่าทางแบบนั้นของเธอ
จากการซักถามของเลทิเซีย ดูเหมือนว่าถ้าหากอยากจะเข้าไปทำงานที่เมืองหลวงอย่างน้อยก็จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ให้ได้เสียก่อน
เพราะการทำงานโดยไม่หวังพึงเวทมนตร์ในโลกเวทมนตร์นั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ..
ดังนั้นหากเธออยากมีการมีงานทำดีๆ แล้วละก็ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวทมนตร์ให้ได้ก่อนละนะ..
แน่นอนว่าเลทิเซียเองก็ไม่ได้คิดจะผิดสัญญา เธอมองเวโรเน่ที่หลับไปแล้วบนเตียง เธอยังคงสวมผ้าปิดใบหน้าครึ่งล่างของตัวเองที่มีแผลไฟไหม้เอาไว้
อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่เธอนอนเธอก็สวมผ้าปิดหน้าแบบนี้ไว้เช่นกัน ดวงตาของเลทิเซียจ้องไปที่เวโรเน่
เลทิเซียไม่ใช่คนดีขนาดนั้น เธอไม่ใช่ตัวเอกในนิยายที่จะเห็นใครเดือดร้อนก็ยื่นมือเข้าช่วย ทุกครั้งที่เธอเลือกจะทำอะไรบางอย่างล้วนแล้วแต่ต้องมีผลประโยชน์บางอย่าง ถึงแม้บางครั้งเธอจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามคำสอนของพี่สาว แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่เธอจะยื่นมือเข้าช่วย เพราะหากเป็นเรื่องเล็กๆ น้อย
ก็จะกลายเป็นว่าเธอจะต้องช่วยเหลือทุกคน เพราะบนโลกนี้ความจน ความโชคร้าย ความเจ็บปวดมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ถ้าจะบอกว่าจะทำให้โลกนี้ไม่มีความทุกข์มันก็เป็นการเพ้อฝันเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ดังนั้นแม้เลทิเซียจะทำไมคำสอนของพี่
แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่หาเหตุผลอะไรมารองรับกับการกระทำของตัวเธอเอง
และเพราะการทำแบบนั้นมันจะได้ทำให้เธอสบายใจ.. เพราะตัวเธอที่ไม่ค่อยจะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเท่าไหร่นั้น
การหาเหตุผลมารองรับการกระทำของตัวเองจึงแทบจะเป็นนิสัยพื้นฐานของเธอไปแล้ว ไม่ว่าจะตอนที่ช่วยเหลือคนอื่นในโรงเรียนเมื่อห้าปีก่อน
หรือให้คำแนะนำ ปกป้องโรงเรียน อะไรแบบนั้นที่เธอทำแบบนั้นเป็นเพราะว่าเธออยากจะทำให้โรงเรียนเป็นเหมือนบ้านของคนสำคัญของเธอ
เป็นเหมือนสถานที่ที่สามารถพักพิงได้ แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา หากบอกว่าเลทิเซียยังเป็นคนแบบเดิมก็คงจะไม่ถูกซะทีเดียว
อาจจะเป็นเพราะตลอดห้าปีที่อยู่ในโรงเรียนนั้นเธอถูกล้อมรอบไปด้วยคนที่มีจิตใจดีนิสัยดี.. และพูดคุยง่าย
จึงไม่แปลกที่จะทำให้เธอในตอนนี้แปรเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อย.. และพอเลทิเซียมอองเห็นเวโรเน่เธอก้อดที่จะนึกถึงตัวเองไม่ได้..
สีหน้าของเวโรเน่ที่เหมือนกับมีความเจ็บปวดบางอย่างซ่อนอยู่ในลึกๆ ของจิตใจของอเวโรเน่นั้นมันทำให้เธอรู้บางอย่างขึ้นมา..
อาจจะเพราะเคยเจอแบบเดียวกันมาก่อนหรือเลทิเซียแข็งแกร่งจนสามารถมองทะลุจิตใจคนอื่นได้ก็ไม่มีใครทราบแม้แต่เลทิเซีย
แต่ว่า.. บางทีแล้วเด็กคนนี้คงจะมีบาดแผลในจิตใจบางอย่างเกี่ยวกับใบหน้าของตัวเธอเอง..
บางทีคงจะเคยถูกคนในหมู่บ้านล้อหรือดูถูกและกีดกั้นมานั่นแหละ เลทิเซียเห็นมานักต่อนักแล้วล่ะ.. เพราะในโลกเดิมเธอก็เคยเป็นเช่นนั้น
แต่แตกต่างตรงที่เวโรเน่นั้นไม่เลือกที่จะหลบหลีกผู้คนเหมือนกับตัวเธอในโลกเดิม เวโรเน่ยังเป็นเด็กที่จิตใจดีเป็นมิตรกับผู้อื่น
บางทีที่เธอพูดออกรสกับเลทิเซียคงเพราะไม่ค่อยจะมีเพื่อนคุยละมั้งนะ..
“อีกแล้วสินะ… ตัวฉัน…”
เลทิเซียถอนหายใจออกมาเบาๆ .. ก่อนจะหวนนึกถึงนิล.. เลทิเซียเองก็ใจอ่อนกับนิลที่ไม่มีเพื่อนคุยเหมือนกัน
อาจจะเพราะความสางสารหรือเห็นใจและเข้าใจคนเหล่านี้ดีกว่าใครของเลทิเซีย ทำให้ทุกครั้งที่เห็นเด็กพวกนี้ต้องการความช่วยเหลือเธอก็จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือแบบนี้..
เลทิเซียได้แต่คิดว่านี่เป็นนิสัยเสียของตัวเธอเองก้ได้..
“ช่างเถอะ ยังไงซะ ฉันก็ต้องตรวจสอบสถานการณ์อยู่แล้ว มีที่ปักหลักก็ไม่ได้ถือว่าแย่ไปซะทีเดียวละนะ”
เลทิเซียคิดแบบนั้นพอเห็นเวโรเน่นอนหลับเธอก็ดึงผ้าผืนหนึ่งออกมาวางบนร่างของเวโรเน่…
แต่ในตอนนั้นเองเธอก็ยกมือขึ้นมาจับมือของเลทิเซียเอาไว้.. เธอจับชายเสื้อของเลทิเซียเอาไว้แน่นเหมือนไม่อยากจะปล่อยมันเลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่.. อย่าทิ้งท่านพ่อไปเลยนะ…”
เธอละเมอออกมาพร้อมกับที่หางตามีน้ำใสสะอาดไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ
เลทิเซียรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะไปยุ่งเรื่องของคนอื่นมากจนเกินไปเธอค่อยๆ จับมือของเวโรเน่ออกและวางลงก่อนที่จะหาที่เหมาะๆ นั่งลงตรงนั้นแล้วก็หลับตา
เธอใช้เวลาแทบทั้งคืนในการคิดหาวิธีที่จะแปรเปลี่ยนเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้..
จากที่เธอพบเจอมาก่อนหน้า การที่เธอย้อนเวลากลับไปเพื่อช่วยชาร์ล็อตนั้นมันกลับกลายเป็นการสร้างสถานการณ์ที่ควรจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก
ดั่งที่อาจารย์ชิสุเคยบอกว่า ทุกอย่างไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตก็ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกแล้วไม่อาจจะเปลี่ยนมันได้
ซึ่งทางเดียวคือการหลอกโลกทั้งใบ.. แต่ทว่าพอเลทิเซียพยายามจะทำแบบนั้นกลับกลายเป็นว่าเธอเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าให้เป็นแบบนั้น
ไม่ว่าจะเธอต้องย้อนเวลากลับไปเอาจี้ให้ชาร์ล็อต และชาร์ล็อตจะเอาจี้มาให้เธอไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด..
แล้วถ้าอย่างนั้น จี้นี้คืออะไร?
เลทิเซียก้มมองจี้ที่มือซึ่งตอนปะทะกับภาพสะท้อนของเทพผู้สร้างแล้วจู่ๆ มันก็หลุดมา.. หรือว่าเป็นสิ่งที่อามาเระมอบให้เพื่ออะไรบางอย่าง
ไม่สิ.. หากว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาไว้ตั้งแต่แรกแล้วจี้สีแดงก็ควรมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวซึ่งตอนนี้มันควรจะไม่อยู่ในมือของเลทิเซียในโลกนี้แล้ว
หมายความว่า… จี้นี้อาจจะเป็นตัวแปรเพื่อที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงอนาคตบางอย่างซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับอามาเระ?
ไม่สิ ต่อให้เป็นแบบนั้นจริงเลทิเซียจะทำยังไงให้เจ้าจี้นี่สามารถเปลี่ยนอนาคตได้กันล่ะ เพราะจี้นี้ไม่มีความสามารถอื่นนอกจากความสามารถเกี่ยวข้องกับการควบคุมจิตใจเลยนะ
และต่อให้เลทิเซียย้อนเวลากลับไปอีกรอบก็อาจจะเป็นไปได้ว่าตัวของเลทิเซียกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นแต่แรกแล้วก็ได้
เธอจะย้อนเวลามั่วซั่วไม่ได้โดยเด็ดขาด… เพราะหากมันไปซ้ำกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วมันจะกลายเป็นแบบเดียวกับชาร์ล็อต
หรือไม่ควรทำอะไรเลยนอกจากรอดี.. ไม่สิ หากไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปได้อยู่ดี..
“ไม่สิ..”
เลทิเซียคิดมาถึงตรงจุดนี้ก็พึมพำบางอย่างออกมาจากปาก..
“ถ้าหากฉันทำไม่ได้..แล้วถ้าเป็นคนอื่นล่ะ”
คนอื่นที่ไม่ได้ใช้ตรรกะเหตุและผลที่ว่าเมื่อพ่อแม่มีลูกนั่นเป็นเหตุ ผลลัพธ์จึงมีเด็กอยู่ตอนนี้.. ถ้าหากนี่คือสิ่งที่กำหนดมาไว้แต่แรก…
แล้วหากเลทิเซียสร้างเด็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ว่ามาทั้งหมด.. ง่ายๆ คือฝืนกฎเกณฑ์มีลูกขึ้นมานั่นเอง…
“อืม.. แต่มีลูกงั้นเหรอ นั่นฟังดูห่างไกลจากฉันไปหน่อยแฮะ”
เลทิเซียมองดูตัวเองก็รู้สึกว่าตัวเองยังห่างไกลจากวัยที่มีลูกได้พอสมควร และเธอก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าเธอจะมีลูกได้ยังไง
ถ้าหากต้องการจะฝืนกฎเกณฑ์ของโลก.. เพราะหากว่ากันตามตรงวิญญาณที่หลุดออกมาจากทะเลวิญญาณไม่พอยังต้องผ่านการตรวจสอบจากเทพธิดาอีกทีด้วย
เลทิเซียได้แต่ส่ายหัวสะบัดความคิดนี้ทิ้ง แต่สิ่งหนึ่งที่เธอยืนยันได้ตอนนี้คือ.. เกี่ยวกับภาพสะท้อนของเทพผู้สร้าง
เลทิเซียคิดว่าหากไม่ได้สร้างปรากฏการณ์อะไรที่รุนแรงขึ้นมา ภาพสะท้อนจะไม่ปรากฏขึ้น.. เพราะหากโลกนี้เหมือนสิ่งที่กำหนดมาไว้แต่แรก
การเปลี่ยนแปลงหรือแทรกแซงอะไรเล็กๆ น้อยๆ มันไม่ได้ทำให้โลกเกิดการแปรเปลี่ยนที่คาดไม่ถึง เพราะสุดท้ายแล้วโลกก็จะเป็นคนกำหนดความเป็นจริง..
แต่พอรู้สึกตัวอีกทีมันก็เป็นตอนเช้าซะแล้ว เธอเก็บเอาจี้สีแดงกลับไป
เลทิเซียค่อยๆ ยืดเส้นยืดสาย.. แน่นอนว่าเวโรเน่เองก็ตื่นขึ้นมาในเวลานี้เหมือนกัน
“เจ้านี่ตื่นไวจังนะ เลทิเซีย”
“….”
พอเธอตื่นขึ้นมาเธอก็ยืดเส้นยืดสายพร้อมกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็ทำให้เธอตื่นเต้นขึ้นมาและทักทายเลทิเซียด้วยอารมณ์เบิกบาน
แต่พอมองหาบิดาไม่เจอเธอก็ถามขึ้น
“ท่านพ่อไม่ได้กลับมาเหรอเนี่ย?”
“อ้อ เรื่องนั้น เขาอยู่นู่น”
เลทิเซียตอบกลับพร้อมกับชี้ไปทาหน้าประตู อันที่จริงเลทิเซียสัมผัสได้นานแล้วว่าพ่อของเวโรเน่มานั่งหลับอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อคืน
จริงๆ เขาน่าจะอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เลทิเซียทานข้าวกับเวโรเน่แล้วด้วยซ้ำ