บทที่ 368 – โชคร้ายมากกว่า..
หลายวันนับจากที่เลทิเซียปรากฏตัวขึ้น เธอก็ได้เข้าใจเกี่ยวกับเวโรเน่มากขึ้น แน่นอนว่ารวมถึงหมู่บ้านแห่งนี้ด้วย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนในหมู่บ้านรังเกียจเวโรเน่ แต่เพราะเด็กๆ ลูกหลานของคนในหมู่บ้านต่างพากันกลัวเวโรเน่เธอถึงได้ถูกกีดกันออกจากหมู่บ้าน
และเวโรเน่ปกติเวลาเธออยู่คนเดียวเธอจะถอดผ้าที่ปิดปากออก ก็นะเพราะว่ามันร้อนแหละนะ แต่ตั้งแต่เลทิเซียมาอยู่ด้วย
ทำให้เวลาที่เธอไม่สวมผ้าปิดหน้าเอาไว้มีมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหมือนเลทิเซียจะไม่สนใจ แต่เธอก็สังเกตเห็นว่าบางครั้งเวโรเน่ก็เหงื่อออกพอสมควร
และเลทิเซียก็ได้สอนเวทมนตร์หลายอย่างให้กับเวโรเน่ เพราะเวโรเน่เป็นมนุษย์นั่นแน่นอนว่าเวทมนตร์ที่เลทิเซียสอนให้ย่อมเป็นเวทมนตร์มนุษย์
แม้ส่วนใหญ่จะมีแต่พื้นฐานของพื้นฐาน เพราะเลทิเซียกลัวว่าหากทำอะไรมากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมไม่ได้เข้า
และหลายวันที่ผ่านมาเลทิเซียก็ได้รู้ว่าบิดาของเวโรเน่ไม่ได้เป็นคนขี้เหล้าอย่างที่เวโรเน่คิด เพราะเขาเหมือนจะแกล้งเมาเฉยๆ
ซึ่งเลทิเซียก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอก็ไม่ได้อยากจะสืบหาเรื่องของคนอื่นขนาดนั้น อย่างที่สองเหมือนตอนที่เขาจะตบเวโรเน่ก่อนหน้านี้
น่าจะเป็นเพราะเขาแกล้งทำมากกว่า ต่อให้เลทิเซียไม่เข้าไปขวางมือนั้นก้ไม่มีทางตบโดนใบหน้าของเวโรเน่อย่างแน่นอน
ซึ่งเลทิเซียเองก็ไม่ได้คิดอะไรให้ลึก
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเวโรเน่จะมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ที่ค่อนข้างต่ำมากเลยก็ว่าได้ เวทมนตร์ที่เธอใช้ได้นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
พรสวรรค์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าเธอไม่ฉลาด.. แต่หมายถึงร่างกายเธอไม่เหมาะกับเวทมนตร์ปกติเฉยๆ ..
เหมือนมีบางอย่างมาขวางกั้นการแสดงออกทางเวทมนตร์ของเธอเอาไว้ ซึ่งเลทิเซียไม่ใช่หมอพเนจรที่จะช่วยเหลือเธอ
เลทิเซียเพียงแค่ทำตามสัญญาที่สัญญากับเธอไว้คอสอนเวทมนตร์พื้นฐานให้ และทุกวันจะมีเวลาว่างแค่ตอนเย็น
เพราะตอนกลางวันเวโรเน่จะออกไปทำงานหาเงินเพื่อซื้ออาหาร ถึงเลทิเซียจะปฏิเสธว่าไม่จำเป็นก็ตาม
แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ต้องตอบแทนที่สอนเวทมนตร์.. เลทิเซียก็ไม่อยากจะพูดมากความจึงได้แต่ตกลงไป
ซึ่งอันที่จริงเงินในกระเป๋าเธอตอนนี้ไม่รู้ว่าใช้ได้หรือเปล่า แต่ว่าอย่างน้อยมันก้มีมากพอที่จะซื้อหมู่บ้านนี้ได้ทั้งหมู่บ้านเลยก็ตาม
แต่เพราะเธอกลัวเหตุการณ์ที่จะควบคุมไม่ได้ ทำให้ทุกอย่างตัวของเธอถูกจำกัดอยู่ในกรอบที่เรียกว่าต้องเล็กๆ น้อยๆ ..
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าเลทิเซียจะละทิ้งการหาวิธีช่วยเพื่อน แต่เธอนั่งคิดหาวิธีตลอดที่มีเวลาว่าง
แต่ถ้าหากการควบคุมกาลเวลามันง่ายดายขนาดนั้น บนโลกนี้คไม่มีใครเสียใจกับการสูญเสียแล้วล่ะ
บนโลกนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต่อให้เป็นเลทิเซียก็ยากจะเข้าใจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไกลตัวขนาดที่ว่าการควบคุมกาลเวลาหรอก
ขนาดเรื่องบางธรรมดาเธอยังไม่เข้าใจก็มีด้วยซ้ำ..
นับตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็ผ่านมาแล้วเกือบหนึ่งเดือน ซึ่งเลทิเซียก็รู้แล้วว่านี่คืออดีตหรืออนาคตกันแน่
ที่แห่งนี้คือดินแดนมนุษย์เมื่อประมาณห้าร้อยถึงหกร้อยปีก่อนปัจจุบัน ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยไฟสงครามที่ไม่รู้ว่าจะมอดดับเมื่อไหร่
ซึ่งเลทิเซียกำลังตัดสินใจที่จะตามหาวิธีช่วยคนสำคัญอยู่ที่นี่สักพัก เพราะที่แห่งนี้เป็นอดีตที่มีสงครามลุกไหม้
ยิ่งมีสงครามสิ่งมีชีวิตก็จะยิ่งเติบโตแบบก้าวกระโดดชิงดีชิงเด่นเพื่อครอบครองชัยชนะ กล่าวคือไม่แน่ว่าในยุคนี้อาจจะมีวิธีอยู่ก็ได้
สิ่งมีชีวิตที่กระหายในอำนาจที่มีชัยเหนือผู้อื่น อย่างการควบคุมโลกทั้งใบใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เลทิเซียตัดสินใจเรื่องนี้และก็บอกเรื่องนี้กับเวโรเน่ ซึ่งเจ้าตัวเหมือนจะไม่อยากให้เลทิเซียจากไปเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นะเธอก็ไม่กล้าขัดขวางเลทิเซีย
เธอจึงขอร้องให้เลทิเซียอยู่ต่อสักพักก่อนถึงวันเกิดอายุครบสิบแปดปีของเวโรเน่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะถึงวันเกิดของเธอแล้ว
พอเลทิเซียได้ยินแบบนั้นเธอจึงยอมอ่อนข้อให้เวโรเน่ และเลทิเซียคิดว่าจะออกเดินทางหลังจากนั้นก้ไม่สายเกินไป
วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส เลทิเซียและเวโรเน่พึ่งทานอาหารเสร็จ และเหมือนพ่อของเวโรเน่จะหายหัวไปไหนตั้งแต่เช้าแล้วก็ไม่รู้็
“เลทิเซีย เจ้าจะเข้าไปขายถ่านกับข้าไหม?”
จู่ๆ เวโรเน่ก็กล่าวถามขึ้นด้วยความร่าเริง ปกติเวโรเน่จะเข้าไปในหมู่บ้านคนเดียวแต่อาจจะเพราะเลทิเซียจะจากไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว
ทำให้เธออยากจะเที่ยวเล่นกับเลทิเซียสักหน่อย เลทิเซียก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะเข้าไปในหมู่บ้าน
“นี่เลทิเซีย”
ในขณะที่เดินกันอยู่นั้นเวโรเน่ก็พูดขึ้น เลทิเซียตอบเบาๆ
“มีอะไรเหรอ?”
“….เจ้าจะไปไหนต่องั้นเหรอ?”
เวโรเน่เงียบไปพักหนึ่งเธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กๆ ทั้งคู่ก้าวเท้าไปตามทางขรุขระที่ไม่ได้ดีเป็นพิเศษอะไร
“ก็คงตามหาต่อไปนั่นแหละ”
“ตามหาคนสำคัญสินะ”
“อืม”
ทั้งคู่เงียบลงไปแทบจะพร้อมกัน
“คนสำคัญของเจ้านี่.. เป็นคนยังไงงั้นเหรอ?”
จู่ๆ เวโรเน่ก็กล่าวขึ้นด้วยความสงสัย เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นแม้จะแปลกใจ แต่เธอก็ไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่า เธอเพียงถามกลับไปสั้นๆ ว่า
“เธออยากรู้ไปทำไมงั้นเหรอ”
“เปล่าหรอก.. ข้าแค่คิดว่าคนคนนั้นคงเป็นคนที่โชคดีจริงๆ ที่ได้เป็นคนสำคัญของเจ้าน่ะ.. ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่เจ้าน่ะสอนอะไรให้ข้าตั้งหลายอย่าง ทั้งๆ ที่ข้าไม่มีของตอบแทนอะไรสักอย่าง เจ้าน่ะเป็นคนดีจริงๆ ”
เวโรเน่หลับตาลงค่อยๆ นึกถึงเรื่องราวเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เลทิเซียคือเพื่อคนแรกของเวโรเน่
และบางทีอาจจะเป็นเพื่อนคนสุดท้ายของเธอก็เช่นกัน ดังนั้นความทรงจำที่ได้ฝึกร่วมกันแม้จะเต็มไปด้วยความเหนื่อยยากในแต่ละวัน
เต็มไปด้วยเสียใจที่ตนเองไร้พรสวรรค์ก็ตามแต่.. ทว่าก็ยังเป็นช่วงเวลาที่สนุกมากๆ ได้พูดคุยในสิ่งที่อยากพูด
ได้หัวเราะในสิ่งที่อยากหัวเราะ ได้ทานอาหารพร้อมๆ กัน.. ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เธอไม่ได้ทานข้าวพร้อมกับคนอื่นแบบนี้
พ่อของเธอก้ไม่เคยทานอาหารพร้อมเธออีกเลยนับตั้งแต่ที่แม่จากไป.. เพราะเขาก็ดื่มแต่เหล้าทั้งวี่ทั้งวัน.. ดังนั้นวันแล้ววันเล่าสำหรับเธอจึงมีแค่จานอาหารจานเดียววางอยู่บนโต๊ะ
ได้แต่นั่งกินเงียบๆ ในวันคืนอันแสนโดดเดี่ยว.. เพราะงั้นเลทิเซียถึงเป็นเพื่อนที่สำคัยสำหรับเธอมาก.. แต่เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็ขำออกมาเบาๆ
“โชคดีสินะ.. โชคดีงั้นสินะ ไม่หรอกนะเวโรเน่..”
เลทิเซียก้มหัวลงกล่าว เธอไม่ได้โกรธหรือโมโหให้เวโรเน่.. เธอได้แต่หัวเราะสมเพชตัวเองมากกว่า โชคดีงั้นเหรอ โชคดีงั้นสินะ?
น่าตลกสิ้นดีเลย.. คนที่ได้รู้จักกับเลทิเซียน่ะ.. มีแต่โชคร้ายซะมากกว่า
ทุกการกระทำของเธอ ทุกคำพูดของเธอต่างดึงคนเหล่านั้นลงไปในหุบเหวแห่งความตาย..
โชคดีงั้นเหรอ โชคร้ายมากกว่าละมั้ง
“เลทิเซีย…?”
พอเวโรเน่เห็นท่าทางของเลทิเซียแปลกไป เธอก็แสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาพร้อมกับจับไหล่ของเลทิเซีย
แต่ในตอนนั้นเองเหมือนจะมีพ่อค้าเร่มาถึงหมู่บ้านนี้พอดี ทั้งเลทิเซียและเวโรเน่ที่กำลังเดินเข้าหมู่บ้านเพราะมัวแต่สนใจคำพูดของกันและกัน
โดยเฉพาะเลทิเซียที่หลุดเข้าไปในโลกของการโทษตัวเองแล้วยิ่งยากที่จะควบคุม ส่วนเวโรเน่ก็เป็นห่วงเลทิเซียที่ทำสีหน้าเหมือนกำลังทรมานอยู่…
ทำให้พวกเธอเดินเข้ามาในวงสีเขียวที่เหมือนจะถูกพ่อค้าเร่วงเอาไว้ ซึ่งพ่อค้าเร่ในตอนนี้กำลังกล่าว
“เอาล่ะ ช้าขอท้าพวกเจ้าทั้งหมู่บ้านว่าหากใครสามารถสร้างผลงานประติมากรรมน้ำแข็งที่ดีกว่าผลงานชิ้นนี้ได้ ข้าจะขอมอบเงินรางวัลให้พวกเจ้าเลย”
“หากพวกเจ้ามั่นใจในฝีมือก็ก้าวเข้ามาในเส้นสีเขียวนี้ได้เลย แน่นอนว่าไม่มีค่าสมัครด้วย”
“และข้าขอเอานามของพ่อค้าเร่เป็นประกันว่าหากเจ้าสร้างผลงานประติมากรรมออกมาได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าจะไม่เพียงมอบรางวัลแต่ข้าในฐานะพ่อค้างานประติมากรรมแห่งเวทมนตร์จะช่วยประเมิณมูลค่าของผลงานให้เจ้าด้วยอย่างแน่นอน”