บทที่ 379 – ผู้กล้าแห่งเจตจำนง
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดไปไม่ได้โกหกหรอก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จในเร็ววันเช่นกัน เพราะมันเป็นเป้าหมายสูงสุดขององค์กร
ซึ่งแน่นอนว่าก็เป็นคำตอบตามที่คำถามของอีกฝ่ายต้องการ อีกอย่างต่อให้พูดไปแบบนี้เรื่องแบบนี้ก็ยังดูเป็นเรื่องที่ห่างไกลความจริงเกินไป
หากอีกฝ่ายที่มาจากนอกทวีปคงจะมีวิทยาการที่เหนือกว่าและมองว่ามันเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
แต่สำหรับคนในทวีปเรื่องแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้ และต่อให้นอกทวีปไม่มีวิทยาการขนาดนั้น
แต่อีกฝ่ายก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าวิทยาการในทวีปสามารถทำได้หรือไม่ กล่าวคือต่อให้อีกฝ่ายเอาเรื่องนี้ไปบอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อ
และหากอีกฝ่ายคิดว่าเขาโกหกจริงๆ อีกฝ่ายก็ต้องถามซ้ำอีกรอบและเขาแค่บอกว่า ‘ในทวีปนี้มันสามารถเป็นไปได้จริง’
และหากอีกฝ่ายถามซ้ำเมอร์สันก็สามารถมั่นใจได้อีกฝ่าย ไม่มีความสามารถอะไรอย่างการที่ตรวจสอบคำโกหกหรือไม่ได้
เพราะหากอีกฝ่ายอีกฝ่ายจะต้องไม่ถามซ้ำ เพราะว่ารู้ว่าสิ่งที่เขาพูดคือความจริงสูงสุดขององค์กร
อีกทั้งหากอีกฝ่ายถามซ้ำออกมาจริงๆ เขาก็สามารถยืนยันได้ชัดว่าอีกฝ่ายแม้จะแข็งแกร่งก็ไม่กล้าผลีผลามทำอะไรบางอย่างเช่นกัน..
แน่นอนว่ามันในกรณีที่อีกฝ่ายถามละก็นะ
เพียงแค่สามารถกำหนดขอบเขตความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้คร่าวๆ สำหรับเขามันก็เพียงพอที่จะต่อรองให้อีกฝ่ายไม่มายุ่งกับตัวเองได้แล้ว
ต้องเข้าใจว่าเมอร์สันไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ได้มองเพียงแค่ว่าหากเสียควีนไปจะเกิดอะไรขึ้น.. แต่มองไปถึงหลังจากนั้น
หากบุคคลตรงหน้านี้เป็นหนึ่งในคนของขั้วอำนาจใดบนทวีปนี้ละก็ บางทีขั้วอำนาจนั้นคงไร้ทางต้านไปแล้ว..
ดังนั้นเมอร์สันจึงมีความมั่นใจว่าอีกฝ่าย ‘อาจ’ ไม่ได้สนใจเรื่องบนทวีปสักเท่าไหร่ ซึ่งเขาเดิมพันตรงจุดนั้นนั่นเอง
หากเป็นตามการคาดเดาเมอร์สัน ไม่เพียงแต่จะช่วยควีน ยังไม่ทำให้กลุ่มผู้แสวงหาสันติสุขอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
หรือแม้แต่ไม่เป็นศัตรูกับบุคคลที่อาจจะไร้เทียมทานตรงหน้าเช่นกัน.. อาจจะเป็นเพราะเมอร์สันมีนิสัยที่รอบคอบเช่นนี้ถึงทำให้องค์กรไม่เคยล่มสลายเลย
แลพะบางทีจากการซักถามของอีกฝ่าย เขาก็พอเดาออกว่าเหมือนอีกฝ่ายจะตามหาอะไรบางอย่างอยู่ จากคำพูดที่ตอนแรกดูเหมือนจะอ้อมค้อม
เมื่อประกอบข้อมูลทุกอย่างเข้ากัน.. เมอร์สันก็แทบจะประกอบได้ว่า..
บางทีอีกฝ่ายคงมาจากต่างแดน เพื่อหาอะไรบางอย่าง และหากไม่เจอก็จะเปลี่ยนดินแดน.. ว่าง่ายๆ คือนักเดินทางนั่นเอง
แค่นี้ความรู้สึกที่เหมือนถูกมีดจี้ไว้ที่คอก็หายไปแล้ว!
สามารถบอกได้เลยว่าเพียงการพูดคุยไม่กี่คำเขาก็สามารถวิเคราะห์ ‘ความน่าจะเป็น’ ของผู้สนทนาได้อย่างไร้ที่ติ
เรียกได้ว่าตลอดช่วงอายุขัยของเขาที่ผ่านมาหลายร้อยปีนั้นมีประโยชน์มากแค่ไหน ทั้งประสบการณ์และความรู้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้แสดงความอ่อนข้อให้อีกฝ่ายได้เห็นเช่นกัน เขาพูดต่อว่า..
“ปล่อยลูกน้องข้าได้หรือยัง?”
เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างเล็กน้อย…
ท่าทางของเลทิเซียทำให้เมอร์สันแปลกใจเล็กน้อย.. แต่เลทิเซียก็ก้มหน้าลงเหมือนกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ใช่แล้ว.. ใช่แล้ว.. ใช่แล้ว วิธีนี้แหละ มันมีวิธีนี้แหละ”
ดวงตาของเลทิเซียลุกวาวด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับพึมพำอะไรไม่รู้ ในขณะที่เมอร์สันกำลังสับสนนั้นเอง
เลทิเซียก็เงยหน้าขึ้น โยนร่างของควีนไปให้เมอร์สัน ก่อนที่เธอจะยิ้มแล้วก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า..
“เอาล่ะ…. ฉันมีข้อเสนอ”
…………
……..
…
หลายวันต่อมาในหมู่บ้านที่เวโรเน่อยู่
หลังจากที่การบุกโจมตีของปีศาจหยุดลงนั้น ไอรีนก็ตามหาต้นตอบางอย่างแต่ไม่เจออะไร.. และร่างกายของอาร์ชบิดาของเวโรเน่ก็ทรุดลงกะทันหัน
อาจจะเป็นเพราะความกังวลหรือความวิตกที่เวโรเน่อาจจะเป็นอะไรไปของอาร์ชทำให้อาการเขาทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ
ซึ่งเวโรเน่ที่เห็นแบบนั้นก็ตกใจอย่างมาก…
“ท่านพ่อ!เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะไปหายามาให้ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของเวโรเน่อาร์ชก็ยื่นมือไปคว้าจับเอาแขนของเธอเอาไว้ พร้อมกับไอออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง
“ท่านพ่อ!ท่านนอนอยู่นิ่งๆ เถอะ”
“ข้าไม่เป็นไร..—แค่กๆ ”
ถึงแม้จะกล่าวแบบนั้นแต่เขาก็ยังไอออกมาเป็นเลือด เวโรเน่ไม่ต้องการเห็นพ่อตัวเองทรมานไปมากกว่านี้เธอก็รีบออกจากบ้านไปทันที
“ข้าจะรีบหายามาให้ท่าน!”
เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับวิ่งพรวดออกไปทันที.. พออาร์ชเห็นแบบนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา.. พร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
“ท่านอาร์ช..”
เมื่อเวโรเน่จากไปไอรีนที่มีลักษณะท่าทางเหมือนเวโรเน่ก็โผล่ออกมาจากเงามืด.. เธอมองสภาพของชายตรงหน้าที่แตกต่างจากคนในความทรงจำของเธอ
แถมยังมองไปรอบๆ ก็รู้สึกว่าสถานะและการเป็นอยู่ของบุคคลตรงหน้าทำไมถึงตกต่ำถึงขนาดนี้…
“ตลอดที่อยู่ที่นี่มาเกือบยี่สิบปี.. มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่.. ตั้งแต่วันที่ท่านหนีจากท่านแม่มา..”
“….”
อาร์ชไม่ได้ตอบคำถามของเธอทันที.. เขาเงยหน้ามองเพดานที่สร้างจากใบไม้.. ราวกับย้อนกลับในวันวาน..
ย้อนกลับไปในอดีต ราวกับเขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อครั้งในอดีตแล้ว.. อันที่จริงเขาพอจะเดาออกตั้งนานแล้วล่ะ.. เขาจึงหัวเราะออกมาแล้วก็พูดขึ้น..
“เจ้าคงได้รับคำสั่งจากยัยบ้านั่นให้มาพาเวโรเน่กลับไปละสิ?”
“ท่าน…”
“ข้ารู้แล้วล่ะ.. รู้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้วล่ะ.. ตอนที่ภรรยาของข้าทิ้งข้าไป และข้าได้ตระหนักรู้ถึงแผนการของยัยจ้าวแห่งเวทมนตร์บัดซบนั่น”
เขากล่าวด้วยความรังเกียจเล็กน้อย ซึ่งมันทำให้ไอรีนรู้สึกสับสนเล็กน้อย เพราะอย่างไรซะคนที่ถูกเหน็บแหนมคือมารดาของตัวเอง และเรื่องนี้อาร์ชก็เดาว่าบางทีไอรีนคงไม่รู้เรื่อง..
เพราะสังเกตจากคำพูดที่เขาพูดไปเมื่อสักครู่และท่าทีตอบสนองของเธอ ดังนั้นเขาจึงอยากจะพูด อย่างน้อยก็อยากจะให้ไอรีนได้รู้ความจริงข้อนี้เอาไว้
“ไม่สิ.. ถึงจะบอกว่าจ้าวแห่งเวทมนตร์แต่สำหรับยัยนั่น ตัวเองก็แค่เกือบอยู่ในระดับจ้าวแห่งเวทมนตร์เท่านั้นแหละ เพราะงั้นมันถึงได้สร้างเจ้าขึ้นมายังไงล่ะ”
“ท่าน..หมายถึงอะไร…?”
“ที่ข้าพูด.. ข้ากำลังพูดถึงแผนการของยัยนั่นไง”
“….?”
เมื่อเห็นว่าไอรีนไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องนั้น มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเกลียดผู้หญิงคนนั้นเข้าไปอีก ทั้งที่ในตอนแรกสำหรับเขาเธอคนนั้นเปรียบดั่งเทพธิดา
ยัยนั่นมันมีลูกขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสินะ..
“ไอรีน.. เจ้ารู้หรือไม่พลังของข้าคืออะไร?”
เมื่อได้ยินคำถามแบบนั้นไอรีนก็ส่ายหน้าเล็กน้อย แน่นอนว่าเธอก็คงไม่รู้เพราะคนที่รู้มีเพียงอาร์ชและมารดาของไอรีน เขาจึงกล่าวต่อ
“พลังของข้าในฐานะ.. ‘ผู้กล้า’ คือ.. ผู้กล้าแห่งเจตจำนง”
“ผู้กล้าแห่งเจตจำนง?”
“ใช่แล้ว เจ้าอาจจะรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะผู้กล้านั้นประกอบขึ้นมาจากองค์ประกอบของแนวคิดบางอย่างที่เป็นรูปธรรม อย่างผู้กล้าแห่งแสง ผู้กล้าแห่งดาบ ผู้กล้าแห่งธนู แต่ของข้าคือผู้กล้าแห่งเจตจำนง..”
“….”
“มันช่างดูเลื่อนลอยและห่างไกลจากรูปธรรมยิ่ง.. มันจึงทำให้ข้าถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้กล้าที่อ่อนแอที่สุด.. แต่ว่าทำไมข้าถึงได้รับการช่วยเหลือจากมารดาเจ้าล่ะ?”
เขาพูดแบบนั้นพร้อมกับถอนหายใจออกมา..
“เรื่องราวทุกอย่างมันเริ่มต้นเมื่อหลายสิบปีก่อน..”