บทที่ 382 – สิ่งมีชีวิตเทียม
ชื่อของข้าคือ อีฟ.. เป็นคนจากกลุ่มผู้แสวงหาสันติสุขของโลกใบนี้.. ตั้งแต่เด็กๆ ครอบครัวของข้าไม่ว่าจะท่านพ่อ ท่านพี่หรือท่านปู่
ทุกคนที่เป็นผู้ชายจะต้องถูกบังคับให้เข้าร่วมสงครามที่ไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น ตั้งแต่ข้าเกิดมาบนโลกนี้
การที่ได้เจอกับท่านพ่อข้าสามารถนับนิ้วได้เลยว่า เจอกันกี่รอบ.. เพราะท่านพ่อมักจะไม่ว่างเสมอ..
พี่ชายในตอนแรกเองก็เล่นกับข้าบ่อยๆ .. แต่พออายุถึงเกณฑ์เขาต้องออกจากบ้านไปและก็กลายเป็นเหมือนพ่อ..
จนกระทั่งเมื่อหลายปีก่อนท่านพ่อกับท่านพี่ได้ตายลงไปในสนามรบ ท่านแม่เองก็ล้มป่วยสุดท้ายก็สิ้นลมไป.. ทำให้ข้าเหลือเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น
ก่อนที่ท่านแม่จะเสีย ท่านได้บอกว่าที่ท่านแม่ตั้งชื่อข้าว่าอีฟ เพราะเธอต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่อย่างยืนยาว.. และเป็นคนที่ไม่พรากชีวิตผู้อื่น
แต่เป็นผู้ให้เสียมากกว่า..
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ข้าเกลียดสงคราม เกลียดการรบราฆ่าฟันที่แก่งแย่งอำนาจที่ดึงเอาคนธรรมดาเข้าไปเกี่ยวข้อง
สถานที่ที่พรากชีวิตของผู้คนดั่งต้นหญ้าท่ามกลางพายุร้าย.. สำหรับข้าแล้วมันไม่ใช่การต่อสู้ด้วยซ้ำ มันเป็นแค่ภัยพิบัติที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ภัยพิบัติที่โหดร้ายยิ่งกว่าพายุฝน พายุหิมะ
และในตอนนั้นเอง ท่านเมอร์สันก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าข้า.. เขาได้ยื่นข้อเสนอให้ข้าว่ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
เป้าหมายพวกเขามีเพียงอย่างเดียวคือยุติสงครามอันบ้าคลั่งที่ดำเนินมาตลอดหลายร้อยหลายพันปีนี้
ข้าตอบตกลงโดยไม่ลังเล ข้าต้องยุติสงครามครั้งนี้ให้ได้ ไม่สิ..ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น พวกเรากลุ่มแสวงหาสันติสุขต่างหาก..
ท่านเมอร์สันเป็นคนที่ปราดเปรื่องยิ่งกว่าใครๆ ที่ข้ารู้จักมาก่อน เขาตรวจสอบว่าข้าเหมาะกับด้านสายงานไหน เพื่อที่จะให้ข้าได้ทำงานในสายนั้นๆ
ถึงแม้ข้าพูดเองมันจะแปลกๆ แต่ข้ามีความทรงจำที่ดีเลิศ จนแม้แต่ท่านเมอร์สันยังกล่าวว่าคนแบบข้าหาได้ยาก
เป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านงานวิชาการมากคนหนึ่งเลย.. เขาบอกแบบนั้นเลยให้ข้าเรียนรู้และศึกษาเรื่องเกี่ยวกับงานวิจัยและวิทยาการ
ต้องขอบคุณพรสวรรค์ของข้าที่เป็นคนจำอะไรได้ง่ายและเข้าใจทุกอย่างรวดเร็ว ทำให้ข้าถูกบรรจุเข้าไปในด้านงานวิจัยหลักขององค์กรเพียงระยะเวลาไม่กี่ปี
ข้าถึงได้ทราบเป้าหมายหลักขององค์กร.. ว่าพวกเรากำลังจะพยายามสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาจากความว่างเปล่าโดยจำลองโครงสร้างชีวิตจริงๆ
มองดูเหมือนง่ายแต่การจะสร้างสิ่งมีชีวิตเทียมที่ฝืนกฎฝืนเกณฑ์แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอะไรเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังต้องสร้างตัวตนนี้ขึ้นมาเพื่อให้เขานำพาความสงบสุขมาสู่โลกนั่นเอง.. ข้าใช้ความสามารถทุกอย่างเพื่อที่จะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ…
จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน… ห้าปีก่อนคนคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น สำหรับข้าที่เป็นเหมือนหัวหน้างานวิจัยหลักก็ยังต้องยอมถอยให้คนคนนี้ตามคำสั่งของท่านเมอร์สัน
คนคนนี้เป็นแค่เด็ก.. ไม่สิ รูปร่างอาจจะเป็นเด็กก็จริงแต่จากสัญชาตญาณของข้ามันบอกข้าว่าเธอไม่ใช่เด็ก
จนกระทั่งข้าได้เห็นปัญญาของเธอที่แสดงออกมา.. การนำพาของเธอทำให้เป้าหมายการสร้างสิ่งมีชีวิตเทียมของพวกเราไม่ใช่การเพ้อฝันอีกต่อไป
เธอมีชื่อว่า ‘เลทิเซีย’ ดูเหมือนว่าแม้แต่ท่านเมอร์สันที่เปรียบดั่งผู้นำองค์กรเรายังเกรงใจเธอ…
ข้าไม่รู้ว่าเธอมาจากไหนหรือเป็นใคร แต่ในฐานะรุ่นพี่ในที่ทำงานข้าคิดว่าควรจะสอนเธอหลายๆ อย่าง แต่กลายเป็นว่าคนที่ถูกสอนกลับเป็นข้าซะอย่างนั้น
ไม่รู้สิ.. ข้าไม่มั่นใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเธอในตอนนี้ เพราะข้ารู้สึกนับถือความฉลาดของเธอ แต่เธอกลับดูเหมือนคนเข้าหายาก
ซึ่งมันผิดปกติงานวิจัยแบบนี้ต้องพูดคุยเพื่อถกหาปัญหากัน แต่เธอกลับหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับเราซะอย่างนั้น
แต่เธอก็เหมือนจะเศร้าอยู่ตลอดเวลา..
ตั้งแต่วันที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็ผ่านไปแล้วห้าปี.. งานวิจัยที่พวกข้าวิจัยกันร่วมสิบปี แต่พอเธอปรากฏตัวเพียงแค่ห้าปีก็เหลือเพียงอีกไม่กี่ก้าวก็สำเร็จแล้ว
แต่ก็นะ ยังไงข้าก็สงสัยอยู่ดี.. ข้าในตอนนี้เลยตัดสินใจจะตามติดเธอคนนี้ อย่างน้อยข้าก็อยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้นะ
นี่เป็นเวลาพักเที่ยง… ถึงแม้ที่นี่จะเป็นใต้ดินแต่เพราะวิธีการบางอย่างทำให้มีสถานที่ที่เหมือนอยู่บนพื้นผิวโลกอย่างสวนอยู่ด้วย
ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้ดี และข้าในตอนนี้ก็กำลังแอบเดินตามผู้หญิงที่ชื่อเลทิเซีย.. เธอพาข้าเดินมาในสวนแห่งที่ว่านี้
“เธอไม่ไปที่โรงอาหารก่อนละ..?”
ข้าเกิดคำถามขึ้นมาในใจ เพราะออกห้องวิจัยมาเธอก็เหมือนจะเดินตรงดิ่งมาที่แห่งนี้ทันทีเลย..
ด้วยความสับสนข้าก็เดินตามต่อ ไม่นานผู้หญิงที่ชื่อเลทิเซียเธอก็เดินไปนั่งลงที่ม้านั่งตรงนั้นพร้อมเงยหน้ามองท้องฟ้าจำลอง
ตอนนี้เป็นตอนกลางวันเลยมีแสงแดดอ่อนๆ ที่ทำให้ผ่อนคลาย มีทั้งเสียงนก เสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อย.. มันดูปกติและธรรมดาจนข้าคิดไม่ถึงเลยล่ะ
แต่ที่ข้าสงสัยคือเธอจะไม่ทานอาหารเที่ยงหน่อยเหรอ?
ภายใต้ความสงสัยเช่นนั้นข้าก็แอบมองเธออยู่………….
….
“เดี๋ยวสิ เจ้าจะไม่ไปทานอะไรหน่อยเหรอ?!”
ข้าไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เพราะเธอนั่งอยู่แบบนั้นมานานแล้วนี่น่า ข้าเดินออกไปพร้อมกับพูดกับเธอแบบนั้น
เพราะหากไม่ทานอะไรเกิดหิวตอนทำงานคงทำให้งานล่าช้าไปด้วยแน่ ยังไงซะเธอก็เป็นเหมือนหัวหน้างานวิจัยชิ้นนี้ไปแล้ว
เธอไม่ได้หันมามองข้า เธอเพียงพูดขึ้นเบาๆ ว่า
“ฉันไม่จำเป็นต้องกินก็อยู่ได้”
เธอพูดเหมือนกับรู้ว่าข้าอยู่ตรงนั้นมานานแล้วเลย แต่ว่าถึงข้าจะไม่ได้ต่อสู้เก่งแต่ข้าก็มั่นใจในความสามารถของตัวเองพอสมควรน้า…
อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยเล่นซ่อนแอบแล้วแพ้เพื่อนๆ ในหมู่บ้านสมัยเด็กๆ เลยล่ะ.. แต่ที่ข้าสงสัยคือเธอบอกว่าไม่จำเป็นต้องกิน
แบบนั้นมันไม่ใช่ว่าเป็นอมตะเลยเหรอน่ะ..?
“เธอนั่นแหละ ไม่กินอะไรระวังหิวนะ.. เพราะหลังจากนี้เราจะเริ่มเร่งมือแล้ว เพราะทุกอย่างมันใกล้ถึงปลายทางแล้ว”
“อ๊ะ.. อ่า.. จริงด้วย ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยนี่น่า!”
ข้าพึ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน เพราะมัวแต่คิดเรื่องของผู้หญิงคนนี้นั่นแหละ และเหมือนจะเป็นเพราะข้าพึ่งนึกได้หรือเปล่า
แต่ท้องข้าก็ส่งเสียงร้องออกมา เหมือนกับเมื่อเช้าทานข้าวมาน้อยไป.. แถมตอนนี้ก็ใกล้จะหมดเวลาพักแล้ว
“งั้นข้าไปก่อนนะ”
พูดแบบนั้นแล้วก็ตัดสินใจจากมาทันที….
ด้วยความเร่งรีบของข้าทำให้ข้ากินอาหารกลางวันอย่างรวดเร็ว ทันเวลาพักพอดิบพอดี ข้าจึงกลับไปที่ห้องวิจัยได้ทัน
พอกลับมาถึงก็เห็นว่าผู้หญิงที่ชื่อเลทิเซียยืนอยู่ก่อนแล้ว เลทิเซียเหมือนเธอจะทำสีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง
ในมือถือเอกสารอยู่ ตรงหน้ามีหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่ภายในมีของเหลวอยู่ในหลอดแก้วเต็ม ภายในหลอดแก้วมีร่างของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์อยู่
ร่างกังกล่าวเปลือยเปล่า ลักษณะของการมีชีวิตอยู่มีครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะหัวใจหรือชีพจรทุกอย่างล้วนทำงานอย่างปกติดี
แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะมีชีวิตอยู่เลยแม้แต่น้อย.. นี่คือผลงานของพวกข้าตลอดห้าปีที่ผ่านมา ‘สิ่งมีชีวิตเทียม’ แต่พวกเราในตอนนี้กำลังเจอกับทางตันในการวิจัย
แม้จะประสบความสำเร็จใจการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาจากหนึ่งแล้ว แต่ร่างกายนี้ก็เหมือนจะเป็นภาชนะที่ไม่มีน้ำอยู่ด้านใน
ซึ่งมองเผินๆ เหมือนใกล้จะสำเร็จ แต่ข้ากับคนอื่นต่างทดลองกันหลายวิธีแล้วแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เลย
ข้าเดินไปทางหลอดแก้ว แต่ข้าก็ไม่เรียกเธอทันที เพราะเหมือนเธอกำลังใช้ความคิดอยู่.. แถมคนอื่นๆ ก็ยังไม่มาด้วยทำให้บรรยากาศเงียบผิดปกติ
แต่เธอคนนั้นเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอเดินเข้าไปหาหลอดแก้วขนาดใหญ่พร้อมกับแตะมือไปที่หลอดแก้ว…
และในตอนนั้นเองข้าเห็นกับตาว่ามือของเธอทะลุผ่านหลอดแก้วเข้าไปทั้งแบบนั้น ไม่มีรอยแตกหรืออะไรเลย!
และมือของเธอก็ไปแตะหน้าผากร่างดังกล่าวเอาไว้ก่อนที่ข้าจะมองเห็นด้วยตาเปล่าว่า… ร่างของเธอซีดขาวลงอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาเดียวก็ไม่ต่างจากศพ.. แต่ตรงข้ามร่างที่อยู่ในขวดแก้วเหมือนได้รับเลือดของสิ่งมีชีวิตมา.. ทำให้มันดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาได้
“นี่เจ้า ทำอะไรน่ะ!”
ข้าทนไม่ไหวกำลังจะเข้าไปห้าม.. แต่ยังไม่หยุดเธอเหมือนกำลังดัดแปลง DNA ของร่างที่อยู่ในขวดแก้ว..
เพื่อหวังว่าจะทำให้ร่างโคลนกลับมามีชีวิต!
ในขณะที่ข้ากำลังสับสนอยู่นั้นเธอก็ดึงมือออกมา ร่างกายที่เคยซีดขาวก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“เจ้า…?”