บทที่ 387 – เด็กผู้หญิงปริศนา
ในโรงเตี๊ยมขนาดไม่ใหญ่มากแห่งหนึ่งมีคนสองคนกำลังนั่งทานอาหารอยู่ สองคนนี้สวมฮู้ดสีขาวปกปิดใบหน้าเอาไว้
แต่เมื่อพวกเธอปรากฏตัวขึ้นก็ดึงดูดสายตาคนมาไม่น้อย แต่คนสวมฮูดสีขาวที่เป็นคนพี่ก็วาดมือออกแล้วก็เกิดเป็นม่านพลังบางๆ ที่ไม่มีใครมองเห็น
ปิดกั้นเสียงจากในนี้จนหมด คนน้องก็พูดขึ้น
“ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงนะท่านพี่.. ตามที่สายข่าวของเราบอกมาแทบทุกอย่างเลย งั้นข้าจะขอทบทวนแผนการอีกรอบนะ”
“อาณาจักรนี้คืออาณาจักรมารฟาร์เนีย.. ของจอมมารผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ ของจอมมารทั้งหมด”
“แต่ว่าภายใต้สงครามครั้งล่าสุด เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก ได้ยินข่าวว่าต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะรักษาหาย”
คนน้องกล่าวรายละเอียดที่เธอเคยสืบมาก่อนอย่างแรก เหมือนท่านจอมมารของอาณาจักรนี้ในการต่อสู้ครั้งที่ผ่านมา
เขาโดนไพ่ตายลับของพวกกึ่งมนุษย์ ‘ปรสิตเขียวขจี’ เป็นปรสิตที่จะแทรกแซงเข้าไปในสมองของผู้ถูกปรสิต
และมันจะค่อยๆ เปลี่ยนสมองให้เป็นรากพืชและแตกหน่อออกไปทั่วทั้งร่างกายเข้าแทนหลอดเลือดและท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นเหมือนต้นหญ้า
ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ นอกจากนี้ตัวปรสิตเองยังมีพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายและพลังเวทมนตร์ในร่างกายด้านชา
สรุปคือมันจะทำให้ต้านทานไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆ กัดกินร่างกายของคนผู้นั้น.. แถมหากตามที่ข่าวลือเป็นจริง
เมื่อปรสิตนี้โตเต็มที่มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศวงกว้างให้กลายเป็นดินแดนของมันควบคุมได้ตามใจนึกเลยล่ะ
ความกว้างและความแข็งแกร่งขึ้นอยู่กับคนที่มันเข้าไปกัดกิน.. และหากเป็นจอมมารหากทำสำเร็จมันก็คงทำให้พื้นที่ทั่วทั้งอาณาจักรกลายเป็นพืชหญ้าเขียวขจี
ที่สามารถฆ่าคนทั้งอาณาจักรได้ในพริบตาเดียวเป็นแน่แท้
แต่ก็อย่างที่ว่า จอมมารก็คือจอมมาร หากเขาไม่บาดเจ็บจากการปะทะกับราชาแวมไพร์ก็คงสามารถกำจัดปรสิตนี้ได้อย่างง่ายดาย
แต่ถึงจะอ่อนแอลงขนาดไหน ปรสิตนี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าเขาได้อยู่ดี แต่เพราะผลแทรกซ้อนมากมายจึงทำให้เขาต้องรักษาตัวไปอีกหลายปี
คนพี่เองก็พยักหน้า คนน้องก็พูดต่อ
“และการรักษาจอมมารนั้น.. พวกเขาเหมือนจะใช้ไม้แข็งโดยการที่เอาเมื่อหนามยอกก็เอาหนามบ่ง”
“เหมือนว่าเขาจะใช้พิษของต้นปีศาจแดงยับยั้งพิษของปรสิตเขียวขจี และใช้ใบไม้ของต้นปีศาจแดงที่มีความแม่นยำสูงจัดการปรสิตที่อยู่ในสมองของจอมมาร”
“หรือก็คือ…”
แต่คนน้องยังพูดไม่จบ พนักงานก็เดินพรวดเข้ามาผ่านม่านป้องกันเสียงได้อย่างง่ายดาย ก็แหงล่ะมันแค่กันเสียง ไม่ได้กันคนเข้ามา
“รับอะไรดี?”
“เอาเป็นอาหารที่ทางร้านแนะนำเลย”
คนพี่กล่าวตอบปัดๆ ออกไป พนักงานก็พยักหน้าแล้วก็เดินจากไป ทั้งคู่ก็หันกลับมาคุยกันต่อ คราวนี้คนพี่เป็นคนพูดเอง
“หรือก็คือ.. ตอนนี้จอมมารอยู่ที่เมืองนี้ จากสภาพดูแล้วเขาน่าจะอยู่แถวๆ ต้นปีศาจแดง เผลอๆ อาจจะฝังตัวอยู่ในลำต้นมันเลยก็ได้”
“จอมมารคนนี้เหมือนจะเป็นคนรอบคอบอย่างมาก หลังเขาโดนปรสิตเขาพยายามทำเหมือนตัวเองไม่เป็นไร และไม่เคลื่อนไหวอะไรเพิ่มเติม”
“ทำให้แม้แต่กึ่งมนุษย์ที่ปล่อยปรสิตใส่เขายังไม่กล้าบุกเข้ามา แม้รู้ว่าจอมมารคนนี้มีโอกาสจะตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่.. เพราะพวกมันกลัวว่า.. เขาจะกลายเป็นเสือซ่อนเขี้ยว!”
ใช่แล้ว นี่คือสงครามจิตวิทยา จอมมารคนนั้นทำท่าเหมือนตัวเองไม่เป็นไรและกลับออกมาพร้อมกับปิดกั้นการส่งข่าวออกด้านนอก
ทำให้คนภายนอกไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วจอมมารโดนปรสิตเล่นงานจริงหรือเปล่า แน่นอนว่าหากบุกรุกเข้ามาพวกเขาก็จะรู้
แต่ต้องเข้าใจว่าบุกเข้าแดนศัตรู คนที่เสียเปรียบคือพวกเขา หากอีกฝ่ายแค่เปิดปากถ้ำล่อคนเข้ามาขย้ำล่ะ..
แบบนั้นจะเป็นพวกเขาเองที่แตกพ่าย.. นี่เป็นการขู่ทางจิตวิทยาวิธีหนึ่งนั่นเอง
“ซึ่งเขาน่าจะเป็นคนที่สามารถคุยได้ง่ายที่สุดแล้ว หากสามารถคุยกับหัวหอกของจอมมารทั้งสิบสองได้แล้วละก็… ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก!”
คนพี่กล่าวแบบนั้น คนน้องก็ถอนหายใจออกมา
“แต่ว่านะท่านพี่ นอกจากข่าวลือลับๆ ที่อยู่ในเมือง ตั้งแต่พวกเรามาอยู่ในเมืองนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะ ยังไม่คืบหน้าอะไรเลย”
“เอาน่า อย่ารีบสิ.. เหมือนที่ท่านแม่เคยบอกว่าแผนการนี้เป็นแผนการใหญ่ ห้ามเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องค่อยเป็นค่อยไป!”
“ถึงท่านพี่จะบอกแบบนั้น แต่ตั้งแต่พวกเราออกเดินทางนี่ก็จะเข้าปีที่สองแล้วนะ ความคืบหน้ายังไม่มีสักอย่างเลย!”
คนน้องพูดแบบนั้น ทำให้คนพี่หัวเราะแห้งๆ ก่อนที่จะพูดกลบเกลื่อนว่า..
“ก็สำเร็จไปแล้วหลายประเทศนี่น่า.. ในแดนมนุษย์อะนะ”
“ก็ประเทศพวกนั้นแค่ตอบเพื่อจะเอาใจท่านพี่เท่านั้นแหละ พวกมันคิดเรื่องนั้นด้วยซ้ำก็ไม่รู้!”
“อย่าโมโหสิ เดี๋ยวแก่ไวเอานะ!”
คนพี่ตอบกลับคนน้องด้วยท่าทางประหลาดพร้อมกับเป็นห่วงว่าหน้าน้องสาวตัวเองจะมีรอยย่นแล้วหรือเปล่า
ในขณะที่ทั้งสองคุยกันนั้น นอกหน้าต่างโรงเตี๊ยมก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังมาก.. ดังขึ้น ทำให้พวกเธอสองพี่น้องและคนอื่นในโรงเตี๊ยมหันไปดู
แต่คนเหล่านั้นพอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็หันกลับมา เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นประจำอยู่แล้ว แต่ว่าสองพี่น้องสวมฮู้ดขาวก็จ้องมองหาต้นเหตุ
ที่ตรอกซอยมีชายร่างใหญ่กล้ามเป็นมัดๆ คนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับลากคอเด็กคนหนึ่งโยนทิ้งลงไปที่พื้น
มีอีกข้างหนึ่งถือเนื้อแห้งที่เด็กนี่ขโมยอยู่
“นังเด็กนี่ แกหิวก็อย่ามาขโมยสิวะ ข้าเองก็ทำมาหากินเหมือนกันนะโว้ย ไสหัวไปไกลๆ ไป”
“ท่านลุง.. ข้าขอเนื้อสักหน่อยก็ยังดีนะ.. ข้าไม่ได้ทานอาหารมาหลายวันแล้ว”
“ไสหัวไปไกลๆ ไป นี่มันของซื้อของขายนะ”
เด็กคนนั้นพยายามจะอ้อนวอน แต่ชายคนนั้นก็เตะเด็กคนนั้นเหมือนผักเหมือนปลา แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลงมือฆ่าแกงเด็กหรอก
แต่เด็กคนนั้นก็พยายามตื๊อไม่หยุด จนกลายเป็นภาพอันโหดร้ายตามมาติดๆ กลางถนนที่คนเดินกันพลุกพล่าน แต่กลับไม่มีใครสนใจเลย
เสียงทุบเสียงตีจนปากของเด็กคนนั้นเลือดไหล..
“เด็กคนนั้น.. เป็นเด็กเมื่อตอนนั้น!”
คนพี่พูดขึ้นทันที ใช่เธอคือเด็กที่เคยเกือบถูกฆ่าในตรอกตอนนั้นแน่นอน คนสวมฮู้ดคนพี่ก็ลุกขึ้นเหมือนกำลังจะเข้าไปห้าม
แต่ในตอนนั้นเองขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะต่อยใส่เด็กผู้หญิงคนนั้น ก็มีคนคนหนึ่งเดินผ่านมาระหว่างชายคนนั้นกำลังจะต่อยเด็กพอดี
เธอสวมฮู้ดสีเทาปกปิดใบหน้าเช่นกัน อันที่จริงเธอไม่ได้สูงมากเท่าไหร่ อันที่จริงดูอายุเยอะกว่าเด็กผู้หญิงที่ถูกทำร้ายอยู่นิดหน่อยเท่านั้น
เหมือนคนคนั้นไม่ได้สนใจเท่าไหร่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นตรงหน้า จนทำให้กำปั้นของชายคนนั้นต่อยกำลังจะโดนเธอ
เธอก็เหมือนหลุดออกมาจากโลกแห่งความคิด.. ก่อนที่จะโยกหัวหลบแล้วก็ใช้มือจับแขนอีกฝ่ายเอาไว้…
เธอเหมือนจะปรับตัวอย่างรวดเร็วหันไปถามอีกฝ่ายที่ร่างกายใหญ่กว่าตัวเองซะอีกว่า..
“นายอยากตายรึไง โจมตีฉันน่ะ? เกือบไปแล้วไหมล่ะ ขืนตายไปมั่วซั่วมีหวังภาพสะท้อนของเทพนั่นปรากฏขึ้นมาจะทำไง?”
เธอคนนั้นพูดกับอีกฝ่ายก่อนจะหันมาพึมพำกับตัวเอง ชายคนนั้นก็เหมือนจะตามเรื่องราวไม่ทันแต่เขาก็ขมวดคิ้ว
อยากจะด่าว่าก็แกเดินมาเองนี่หว่า.. แต่ก่อนที่จะทันได้พูดแขนของเขากลับดึงไม่ออก.. นี่ทำให้เขาหน้าเผือดสี ก่อนที่เธอคนนั้นเหมือนจะพึ่งนึกได้
เธอก็ปล่อยมืออีกฝ่ายออก ชายคนนั้นสบถออกมาพร้อมกับด่า
“ไสหัวไปซะ บอกให้เด็กนั่นอย่ามาขโมยของของข้าอีก ไม่งั้นคราวนี้ข้าไม่เอาไว้แน่”
“อ่า… อาหาร”
เด็กคนนั้นมองตามอาหารพร้อมกับเสียงท้องร้องที่ไม่มีอาหารตกมาถึงกระเพาะหลายวันแล้ว..
เธอคนนั้นเหมือนจะเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงที่ซูบผอม… ร่างกายอ่อนแออย่างถึงที่สุด เหมือนกับว่าไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้ว
ราวกับมันไปซ้อนทับกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอเคยรู้จัก.. เด็กคนนั้นไม่มีพ่อไม่มีแม่เหมือนกัน ตอนที่เธอเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นตอนอายุเท่าเด็กนี่..
ก็บาดเจ็บจากการถูกทำร้ายเหมือนกัน…
“เธอ.. มานี่สิ”
เธอพูดกับเด็กคนนั้นที่กำลังเสียดายอาหารพร้อมกับเดินนำไปทางโรงเตี๊ยม.. เหมือนเด็กนั่นจะไม่เข้าใจ เธอจึงถามซ้ำอีกรอบว่า
“จะทานไหม อาหารน่ะ?”
ดวงตาเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ลุกวาวแล้วพยักหน้าพร้อมกับเดินตามหญิงสาวสวมฮู้ดไปในโรงเตี๊ยมด้วยความตื่นเต้น
“ฉัน…แค่ทำตามที่พี่สอนเท่านั้นแหละ”
เธอคนนั้นพึมพำเบาๆ
เหมือนกับว่าในใจของเธอยังมีบางส่วนที่ขัดแย้งกันอยู่..