สืออีเหนียงลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนหายใจในใจ พูดกับองค์หญิงเจียงตูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต้องให้ท่านโหวเป็นคนตัดสินใจ หม่อมฉันคิดว่าอย่างไรก็ต้องปรึกษากับท่านโหว…” ท่าทางลำบากใจเป็นอย่างมาก
องค์หญิงเจียงตูอดร้อนใจไม่ได้ “ท่านน้าหญิง นี่ไม่ใช่เวลามาคำนึงถึงเรื่องคุณธรรม อย่าลืมว่าโอกาสเช่นนี้นั้นหาได้ยากมาก เมื่อผ่านไปแล้วก็จะไม่มีมาอีกแล้ว” แล้วพูดต่อไปว่า “พี่สะใภ้สามบอกว่าขอเพียงแค่ท่านน้าหญิงตอบตกลง พวกเราก็จะไปพูดกับพี่สาม เมื่อเอกสารทางการจากกรมกลาโหมถูกส่งออกไป เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้ท่านน้ารู้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว!”
สืออีเหนียงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
นางจับมือองค์หญิงเจียงตู “โชคดีจริงๆ ที่จิ่นเกอมีพวกท่าน แต่เรื่องนี้สำคัญมาก หากท่านโหวไม่เห็นด้วย หม่อมฉันก็ไม่กล้ารับปากจริงๆ เพคะ”
ความตื่นเต้นดีใจขององค์หญิงเจียงตูค่อยๆ จางลง กลายเป็นความผิดหวัง ฝืนพูดขึ้นมาว่า “จิ่นเกอก็ช่วยพวกเรามากมายเช่นกัน ท่านน้าหญิงอย่าได้เก็บไปใส่ใจ” แล้วลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงยิ่งรู้สึกไม่สบายใจกว่าเดิม ส่งองค์หญิงเจียงตูกลับไป “หม่อมฉันเข้าใจความหวังดีของยงอ๋องกับองค์หญิง รอให้ท่านโหวกลับมาจากในวังก่อน หม่อมฉันจะพูดกับท่านโหวอีกครั้งเพคะ”
องค์หญิงเจียงตูพยักหน้าด้วยท่าทางไม่มีความสุข จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับจวน
ยามที่สวีลิ่งอี๋กลับมาก็เป็นเวลาจุดโคมไฟพอดี
เมื่อสืออีเหนียงทราบข่าวก็ออกไปต้อนรับ
ภายใต้โคมไฟสีแดง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมและสงบนิ่ง
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับ ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ต้อนรับสวีลิ่งอี๋กลับเรือน ช่วยเขาเปลี่ยนเป็นชุดผ้าไหมเต้าผาวตามปกติ แล้วยกชามาวางอย่างเงียบเชียบ
หลังจากที่สวีลิ่งอี๋เข้ามาในห้อง สายตาก็มองไปที่สืออีเหนียงตลอด เดินเข้าๆ ออกๆ วนไปวนมาตามนาง ตอนนี้นางหยุดเดินแล้ว เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่น
สืออีเหนียงไม่ได้ซักไซ้แต่ถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านโหวทานข้าวแล้วหรือยัง ให้ข้าเข้าครัวทำบะหมี่รวมมิตรให้ท่านดีหรือไม่”
“ดี!” สวีลิ่งอี๋ตอบตกลงทันที ราวกับว่ารู้สึกโล่งใจแล้ว
เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดถึงได้มีท่าทางราวกับกลัวว่านางจะถาม…
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังนวดแป้ง ในใจก็รู้สึกว้าวุ่น
หรือว่าฮ่องเต้ตัดสินใจให้เขารับตราแม่ทัพชั่วคราว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องกลัวว่าตนจะถาม! เขาเป็นผู้นำตระกูล อย่าว่าแต่เรื่องในราชสำนักเลย ต่อให้ตระกูลต้องการจะซื้อร้านของใคร ตามหลักแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องปรึกษากับนางด้วยซ้ำ…หรือว่าเป็นเรื่องของจิ่นเกอ…นอกจากเรื่องของบุตรชายแล้ว นางก็คิดไม่ออกเลยว่ายังจะมีเรื่องอันใดที่ทำให้สวีลิ่งอี๋มีท่าทางลำบากใจเมื่ออยู่ต่อหน้าตน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็อดรู้สึกสับสนไม่ได้
หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับจิ่นเกอ
แต่เขาแอบส่งคนไปไว้ข้างกายจิ่นเกอไม่ใช่หรือ
เช่นนั้นจะเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไรกัน
นางครุ่นคิดพลางรีบโรยต้นหอมสับลงบนบะหมี่แล้วยกออกไป
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่บนเตียงเตา ทานบะหมี่ไปสองชามก่อนจะวางตะเกียบลง
สืออีเหนียงปรนนิบัติเขาบ้วนปากและล้างมือด้วยตัวเอง
ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขากลับมาจากในวังแต่กลับไม่ถามอะไรสักคำ…หลายปีมานี้ เขาไม่พูดนางก็ไม่ถาม ให้นางทำอะไรก็ทำ ไม่เคยที่จะสงสัย เชื่อใจเขาหมดทั้งใจ…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จู่ๆ ดวงตาของสวีลิ่งอี๋ก็พร่ามัวเล็กน้อย
เขาดึงสืออีเหนียงที่กำลังจะรินน้ำชาให้เขา
“มั่วเหยียน กองทัพใหญ่สี่แสนนายไม่ได้ระดมกำลังเพียงทหารทั้งหมดในซานตงและซานซีเท่านั้น แม้กระทั่งหย่วนตงกับเจ้อเจียงที่อยู่ภายใต้บัญชาการกองทัพฝ่ายซ้าย กับเป่าติ้งและว่านเฉวียนที่อยู่ภายใต้บัญชาการกองทัพแนวหลังก็ยังขนย้ายกองกำลังทหารมาสมทบด้วยส่วนหนึ่ง แม้ว่าฮ่องเต้จะมีพระประสงค์ให้โอวหยางหมิงเป็นผู้นำกองทัพ แต่โอวหยางหมิงไม่เคยนำกองทัพต่อสู้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ฮ่องเต้ไม่แน่ใจ ดังนั้นจึงประกาศเรียกข้าเข้าวังเป็นพิเศษ ถามข้าว่าโอวหยางหมิงจะสามารถรับภารกิจสำคัญนี้ได้หรือไม่!”
หากคำตอบของเขาตรงกับพระประสงค์ของฮ่องเต้ เหตุใดเขาจึงต้องอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดเช่นนี้!
สืออีเหนียงมองฝ่ามือใหญ่ของเขาที่กำลังจับมือนางไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านโหวแนะนำใครให้กับฮ่องเต้หรือเจ้าคะ”
มั่วเหยียนเป็นคนที่ฉลาดมาก!
สวีลิ่งอี๋หลับตาลง “กงตงหนิงผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว!”
สืออีเหนียงตกใจ “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับจิ่นเกอ”
“ในสมุดรายชื่อของกรมกลาโหม เขาดำรงตำแหน่งอยู่ในองครักษ์ผู่อานกองพันผิงอี๋ของกุ้ยโจว” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาว่า “หากกงตงหนิงได้รับตำแหน่งแม่ทัพผิงซี หากกระทรวงกลาโหมพิจารณาถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ก็จะต้องให้กงตงหนิงนำทัพกุ้ยโจวไปทางเหนือ ทุกคนต่างก็รู้ว่าจิ่นเกอเป็นบุตรชายข้า ในเวลานี้เขาอยู่ที่กุ้ยโจว หากขี้ขลาดและหวาดกลัวสิ่งต่างๆ หลบเลี่ยงความรับผิดชอบในยามแว่นคว้นมีภัยพิบัติ ชื่อเสียงของเขาก็จะพังทลาย ซ้ำยังส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของเขา เจ้าลองคิดดูใครจะยอมมอบหน้าที่สำคัญให้กับคนที่ไม่กล้าแบกรับภาระ!”
ฟังจากที่เขาพูดไปพูดมาล้วนเต็มไปด้วยการพูดโน้มน้าว สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึก ขับไล่ความรู้สึกนี้ออกไปจากในหัว พูดอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้เซวียนถงถูกตีแตก ต้าถงตกอยู่ในอันตราย กุ้ยโจวอยู่ห่างจากที่นี่ออกไปหลายพันลี้ หากฮ่องเต้ฟังคำแนะนำของท่านโหว ในขณะนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเรียกกงตงหนิงเข้าเมืองหลวงหรือย้ายกองทัพกุ้ยโจวไปทางเหนือ ยิ่งไปกว่านั้นโอวหยางหมิงผู้นั้นก็เป็นขุนนางผู้ช่วยฝ่ายซ้ายที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเก็บไว้ให้ฮ่องเต้ ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้อย่างลึกซึ้ง ฮ่องเต้ไม่มีทางเห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านโหวในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านโหวกำลังกังวลอะไรอยู่กันแน่” ก่อนที่นางจะพูดจบ ในใจก็พลันรู้แจ้ง อดพูดไม่ได้ว่า “วันนั้นที่ฮ่องเต้เรียกท่านโหวเข้าวังก็เคยถามท่านโหวเกี่ยวกับนโยบาย หรือว่าครั้งนั้นก็เคยให้ท่านโหวแนะนำแม่ทัพผิงซีด้วยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร เป็นการยอมรับไปในตัว
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
ตอนนั้นเขาก็ควรจะแนะนำกงตงหนิง แต่กลับเป็นเพราะกังวลเรื่องจิ่นเกอจึงนิ่งเงียบไว้ เมื่อเซวียนถงถูกตีแตก ฟั่นเหวยกังหายสาบสูญ เผ่าตาดมองโกลบุกต้าถง ราษฎรที่อาศัยอยู่ในทั้งสองแห่งนี้ต้องผลัดถิ่นไร้ที่อยู่…เขาคิดว่าตัวเองก็ต้องรับผิดชอบด้วย ดังนั้นจึงได้กระสับกระส่ายกินไม่ได้นอนไม่หลับ!
ทันใดนั้นดวงตาสืออีเหนียงก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
ทุกคนล้วนมีขอบเขตของตัวเอง
เช่นเดียวกันกับนาง ทั้งๆ ที่รู้ว่าหากตอบตกลงความหวังดีของยงอ๋องกับองค์หญิงเจียงตู จิ่นเกอก็อาจจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งขั้นสูงในทันที แต่เมื่อคิดว่าอนาคตบุตรชายของนางได้มาจากการเสียสละอนาคตของผู้อื่น นางก็ไม่สามารถยอมรับโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
สวีลิ่งอี๋ก็คงเป็นเช่นกันกระมัง!
การใช้กงตงหนิงก็เป็นไปได้ว่าจะยุติสงครามนี้ได้ในไม่ช้า แต่ก็เป็นไปได้ว่าสถานการณ์อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าตอนนี้ แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการยืนยัน เขาคงอดที่จะคิดไปในทางที่ดีไม่ได้ ดังนั้นยิ่งคิดเลยยิ่งรู้สึกเสียใจภายหลัง…
“สวีลิ่งอี๋!” สืออีเหนียงเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา นั่งลงตรงหน้าเขาแล้วเงยหน้าจ้องตาเขา “ฮ่องเต้ตกลงที่จะใช้กงตงหนิงหรือไม่ ในสถานการณ์สงครามที่คับขันเช่นนี้ มีโอกาสที่จะให้กงตงหนิงเข้าเมืองหลวงมาโดยลำพังหรือไม่”
“ฮ่องเต้ไม่ได้ตกลง” สวีลิ่งอี๋พยุงนางลุกขึ้น กอดนางไว้ในอ้อมแขน “แต่ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก ในเมื่อเผ่าตาดมองโกลได้รวบรวมกำลังทหารมากกว่าสิบเผ่า ซ้ำยังกล้าโจมตี อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีจำนวนคนเพียงแค่นี้ เช่นนั้นยังมีคนไปที่ไหนอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีหัวหน้าเผ่าอื่นจะนำกองกำลังอีกกลุ่มหนึ่งบุกจากฝั่งกานโจว หากเป็นเช่นนี้ เมื่อกานโจวล้มลง ต้าถงถูกโจมตีจากทั้งสองฝั่งในเวลาเดียวกัน หากพวกเราชนะ สถานการณ์ก็จะคลี่คลาย หากพวกเราแพ้ เยี่ยนจิงจะตกอยู่ในอันตราย สิ่งเดียวที่กระทรวงกลาโหมทำได้ก็คือส่งกองกำลังจากซื่อชวนและกุ้ยโจวมาล้อมและปราบปรามพวกเขา…”
สืออีเหนียงสีหน้าซีดเซียว “หมายความว่า…ตามความคาดหมายของท่านโหวมีโอกาสที่สถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ถึงแปดเก้าในสิบส่วน!?”
จิ่นเกอต้องติดตามเข้าไปในสนามรบแล้ว!
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่พูดขึ้นมาว่า “ติงจื้อผู้บัญชาการทหารมณฑลซื่อชวนเป็นคนหัวแข็ง ใช้เพียงคนใกล้ตัวของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม หากให้เขารับตำแหน่งผู้นำกองทัพฝ่ายขวา เกรงว่าเขาจะให้กองกำลังทหารกุ้ยโจวบุกอยู่ด้านหน้า แต่กงตงหนิงเป็นคนที่รักทหารราวกับบุตรชาย จะต้องขัดแย้งกับเขาอย่างแน่นอน สงครามยังไม่ทันได้เริ่ม แต่พวกเขาจะตกอยู่ในความวุ่นวายเสียก่อน…” เขาพูดพลางถอนหายใจเบาๆ “ถึงแม้ว่าอาลักษณ์ลู่ผู้นี้จะเชี่ยวชาญเรื่องประจบประแจงคนใหญ่คนโต แต่เมื่อได้ลงมือทำก็มีความกล้าหาญอยู่บ้าง หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ บวกกับคำแนะนำของข้า เขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้กงตงหนิงรับตำแหน่งผู้นำกองทัพเพื่อนำทัพฝ่ายขวาอย่างแน่นอน…”
สายตาของเขาจ้องมองตรงไปข้างหน้า ดวงตาของเขาราวกับมองทะลุผ่านภูเขาแม่น้ำนับพันไปจนถึงเนินเขาของซีเป่ยอย่างไรอย่างนั้น สืออีเหนียงพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
หากกงตงหนิงชนะก็ดีไป แต่หากแพ้ ในฐานะคนแนะนำ สวีลิ่งอี๋จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ อาลักษณ์ลู่จะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เรื่องนี้สำเร็จอย่างแน่นอน หากเขาแนะนำติงจื้อ เมื่อแพ้สงครามเขาก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากกงตงหนิงเป็นผู้นำทัพฝ่ายขวาของกองทัพภาค เขาไม่เพียงแต่จะได้รับการยกเว้นความรับผิดชอบในการแนะนำ ซ้ำยังได้รับความซาบซึ้งจากสวีลิ่งอี๋ ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะไม่ทำเช่นนี้!
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรเจ้าคะ” สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ
“หวังว่าจะเป็นข้าที่คิดมากไปเอง” สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่น น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “บางทีเผ่าตาดมองโกลอาจมีคนไม่มากนัก”
คาดว่าเขาเองก็คงไม่เชื่อคำพูดนี้ของตัวเอง มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่พูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
ในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
มีบ่าวรับใช้รายงานผ่านผ้าม่านว่า “ท่านโหว ผู้ดูแลจ้าวมาขอพบขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ออกแรงกอดสืออีเหนียง ยิ้มพลางปลอบโยนนาง “พวกเราเองก็เลิกคิดมากได้แล้ว บางทีโอวหยางหมิงผู้นั้นอาจจะเป็นเหมือนข้า เป็นผู้นำกองทัพที่หาได้ยากในรอบร้อยปี ในตอนนั้นผู้บัญชาการทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคเหล่านั้นก็มองข้าเหมือนกับที่ข้ามองโอวหยางหมิงในวันนี้!”
สืออีเหนียงยิ้มไม่ออก แต่ยังคงพยายามพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ป่านนี้แล้ว เกรงว่าผู้ดูแลจ้าวจะมีเรื่องเร่งด่วน ท่านโหวรีบไปเถิด!”
มั่วเหยียนไม่ใช่คนประเภทที่เชื่อในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น หากยังไม่เห็นความคืบหน้า นางไม่มีทางยอมเชื่ออย่างแน่นอน
เป็นครั้งแรกที่สวีลิ่งอี๋เกลียดความมีเหตุผลของนางเช่นนี้
แต่ในเวลานี้ เขาทำได้เพียงพูดเบาๆ ว่า “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวแล้วจะรีบกลับมา” หันหลังแล้วเดินออกจากห้องชั้นใน
สืออีเหนียงรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเผาบนกองไฟก็ไม่ปาน
โอวหยางหมิงมีทหารสี่แสนนายอยู่ในมือ เป็นอัตราส่วนสี่ต่อหนึ่ง ต่อให้ต้องสู้รบกับคนจำนวนมากก็อาจจะสามารถเอาชนะเผ่าตาดมองโกลได้…หากโอวหยางหมิงได้รับชัยชนะ ต่อให้เผ่าตาดมองโกลจะมีกองทัพแอบลักลอบเข้ากานโจวจริงๆ ก็ไร้ประโยชน์…เมื่อถึงเวลานั้นโอวหยางหมิงเพียงแค่ย้ายกองทัพของเขาไปทางใต้ก็พอแล้ว…กงตงหนิงย่อมไม่ต้องออกศึกแล้ว จิ่นเกอก็จะสามารถลงหลักปักฐานในสื่อหยางและเปิดเหมืองของเขาในผิงอี๋ต่อไปได้!
ในใจคิดเช่นนี้แต่การวิเคราะห์ของสวีลิ่งอี๋กลับผ่านเข้ามาในหัวอยู่เรื่อยๆ ทำให้นางรู้สึกกระสับกระส่าย
นางรู้ว่านั่นเป็นเพราะนางเชื่อมั่นในความสามารถของสวีลิ่งอี๋มากเกินไป เชื่อมั่นในคำพูดของเขาอย่างลึกซึ้งโดยไม่สงสัยเลยไม่มีวิธีที่จะปล่อยวางได้
ข้อเท็จจริงเป็นเพียงอย่างเดียวที่จะสามารถพิสูจน์ได้ ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รอรายงานการรบจากต้าถงแล้ว!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สืออีเหนียงไหนเลยจะมีกะจิตกะใจสนใจว่าทำไมสวีลิ่งอี๋ถึงกลับมาหลังเที่ยงคืน ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจว่าสวีลิ่งอี๋จะถูกรบกวนจนตื่นหรือไม่ นอนพลิกไปพลิกมาจนรุ่งสางถึงได้หลับตาลง
สวีซื่อจุนกับเจียงซื่อพาถิงเกอมาคารวะ สวีซื่อจุนขอคำแนะนำจากสวีลิ่งอี๋ “ตอนนี้ข้าวในเมืองขึ้นเป็นแปดตำลึงต่อสิบถังแล้ว ดูจากสถานการณ์แล้วคาดว่าจะขึ้นต่ออีก พวกเรามีร้านข้าวสองแห่งในเมืองไม่ใช่หรือขอรับ ข้าอยากจะปิดร้าน เช่นนี้ในจวนก็จะสามารถใช้ข้าวได้มากขึ้น หากญาติสนิทมิตรสหายมีปัญหา พวกเราก็จะสามารถพอให้ความช่วยเหลือให้ทุกคนผ่านความยากลำบากนี้ไปได้!”