บทที่ 701 น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน บนโลกนี้มีคนที่ไร้ยางอายถึงขั้นนี้อยู่ได้อย่างไร!
โฮกกก!
อสูรสีทองตัวหนึ่งปรากฏออกมาช่วยเหลือจ้าวจง
นี่เป็นอสูรระดับราชันตัวหนึ่ง เพียงแค่เสียงคำรามก็ยังทรงพลังมาก
“เป็นเพียงแค่มดปลวก มาร้องหาสิ่งใดกัน!”
เซี่ยเหยียนตะคอกออกมาเสียงเย็นชา ดวงตาจับจ้องไปทางอสูรอีกฝ่าย
ทันใดนั้นเอง อสูรตนนั้นก็สูญสิ้นซึ่งความกล้าหาญทั้งหมด ราวกับว่ามันเสียสติไปแล้ว ร่างกายของมันสั่นเทาหมอบลงไปกับพื้น
ต่อหน้าเซี่ยเหยียนมันเป็นเพียงแค่ราชันอสูรตัวน้อย จะโอ้อวดพลังกับเซี่ยเหยียนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนแล้วได้อย่างไร
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในพริบตาเดียว จ้าวจงและสวีจิ้งคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาที่กำลังนั่งอยู่บนอสูรสีทองถึงกับเกือบจะล้มคว่ำ
แต่พวกเขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบตั้งท่าให้ตนเองมั่นคงลอยอยู่กลางอากาศทันที
“รนหาที่ตาย!”
ดวงตาของจ้าวจงเย็นเยียบ จิตสังหารทวีคูณขึ้น เขาตบฝ่ามือกลางอากาศไปทางเซี่ยเหยียน มวลแรงราวกับคลื่นน้ำสูงนับพันจั้งพุ่งใส่เซี่ยเหยียนอย่างดุดัน
“อันใดกัน กระทั่งผู้อาวุโสของตระกูลเจ้ายังไม่กล้ากำเริบเสิบสานเท่าเจ้าเลย!”
เซี่ยเหยียนลงมือ ตบไปทางจ้าวจงที่อยู่กลางอากาศ
พลังของจ้าวจงถูกทำลายลงในทันที ขณะเดียวกันฝ่ามือของเซี่ยเหยียนก็ตบลงบนใบหน้าของจ้าวจงอย่างแรง!
เพียะ! ฟิ้ว!
จ้าวจงลอยกระเด็นออกไปทันที ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยวจากการถูกตบ เลือดออกกลบเต็มปาก ชนเข้ากับยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างแรงจนพังทลาย
ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้สีเลือด หนึ่งตบของเซี่ยเหยียนราวกับทำให้ชีวิตของเขาหายไปกว่าครึ่ง
“!!!”
เมื่อฉินหวายเฟิงเห็นฉากนี้ หนังศีรษะของเขาก็ถึงกับชาหนึบ ขนบนร่างลุกชัน ตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด!
เซี่ยเหยียนดูแล้วอายุยังน้อยไม่ต่างจากเขา ทว่าเหตุใดนางถึงได้น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้!?
ภูมิหลังของยอดนิกายล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึงได้ จ้าวจงมาจากยอดนิกาย ขอบเขตการฝึกฝนของเขาสูงล้ำอย่างยิ่ง เป็นถึงกึ่งนักบุญผู้หนึ่ง ทว่าสุดท้ายกลับดูอ่อนแอเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียน
ขอบเขตของนางอยู่ระดับใดกันแน่?!
เขาไม่กล้าจินตนาการแม้แต่น้อย!
สีหน้าของสวีจิ้งแปรเปลี่ยนอย่างมาก นางทรุดลงกับพื้น รู้สึกว่าเหมือนพวกนางจะไปเตะโดดแผ่นเหล็กเข้าแล้ว!
สวีจิ้งตื่นตกใจกลัว ไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยเหยียนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!
“อ๊ากกก! พวกเราตระกูลจ้าวจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไป!”
จ้าวจงคำรามออกมาด้วยความดุร้ายเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุด เขาเคยต้องตกอยู่ในสภาพเวทนาที่ไหนกัน? ย่อมต้องไม่เคยมาก่อน!
“งั้นหรือ”
ใบหน้าของเซี่ยเหยียนสงบนิ่ง นางก้าวออกไปทางจ้าวจงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “ติดต่อประมุขตระกูลของเจ้าเสีย บอกให้เขามาที่นี่”
นี่มัน…อันใดกัน!
จ้าวจงที่ยังคงโกรธเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเหยียนก็อดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้
เขาคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเหยียนจะกล้าเอ่ยวาจานี้ออกมา!
อีกฝ่ายบอกให้เขาติดต่อประมุขตระกูล นี่มันหมายความว่าอย่างไร? เซี่ยเหยียนจงใจแสร้งวางท่าต่อหน้าเขา หรือว่านางมีความมั่นใจจริง ๆ ไม่เห็นตระกูลจ้าวของพวกเขาอยู่ในสายตา
ชั่วพริบตานั้นเอง เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าควรจะต้องทำเช่นไรต่อ การกระทำของเซี่ยเหยียนเหนือเกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก!
“ทำไม ไม่กล้าแล้วหรือ? กล้าตะโกนออกมาแต่กลับไม่กล้าทำ?”
เซี่ยเหยียนปรายตามองจ้าวจงอย่างไม่แยแส “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว อย่าได้ลังเล เรียกยอดฝีมือทั้งหมดในตระกูลของเจ้ามาเสีย จากนั้นก็ดูข้าจัดการยอดฝีมือทั้งหมดในตระกูลเจ้าเสียให้เต็มตา”
นางบ้าไปแล้วหรือ?!
จ้าวจงไม่เคยพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน นี่ทำให้เขามึนงงยิ่งนัก หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมา จะเป็นไปได้หรือไม่ที่แม้ยอดฝีมือตระกูลจ้าวทั้งหมดมาที่นี่ก็ยังไม่อาจทำสิ่งใดได้
ทว่าเขาก็สลัดความคิดนี้ออกจากหัวอย่างรวดเร็ว
หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงไม่กล้าติดต่อกลับตระกูลไปเช่นนี้จริง ๆ เกรงว่ายอดฝีมือที่ออกมาจะไม่อาจทำอันใดได้
แต่ตอนนี้เขาไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย
ตอนนี้ภายในตระกูลของเขามียอดฝีมืออยู่ท่านหนึ่ง ตามที่คนในตระกูลบอกเล่ามา ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือผู้นี้ล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึง ทำให้ตระกูลจ้าวของพวกเขาเหนือยิ่งกว่ายอดนิกายอื่น ๆ ทั้งหมด!
“อย่าได้หยิ่งผยองเกินไปนัก บางทีอาจต้องเป็นเจ้าที่ร้องไห้!”
เขาหยิบเอาศาสตราสื่อสารออกมาติดต่อไปยังตระกูล แจ้งให้ทราบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากยอดฝีมือของตระกูล
“เจ้าเอ่ยบอกตัวตนของเจ้าแล้วหรือยัง?”
มีเสียงดังออกมาจากศาสตราสื่อสาร
“บอกแล้ว แต่นางไม่เห็นตระกูลจ้าวอยู่ในสายตา ทั้งยังเอ่ยว่าอยากพบยอดฝีมือของตระกูลเราด้วย!”
จ้าวจงตอบกลับ
ทว่าแม้จะสามารถติดต่อกับตระกูลได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่อาจสงบใจได้ หัวใจเริ่มกลับมาเต้นกระหน่ำอีกครั้ง
เซี่ยเหยียนดูสงบนิ่งเกินไป สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดเกรงเสียยิ่งกว่าการที่เซี่ยเหยียนเข้ามาพยายามห้ามปรามเขาเสียอีก
“บ้าไปแล้ว!”
มีเสียงตะโกนด้วยโทสะดังจากศาสตราสื่อสาร
“เจ้าอยู่ที่ไหน?”
“ข้าอยู่ชายเขาเฟิ่งหวา!”
จ้าวจงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ตกลง พวกเราจะไปทันที! ส่วนคนที่อยู่ข้างเจ้าตรงนั่น! ฮึ่ม ฟังข้าให้ดี หากจ้าวจงเสียผมไปแม้สักเส้น ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้อย่างถึงที่สุด!”
เสียงจากด้านในศาสตราสื่อสารเต็มไปด้วยความั่นใจอย่างเห็นได้ชัด ทำกระทั่งเอ่ยข่มขู่เซี่ยเหยียน
“หนวกหู! พวกเจ้าพูดจาไร้สาระมากเกินไปแล้ว รีบมาเร็วเข้า! หรือ…ต้องให้ข้าไปพาพวกเจ้ามาด้วยตัวเอง?”
เซี่ยเหยียนตะคอกเสียงเย็นชา
จ้าวจงไม่นับว่าเป็นข้อยกเว้นของตระกูลนี้อย่างแน่นอน ทั้งตระกูลดูแล้วล้วนมีปัญหา ครั้งนี้นางไม่ได้ตั้งใจจะสั่งสอนเพียงจ้าวจง แต่จะลงมือสั่งสอนทั้งตระกูล
ผู้ฝึกตนฝึกฝนตัวเอง ก็เพื่อความแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพื่อรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า!
“พามา? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังเอ่ยอันใดอยู่? อนุชนผู้โง่เขลาไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กำเริบเสิบสานจนเกินไป! เช่นนั้น หากเจ้ามีความสามารถก็มาหาพวกข้าเสีย!”
เสียงในศาสตราสื่อสารเอ่ยอย่างเย็นชา ฟังดูแล้วเสียงของเซี่ยเหยียนยังคงเยาว์วัยอยู่มาก
“เหตุใดข้าต้องไปด้วย พวกเจ้าสิที่เป็นฝ่ายต้องมา!”
เซี่ยเหยียนชี้นิ้วไปทางศาสตราสื่อสารในมือของจ้าวจง ทันใดนั้นศาสตราสื่อสารพลันมีพลังเปล่งแสงเจิดจ้า มันลอยออกจากมือของจ้าวจงมาหยุดอยู่กลางอากาศ
ฟุ่บ!
ศาสตราสื่อสารเปล่งลำแสงอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง กฎเกณฑ์อันเหนือเกินกว่าจินตนาการแล่นพล่าน เส้นทางที่มันวิ่งไปทำให้ความว่างเปล่าถูกแยกออก กลายเป็นเส้นทางหนึ่งพุ่งไปยังส่วนลึกของความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว!
สุดท้ายเมื่อเส้นทางนี้หยุดลง ก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปลายทางการเชื่อมต่ออยู่หนแห่งใด
“เกิดอันใดขึ้น!?”
“นี่มันอันใดกัน!”
เสียงวุ่นวายเซ็งแซ่ดังออกมาจากสถานที่แห่งนั้น เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตในที่แห่งนั้นต่างตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
จะไม่ตื่นตกใจได้อย่างไร?
อยู่ดี ๆ ก็มีเส้นทางปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปลาด้านในตระกูล การป้องกันทั้งหมดนั้นไร้ประโยชน์ ไม่ทำงานขึ้นมาแม้แต่น้อย ไม่แปลกที่จะทำให้ทุกคนตื่นตกใจ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่พวกเขาอยู่นั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดา!
“เป็นไปได้อย่างไร?!”
เมื่อจ้าวจงเห็นอีกด้านของปลายเส้นทาง หัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้นลง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด แทบจะเป็นลมล้มลงไปเสียด้วยซ้ำ!
เซี่ยเหยียนทำจริงอย่างที่พูด นางสร้างเส้นทางตรงไปยังตระกูลจ้าวของพวกเขา!
สวรรค์!
นี่มันต้องมีพลังเพียงใดกัน?!
สีหน้าของเขาไม่น่าดู ลำไส้แทบกลายเป็นสีเขียวด้วยความเสียใจ ครั้งนี้เขาก่อภัยให้ตระกูลจ้าวจริง ๆ เสียแล้ว!
“มาจริงหรือ?!”
“!!!”
อีกด้านหนึ่งของเส้นทาง ผู้อาวโสตระกูลจ้าวใบหน้าซีดเซียวด้วยความตกใจ พวกเขาเตรียมกำลังจะระดมคนไปที่นั่น ทว่ายังไม่ได้เริ่มเคลื่อนไหว เซี่ยเหยียนก็ลงมือทำตามที่พูด มารับพวกเขาถึงที่!
“มีเรื่องอันใดก็มาพูดคุยกันดี ๆ เถิด!”
แม้ประมุขตระกูลจ้าวจะตกใจอย่างถึงที่สุดในคราแรก แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงประมุขตระกูล จึงสามารถสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว พร้อมส่งเสียงหาเซี่ยเหยียนผ่านความว่างเปล่า
“พวกเจ้าก็มาคุยที่นี่เถอะ”
เซี่ยเหยียนกล่าวอย่างเฉยชา
นี่คือพลังของขอบเขตเซียน นางบรรลุถึงขอบเขตเซียนนานแล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่เซียนธรรมดาทั่วไป
“ตกลง”
หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้มภายในใจ เซี่ยเหยียนนั้นพึ่งพาได้จริง ๆ วาจาล้วนน่าเชื่อถือ ก่อนหน้านี้นางกล่าวว่าตนเองก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังขอบเขตแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาได้เห็นด้วยตาตนเอง นับได้ว่าแข็งแกร่งมากจริง ๆ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางเอ่ยว่า จ้าวจงกับสวีจิ้งเป็นเพียงแมลงวันตัวจ้อยไร้ความสำคัญ เมื่อจ้าวจงและสวีจิ้งยืนอยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียนแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้
ทางด้านฉินหวายเฟิงนั้นยิ่งตกตะลึงมากกว่า เขาไม่เคยเห็นวิธีการเช่นนี้มาก่อน อย่าว่าแต่ได้เห็นเลย กระทั่งได้ยินก็ยังไม่เคย!
เขาได้พบพานกับตัวตนเช่นใดกัน!
“พะ พี่…พี่สาว! เรื่องทั้งหมดข้าล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด! เป็นจ้าวจงที่บังคับให้ข้าทำ! ในตอนนั้นเขาข่มขู่ว่าหากข้าไม่อยู่กับเขา ก็จะสังหารข้าทิ้งเสีย ทำให้ข้าต้องมาอยู่กับจ้าวจง!”
สวีจิ้งรีบคุกเข่าลงบนพื้น ขอร้องอ้อนวอนขอความเมตตาจากเซี่ยเหยียนให้ปล่อยนางไป
เดิมทีนางยังคงมีความหวังสายหนึ่งอยู่ภายใจใน คิดว่าสามารถพึ่งพาตระกูลจ้าวได้ แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นพลังของเซี่ยเหยียนแล้ว นางก็ไม่หลงเหลือความหวังอีกต่อไป สิ่งใดคือตระกูลจ้าวกัน ไม่อาจเทียบได้กับเซี่ยเหยียน!
เซี่ยเหยียนปรายตามองสวีจิ้ง หลังจากนั้นก็ละสายตาออกไปไม่ได้สนใจสวีจิ้งแต่อย่างใด
นางจะเชื่อในสิ่งที่สวีจิ้งพูดได้อย่างไร?
ไม่มีทาง!
อันใดคือถูกจ้าวจงบังคับ เมื่อครู่นางเพิ่งสั่งให้ฉินหวายเฟิงเห่าหอนเหมือนสุนัขด้วยความคิดของตัวนางเอง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจ้าวจงแต่อย่างใด สวีจิ้งนั้นมีจิตใจเลวร้าย เป็นสตรีมีพิษผู้หนึ่ง!
ตอนนี้สวีจิ้งยังคิดจะผลักเรื่องราวทุกอย่างลงบนหัวของจ้าวจง เหอะ เหอะ สวีจิ้งผู้นี้สามารถทำได้ทุกสิ่งจริง ๆ…
“หวายเฟิง! ท่านเชื่อข้าเถิด เรื่องที่ข้ากล่าวไปล้วนเป็นความจริงทั้งหมด! สิ่งที่ข้าเอ่ยกับท่านในตอนนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด! ข้าไม่เคยวางแผนการอันใดกับท่าน ข้าจริงใจกับท่านเสมอ! หวายเฟิง คนที่ข้ารักก็คือท่านเท่านั้น!”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเหยียนไม่สนใจ นางจึงรีบหันไปร่ำไห้กับฉินหวายเฟิง
“อย่าได้เอ่ยคำว่ารักออกมา น่าคลื่นไส้นัก! เจ้าคิดว่าข้ายังมองตัวตนของเจ้าไม่ออกหรืออย่างไร? เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่!”
ฉินหวายเฟิงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา ไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใด
หากเขาเชื่อสิ่งที่สวีจิ้งเอ่ยออกมาอีกครั้ง เช่นนั้นเขาคงจะโง่งมจนเกินเยียวยาจริง ๆ!
“บังอาจ!”
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงตะโกนออกจากอีกฝั่งของเส้นทาง พร้อมกันนั้นมีคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมา ทำให้เส้นทางที่เซี่ยเหยียนสร้างขึ้นมาพังทลายลงในบัดดล!
ทันใดนั้นเอง แสงเซียนก็เปล่งประกายเรืองรอง เผยให้เห็นเส้นทางที่สว่างไสวและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ามุ่งตรงมาทางนี้!
“ก่อกวนการฝึกฝน รบกลัวการหลับลึกของข้า เจ้าสมควรถูกลงโทษ!”
มีเสียงดังขึ้นมาจากฝั่งนั้นอีกครั้ง เสียงนี้เต็มไปด้วยความกดดันมหาศาล ประหนึ่งการโจมตีของสายฟ้า ชวนเกิดความหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาไม่ได้!
เซี่ยเหยียนขมวดคิ้ว นางสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่ง คนผู้นี้มาจากที่ใดกัน? เหตุใดจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
แรงกดดันนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอยู่เหนือขอบเขตเซียนขึ้นไป นางเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อใดกันที่อาณาจักรแห่งนี้มีตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ดำรงอยู่?
บนถนนเส้นใหม่มีร่างที่น่าสะพรึงกลัวก้าวเดินออกมาอย่างแช่มช้า ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าย่ำลง ฟ้าดินราวกับจะสั่นสะเทือน ประหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นไม่หยุด
“ฮ่าฮ่า!”
สวีจิ้งยิ้มออกมา นางมองไปทางฉินหวายเฟิงอย่างเหยียดหยาม “ฉินหวายเฟิง เจ้าพูดไม่ผิด ข้าไม่เคยเหลือบแลเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจของข้ามีเพียงแต่ท่านพี่จง!”
นางมองไปทางจ้าวจงด้วยความอ่อนโยน “ท่านพี่จง ท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดของข้าเลย สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นคำโกหก ต้องการสร้างความสับสนให้พวกเขา จากนั้นก็เตรียมใช่ประโยชน์จากช่องว่างที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว! ตัวข้านั้นเป็นคนของท่านพี่จงตลอดไป!”
คนที่มานั้นจะต้องน่ากลัวกว่าเซี่ยเหยียนอย่างไม่ต้องสงสัย นางจึงเปลี่ยนท่าทีภายในพริบตา รีบลุกไปอยู่ด้านข้างจ้าวจง
น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน!
ฉินหวายเฟิงขมวดคิ้ว บนโลกนี้มีคนที่ไร้ยางอายถึงขั้นนี้อยู่ได้อย่างไร
เขารู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียนออกมาจริง ๆ