บทที่ 702 นี่มันสง่างามเสียยิ่งกว่ากระบี่เหิน!
เซี่ยเหยียนขมวดคิ้ว รู้สึกรังเกียจไม่ต่างกัน เมื่อครู่สวีจิ้งเพิ่งจะขอร้องอ้อนวอนนางกับฉินหวายเฟิงอย่าง ‘จริงใจ’ แต่เมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็เปลี่ยนท่าทีตามภายในพริบตา คนผู้นี้…ช่างสุดยอดจริง ๆ
ใบหน้าของนางคงหนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมือง
แต่น่าเสียดาย ที่สถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปนั้นเป็นแค่ความคิดของสวีจิ้งเท่านั้น สำหรับเซี่ยเหยียนแล้ว สถาการณ์ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
คนที่มาน่าสะพรึงกลัวแล้วอย่างไร?
คุณชายนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ผู้ใดมาก็ล้วนไม่อาจทำสิ่งใดได้!
“…”
หลี่จิ่วเต้าไร้คำจะเอ่ย คนอย่างสวีจิ้งนั้นไม่มียางอายเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยวาจาเมื่อครู่ของสวีจิ้งเพิ่งจะโยนความผิดทุกอย่างใส่หัวจ้าวจง ดังนั้นแล้วจ้าวจงยังจะสามารถยอมรับสวีจิ้งได้อีกหรือ?
เขารู้สึกว่าสวีจิ้งกำลังทำตัวเป็นนกสองหัว
ทว่าเขาก็ถูก ‘ตบหน้า’ อย่างรวดเร็ว จ้าวจงไม่ได้ถือสาสวีจิ้งแม้แต่น้อย!
“ที่รักของข้า เจ้ากำลังพูดสิ่งใดกัน ข้าไม่เคยสงสัยในตัวเจ้าเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ข้ารู้ว่าภายในใจของเจ้ามีเพียงแต่ข้า”
จ้าวจงมองสวีจิ้งพลางเอ่ยออกมา
เขาไม่ได้ถือสาเลยจริง ๆ สำหรับเขาแล้วสวีจิ้งเป็นเพียงแค่ ‘ของเล่น’ ชิ้นหนึ่ง ไม่สำคัญว่าจะจริงใจหรือไม่ ขอเพียงแค่เล่นด้วยได้ก็พอ
“ขอบคุณท่านพี่จง! ท่านพี่จงดีที่สุดเลย!”
สวีจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
กล่าวตามตรงแล้ว นางเองก็รู้ดีว่าจ้าวจงไม่ได้จริงใจกับนาง แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจอันใดเช่นเดียวกัน
เพราะนางเองก็ไม่ได้จริงใจต่อจ้าวจงแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการใช้งานอีกฝ่าย พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ได้สิ่งที่ต้องการ เท่านี้ก็นับว่าลุล่วงดีแล้ว
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ ช่างสมกับเป็นผีเน่าโลงผุเสียจริง…’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ
จ้าวจงและสวีจิ้งต่างก็จอมปลอมทั้งคู่ ทั้งสองต่างไม่ถือสาสิ่งใด นับว่าไม่ต่างกันมากนัก!
ไม่ต้องกล่าวเลยว่า ภายในใจของฉินหวายเฟิงมีหลากหลายอารมณ์มากเพียงใด
เขาในยามนั้นตาบอดถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน ถึงกับมองสิ่งใดไม่ออกสักนิด ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องยอมช่วยเหลือสวีจิ้งในทุกเรื่อง เขากระทั่งตกหลุมรักสวีจิ้งจากใจจริง!
เมื่อมาย้อนคิดตอนนี้แล้ว ก็อยากจะตีตัวเองยามนั้นให้ตายจริง ๆ
ตามืดบอดเกินไปแล้ว!
“ท่านพี่ หากท่านเลือกคนเช่นนี้มาเป็นพี่สะใภ้ในอนาคตของข้า ข้า…ข้าจะตัดความสัมพันธ์กับท่าน!”
เสี่ยวหยาเอ่ยกับพี่ชายของนางด้วยความโกรธ
นางเองก็รังเกียจสวีจิ้งเช่นเดียวกัน
“เจ้าวางใจได้ หากข้าได้สตรีเช่นนี้จริง เจ้าไม่จำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์ เพราะข้าจะแทงตัวเองให้ตายไปก่อนเลย!”
พี่ชายเสี่ยวหยารู้สึกรังเกียจไม่ต่างกัน นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว เพิ่งรู้ว่ายังมีสตรีเช่นสวีจิ้งอยู่ในใต้หล้านี้
ฟิ้ววว!
แสงสว่างเจิดจ้าพุ่งออกมาจากเส้นทางท่ามกลางความว่างเปล่า ร่างอันน่าสะพรึงกลัวนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ด้านหลังของคนผู้นั้นมีประมุขตระกูลจ้าวและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ตามมาด้วย
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ปกคลุม ฟ้าดินสั่นสะเทือนรุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่ได้เห็น หัวใจของฉินหวายเฟิงก็ถึงกับเต้นระรัว แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ นั่นคือเขาเพียงแค่เกิดความรู้สึกหวาดกลัวภายในใจ ไม่ได้เผชิญกับแรงกดดันแต่อย่างใด
นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
โดยปกติแล้ว ด้วยขอบเขตของเขา แรงกดดันถึงเพียงนี้ เขาไม่อาจทนรับได้เลย จิตวิญญาณจะต้องพังทลายในทันที
ทว่าเขากลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าแรงกดดันนั้นไม่มีอยู่จริง!
เขามองไปทางหลี่จิ่วเต้าที่อยู่ด้านข้าง ก็พบว่าหลี่จิ่วเต้านั้นดูสบายดีเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าท่าทางยังคงสงบนิ่ง ก่อนหน้านี้ที่ได้สนทนากันระหว่างทาง เขาเห็นว่าเซี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ ต่างเคารพหลี่จิ่วเต้าเป็นอย่างมาก นี่ทำให้เขาค่อย ๆ เข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมา ดูเหมือนว่าหลี่จิ่วเต้าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
เหตุผลที่ไม่มีแรงกดดันตกใส่เขา เกรงว่าอาจเป็นเพราะเขาอยู่ด้านข้างหลี่จิ่วเต้า!
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หัวใจของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง
สามารถทำให้แรงกดดันขนาดนี้เสมือนไม่มีอยู่จริงได้ หลี่จิ่วเต้าจะต้องไม่ธรรมดาสามัญ อย่างน้อยก็ไม่แย่ไปกว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังมา
ใช้เวลาเพียงไม่นาน ร่างอันน่าพรั่นพรึงก็ก้าวออกมาจากเส้นทาง ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยขนสีทองเรืองรอง ประหนึ่งมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง มันคือกิเลนเพลิงตัวหนึ่ง หัวเป็นมังกร ร่างเป็นกวาง หางเป็นวัว มีขาเหมือนม้า ขาทั้งสี่ข้างและหางเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีทองโหมกระหน่ำ ดูดุร้ายและน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง!
เพียงแค่มันลืมตาขึ้นมา ก็ราวกับสามารถเห็นเปลวเพลิงกองมหึมากำลังขยับไหวอยู่ภายใน น่าหวาดหวั่นจนไม่อาจจินตนาการถึง ประหนึ่งสามารถเผาดาวบนจักรวาลหมื่นดาราทิ้งไปทีละดวงทีละดวงได้!
“สง่างามนัก!”
เมื่อเห็นกิเลนไฟตนนี้ ดวงตาของหลี่จิ่วเต้าพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที ร้องอุทานออกมาในใจ
หากนำมาเป็นสัตว์ขี่ได้ น่าจะสง่างามเสียยิ่งกว่ากระบี่เหินซะอีก!
เขาเปลี่ยนความคิดในทันที ไม่คิดจะใช้กระบี่เหินอีกต่อไป แต่อยากนั่งกิเลนเพลิงโบยบินไปทั่วท้องนภา!
ทว่าไม่รู้ว่ากิเลนเพลิงตนนี้จะจัดการได้ง่ายหรือไม่!
เขาต้องการที่จะลงมือด้วยตนเอง!
อย่างไรเสียตนก็เป็นผู้อยากได้กิเลนเพลิงมาเป็นสัตว์ขี่ หากไม่สามารถสยบกิเลนเพลิงได้ด้วยตนเอง เขาก็คงไม่อาจจะขี่มันอย่างมั่นคงได้
‘ไม่เป็นไร ข้าแค่ขอลองดูก่อน อย่างไรเสียเซี่ยเหยียนก็อยู่ที่นี่’
หลี่จิ่วเต้าคิดขึ้นมาในใจ มีเซี่ยเหยียนอยู่เบื้องหลัง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลหรือหวาดเกรงสิ่งใด
แม้กิเลนเพลิงจะดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง แต่เห็นสีหน้าของเซี่ยเหยียนที่ไม่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด ยังคงสงบและผ่อนคลายเช่นเดียวกัน แสดงว่านางจะต้องมีวิธีจัดการกับกิเลนเพลิงตัวนี้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ลังเลอีก หันไปเอ่ยกับเซี่ยเหยียนว่า “เซี่ยเหยียน เจ้ากลับมา ข้าจะไปเอง”
คุณชายจะลงมือเองอย่างนั้นหรือ?
เซี่ยเหยียนตกตะลึงระคนประหลาดใจ นางไม่คิดว่ากิเลนเพลิงจะมีพลังมากพอที่จะเป็นคู่มือของคุณชาย แม้ว่ามันจะสามารถสร้างแรงกดดันอย่างมากให้นางได้ก็ตาม
หากใช้พลังทั้งหมดออกมา รวมทั้งเรียกคันศรที่คุณชายมอบให้ นางก็มั่นใจว่าตนเองจะสามารถจัดการกิเลนเพลิงลงได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ต่อให้ล้มเหลวขึ้นมา นางก็ย่อมไม่เป็นอันใด ในเมื่อตรงนี้ยังมีลั่วสุ่ยยืนอยู่อีกคน
ขอเพียงลั่วสุ่ยร่ายมวยไทเก๊กจบชุดหนึ่ง แม้กิเลนเพลิงจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องถูกสยบลงในที่สุด
แรงกดดันของกิเลนเพลิงนั้นยังด้อยกว่าลู่อู๋ ซ้ำยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ ลั่วสุ่ยสามารถลงมือสยบกิเลนเพลิงได้โดยไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
การที่คุณชายต้องการลงมือเองก็คงเพราะถูกใจกิเลนเพลิงตัวนี้
นางแย้มยิ้มแล้วตอบกลับทันทีว่า “รับทราบแล้วคุณชาย”
หลังจากนั้นนางก็ถอยกลับไป
เมื่อเห็นรอยยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้าเซี่ยเหยียน หลี่จิ่วเต้าก็รู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น
นี่แสดงให้เห็นว่ากิเลนเพลิงไม่อาจทำสิ่งใดได้ แม้กระทั่งตัวเขาก็สามารถปราบปรามมันลงได้ ไม่เช่นนั้นเซี่ยเหยียนจะยิ้มเช่นนี้ได้อย่างไร
เซี่ยเหยียนไม่มีทางขุดหลุมใส่เขาแน่นอน
ชายหนุ่มเดินไปเบื้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เอ่ยออกมาระหว่างมองไปทางกิเลนเพลิง “มาเถิด คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า ข้าจะบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าถูกใจเจ้า หากเจ้าแพ้ ก็จงมาเป็นสัตว์ขี่ให้ข้าอย่างว่าง่ายเสียเถิด วางใจได้ หากเป็นสัตว์ขี่ของข้าแล้ว ข้าย่อมไม่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างไม่เลวร้าย จะดีกับเจ้าเป็นอย่างมาก”
หลังจากที่กิเลนเพลิงได้ยินคำพูดของหลี่จิ่วเต้าแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างพลันเต็มไปด้วยโทสะเดือดพล่าน จิตสังหารล้นทะลักออกมาจากร่างของมัน ฟ้าดินถึงกับเปลี่ยนสีกลายเป็นดำสนิทอย่างถึงที่สุด!
พูดบ้าอันใด!?
มันเพิ่งได้ยินสิ่งใดกัน?
หลี่จิ่วเต้าบอกว่าต้องการมันไปเป็นสัตว์ขี่!
ตัวตนของมันคืออะไร กระทั่งในแดนบรรพโกลาหลยังไม่มีผู้ใดกล้าพูดกับมันเช่นนี้
แน่นอนว่า ตัวมันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งอันใดมากมายในแดนบรรพโกลาหล
ทว่าเบื้องหลังของมันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งในแดนบรรพโกลาหลยังไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุมันโดยง่าย!
มันมาจากเผ่ากิเลน หนึ่งในเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดของแดนบรรพโกลาหล ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนบรรพโกลาหลมาโดยตลอด แข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้!
สายเลือดของมันสะท้านฟ้าอย่างถึงที่สุด เพียงแต่มันยังไม่โตเต็มวัย ไม่เช่นนั้นคงไม่อ่อนแอถึงเพียงนี้
เมื่อโตเต็มวัยแล้ว มันจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือในแดนบรรพโกลาหลได้อย่างแน่นอน มีสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิดที่สามารถต่อกรกับมันได้!
ใช่แล้ว มันเองก็ร่วงหล่นออกมาจากแดนบรรพโกลาหล
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดินแดนบรรพโกลาหลไม่เสถียรเป็นอย่างยิ่ง ทำให้รอยร้าวมักจะปรากฏขึ้นมาอย่างไร้สัญญาณบอก มันจึงเผลอตกลงมายังอาณาจักรแห่งนี้ผ่านรอยร้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากตกลงมายังอาณาจักรแห่งนี้แล้ว มันก็ต้องการจะกลับไป ทว่ากลับหารอยร้าวเหล่านั้นไม่พบเสียแล้ว จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอยู่ต่อ
มันได้พบกับดินแดนของตระกูลจ้าวโดยบังเอิญ และสัมผัสได้ว่าดินแดนของตระกูลจ้าวนั้นไม่เลวเลย แข็งแกร่งยิ่งกว่าสถานที่แห่งอื่นที่มันผ่านมา ดังนั้นมันจึงลงหลักปักฐานในตระกูลจ้าว
หากเซี่ยเหยียนไม่ได้เปิดเส้นทางเข้าไปยังดินแดนของตระกูลจ้าว มันก็คงไม่ออกมาเช่นนี้ แต่ยังคงฝึกฝนต่อไปด้านในดินแดนตระกูลจ้าว
“เห็นเช่นนี้แล้ว ความจริงข้าเองก็แข็งแกร่งมากนะ”
หลี่จิ่วเต้าเห็นกิเลนเพลิงไม่พูดไม่จาอันใด แต่บนร่างเปี่ยมด้วยจิตสังหารมากกว่าเดิม ทำให้เขาคิดว่ากิเลนเพลิงกำลังดูหมิ่นเขา เพราะเห็นเขาเป็นเพียงแค่ปุถุชนทั่วไป
ก็จริงที่เขาเป็นปุถุชน
แต่ในมือของเขายังมีสมบัติอยู่หลายชิ้น เขาเคยใช้งานสมบัติเหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง สมบัติเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทรงพลังจริง ๆ กระทั่งเขาที่เป็นปุถุชนยังสามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากออกมาได้
“แข็งแกร่งมาก? แข็งแกร่งมากเพียงใดกัน!?”
กิเลนเพลิงหัวเราะออกมา สิ่งมีชีวิตนอกแดนบรรพโกลาหลถึงกับกล้าบอกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากเชียวหรือ?
น่าขันนัก!
แดนบรรพโกลาหลเป็นแกนกลางโกลาหล นับเป็นสถานที่ที่ทรงพลังมากที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก กระทั่งอาณาจักรนับหมื่น ชีวิตนับไม่ถ้วน ล้วนวิวัฒน์ขึ้นจากแดนบรรพโกลาหล!
ความต่างชั้นที่มีนั้นห่างไกลจนไม่อาจกล่าวถึง!
มีเพียงแค่สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเท่านั้นที่สามารถนับว่าแข็งแกร่งต่อหน้ามันได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรภายนอกเหล่านี้ แม้จะแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเอ่ยว่าตนเองแข็งแกร่งต่อหน้ามัน!
“แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ!”
หลี่จิ่วเต้ามองไปทางกิเลนเพลิงด้วยสายตาจริงจัง “อย่ามองว่าข้าเป็นเพียงปุถุชน ตัวข้านั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!”
ปุถุชน?
นี่มันบ้าอันใดกัน!
หากหลี่จิ่วเต้าเป็นปุถุชนอะไรนั่นตามที่พูดจริง จะมายืนกำเริบเสิบสานเพียงนี้ต่อหน้ามันได้อย่างไร?
หากเป็นปุถุชนจริง เกรงว่าคงจะตื่นตกใจจนวิญญาณพังทลายไปนานแล้ว!
หลี่จิ่วเต้ากำลังแสร้งทำตัวเป็นหมาป่าหางโตต่อหน้ามัน?
มันหัวเราะออกมาด้วยความเย้ยหยันอีกครั้ง จิตสังหารพุ่งทะยานฟ้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้ามาล้อเล่นกับมันเช่นนี้ ถึงกับกล้าแสร้งวางท่าต่อหน้ามัน!
ปุถุชน?
คุณชายหลี่ผู้นี้ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง!
ฉินหวายเฟิงยิ้มเจื่อน เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นปุถุชน
“เจ้าไม่เชื่อหรือว่าข้าแข็งแกร่งมาก?”
หลี่จิ่วเต้ามองไปทางกิเลนเพลิง “ปุถุชนเองก็สามารถแข็งแกร่งได้!”
“ข้ายังไม่ลงมือก็เพราะอยากจะดูว่ากบในบ่อน้ำอย่างเจ้าจะสามารถกระโดดได้สูงสักเท่าไหร่ ช่างน่าสมเพช กบในบ่ออย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่กบในบ่อ ถึงกับอวดโอ้ได้มากกว่าที่ข้าคิด!”
กิเลนเพลิงหัวเราะออกมาอย่างเหยีดหยาม “แข็งแกร่งมากอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ให้ข้าดูเสียว่าเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียว! หากข้าจามเพียงแค่ครั้งเดียวเจ้าก็ตายเรียบร้อย ข้าคงจะเบื่อเป็นอย่างมาก!”
แม้ว่ามันจะยังโตไม่เต็มวัย ความแข็งแกร่งเองก็อยู่ระดับปานกลางของแดนบรรพโกลาหล ทว่ามันก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถกำราบศัตรูทั้งหมดที่อยู่ภายนอกได้!
พลังที่อยู่ในแกนกลางโกลาหลและภายนอกนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เกรงว่าถึงแม้มันจะต้องสู้ข้ามขั้นก็ย่อมไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ไม่กดดันแม้แต่น้อย!
“รักษาท่าทางเอาไว้ให้ดี ให้ข้าได้เล่นสนุกเสีย!”
มันมองไปทางหลี่จิ่วเต้าด้วยความเหยียดหยาม