บทที่ 36 การแสดงนิทรรศการ
นี้เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของพวกคนในเมืองจริงๆ และมันก็ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนในเมืองต่างก็มีชีวิตที่เร่งรีบแบบนี้
โจวหยูยังไม่ได้รับเงินส่วนแบ่งสำหรับเกมหมู่บ้านสงครามของลู่หัวเลย แต่อีกฝ่ายกับกระตุ้นให้เขารีบทำเกมต่อไปแล้ว
แต่นี้กับเป็นต้นจุดประเด็นใหม่ๆสำหรับเกมต่อไปของเขาขึ้นมาได้ และเขาคิดว่าเกมนี้เองก็น่าจะสามารถทำเงินให้เขาได้เช่นกัน
‘สงครามพุดดิ้งถั่วเหลือง’
โจวหยูได้วางพล็อตเรื่องเอาไว้คราวๆว่า มันจะเป็นการสงครามระหว่างเผ่ารสหวานและเผ่ารสเค็ม ซึ่งนี้ทำให้ตัวเกมน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
และตอนนี้เขาเองก็มีความคิดเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเกมพอควรแล้ว แต่ยังไงก็ตามมันก็ยังติดปัญหาบางอย่างขึ้นอีกครั้ง นั้นก็คือเขาไม่รู้ว่าจะกำหนดตัวละครในเกมเอาไว้ในรูปแบบมนุษย์หรือพุดดิ้งถั่วเหลืองดี ในจะเป็นฉากของสงครามเอง เขาก็ไม่แน่ว่าจะไปเน้นหนักในสงครามโหมดไหน ระหว่างการต่อสู้กันตามปกติหรือการต่อสู้ด้วยยานพาหนะทางทหารกัน? และตัวเกมควรเป็นเกมสำหรับผู้เล่นคนเดียวหรือเกมที่มีผู้เล่นหลายคนดี?
สำหรับโจวหยูผู้ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการผลิตเกมและความนิยมของผู้เล่นในตอนนี้เลย นั้นจึงทำให้ปัญหาที่ทีมอื่นนั้นสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นอะไรที่ยากเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีข้อได้เปรียบที่เหนือชั้นอยู่ นั้นคือเขาสามารถลองผลิตเกมระดับหนึ่งพวกนี้ออกมาเล่นก่อนได้ ทั้งหมดที่เขาจำเป็นต้องใช้ก็มีแค่ค่าใช้จ่ายเหรียญโมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้นตั้งแต่นี้ต่อไปทุกสัปดาห์จะมีเกมสงครามพุดดิ้งถั่วเหลืองเกิดขึ้นมาตลอดเวลา …
……………………
ไม่กี่วันก่อนวันชาติ กลุ่มนักเรียนประถมที่นำโดยครูหูได้มาที่บ้านของโจวหยูอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาเล่นของเล่นหรือดูอนิเมชั่นกลางแจ้งแต่อย่างใด ที่พวกเขามาในครั้งนี้ก็เพราะพวกเขาจะมานำโมเดลที่โจวหยูทำขึ้นมานั้นกลับไปที่โรงเรียนเพื่อจัดแสดงนิทรรศการทางทหารขึ้น
แค่เรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้เพียงลำเดียว มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้เด็กนักเรียนถึงสี่คนถึงจะยกมันขึ้นมาได้
หลังจากที่โมเดลเหล่านั้นได้ถูกนำไปวางเอาไว้ตามจุดต่างๆแล้ว มันก็ถึงเวลาที่จะทำการติดป้ายอาวุธแต่ละอันด้วยชื่อและข้อมูลพื้นฐาน อย่างไรก็ตามเมื่อโจวหยูเห็นแผ่นป้ายที่แขวนอยู่เหนือห้องจัดนิทรรศการนี้โดยเฉพาะ เขาถึงกับต้องการหนีออกไปทันที
มันเขียนเอาไว้ว่า “ นิทรรศการทหารโรงเรียนประถมลู่หัว” และก็มีตัวหนังสือเล็กตรงด้านล่างอีกว่า “ นิทรรศการศิลปะของหมู่บ้านลู่หัว จัดทำโดยโจวหยู”
‘จัดทำโดยฉัน?’ ไอ …… จากนั้นครูหูก็จงใจบอกโจวหยูอย่างจงใจว่าในงานเปิดตัวครั้งนี้ อาจจะมีนักข่าวมาที่โรงเรียนเพื่อสัมภาษณ์นิทรรศการจากในตัวเมืองพรุ่งนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นการดีกว่าที่เขาจะสวมเสื้อผ้าที่เป็นทางการและไม่แต่งตัวแบบกางเกงชายหาดแบบทุกวัน
โจวหยูที่ได้ฟังแบบนั้นก็ทำเพียงจึงพยักหน้ตอบรับาอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันเขาก็ตัดสินใจอย่างลับๆแล้วว่าเขาจะไม่มีทางที่มาที่โรงเรียนในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน
ในที่สุดโจวเฮาก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของกลุ่มเด็กนักเรียนทั้งหมดให้เป็นผู้บรรยายในครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับของเล่นเหล่านี้เป็นอย่างมาก พวกเขาได้เล่นกับของเล่นเหล่านั้นเกือบทุกวัน และหลังจากที่พวกเขาได้รับอนุญาตจากโจวหยู พวกเขาก็ได้ถอดชิ้นส่วนของเล่นและประกอบใหม่อีกครั้ง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพวกเขารู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับของเล่นเหล่านี้เป็นอย่างดี
เมื่อวันแรกของการจัดนิทรรศการสิ้นสุดลง เจ้าหนูน้อยโจวเฮาก็มาหาโจวหยูทันทีหลังจากเลิกเรียน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขายังได้บอกเกี่ยวกับการแสดงที่ ‘ยอดเยี่ยม’ ของเขาตลอดเวลา
“ พี่ชายหยู! ทำไมวันนี้พี่ถึงไม่มาโรงเรียนล่ะ? มีคนมากมายในโรงเรียนในวันนี้!… หลังจากที่นักเรียนคนอื่นเห็นแบบโมเดลพวกนี้แล้วก็ตกใจกันใหญ่เลย ขนาดพวกผู้ใหญ่ยังตกใจเมื่อเห็นเรือเครื่องบินของผม!”
ในตอนนี้เจ้าเด็กโจวเฮานั้นตื่นเต้นจึงไม่สามารถหยุดพูดได้ โจวหยูทำได้เพียงเสแสร้งว่ากำลังฟังอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เขาได้ตกปลาบนฝั่งแม่น้ำ และก็เกิดความคิดที่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่กลัวว่าในวันพรุ่งนี้ตัวเองจะมีเสียงแหบแห้งหรือไง?
อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือว่าสรรค์ดลใจ เพราะในวันพรุ่งนี้เจ้าเด็กน้อยโจวเฮาได้ถูกถอดออกจากตำแหน่งผู้บรรยายของเขา เหตุผลก็คือเสียงของเขาแหบห้าวจนไม่มีใครได้ยินเขาพูดได้เลย ในท้ายที่สุดเจ้าหนูตัวน้อยที่น่าสงสารก็ได้เป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้านข้างเท่านั้น
นี่อาจจะเรียกได้ว่า“ ความสุขยิ่งใหญ่ที่สร้างความเสียใจอย่างแท้จริง”
………………………
ในช่วงวันหยุดประจำชาติ ลูหยวนไม่ได้พักในมหาวิทยาลัยหรือไปท่องเที่ยวกับเพื่อนๆของเธอ เธอเลือกที่จะกลับบ้านแทน โดยปกติเมื่อในช่วงปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัย นักเรียนปีสุดท้ายจำเป็นจะต้องเริ่มหางาน อย่างไรก็ตามเธอได้รับข้อเสนอจากบริษัทแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการหางานอีกต่อไป
เมื่อเธอกลับถึงบ้าน เธอแปลกใจที่เห็นว่าหลานสาวของเธอกำลังร้องไห้อยู่บนพื้นดิน และไม่ว่าป้าสะใภ้พยายามพูดปลอดใจอะไรออกมา เธอก็ไม่ได้สนใจเลย กลับกันมันกับทำให้เธอร้องไห้ดังขึ้น ดังขึ้นทุกๆ วินาที
“ ลิลี่น้อย! มันเกิดอะไรขึ้นกับหลานกัน? หรือว่าจะมีคนรักแกหนู? หนูสามารถบอกน้าสาวได้ เดียวน้าจะไปตีก้นเด็กที่รังแกหนูให้เอง!”
เมื่อเห็นน้าของเธอกลับมา ลิลี่ตัวน้อยก็รีบลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว แล้วรีบวิ่งไปหาลูหยวนทันที “ ฮือ! แม่ไม่ยอมพาหนูไปดูหนังในวันนี้” เธอได้อธิบายสาเหตุที่ทำให้เธอร้องไห้ออกมาทันที
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลานสาวตัวนี้พูดถึงแล้ว มันก็ทำให้ลูหยวนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติแล้วพี่ชายและพี่สะใภ้จะดูแลลูกๆของพวกเขาเป็นอย่างดี
แต่ทำไมครั้งนี้พวกเขาถึงไม่พาลูกไปโรงหนังกัน? นอกจากนี้การไปยังเมืองยังเป็นเรื่องสะดวกสบายมากขึ้น มีรถโดยสารอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกเขาและมันสามารถนำไปสู่เมืองตลอดเวลา
มันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ที่พี่สะใภ้ของเธอได้อธิบายอย่างช่วยไม่ได้“ หยวนหยวน! ในที่สุดเธอก็กลับมา มันไม่ใช่โรงภาพยนตร์ในเมืองที่ลิลี่อยากไป แต่เธอต้องการไปดูหนังกลางแจ้งในหมู่บ้านลู่หัวตั้งหาก แต่ตัวหนังมันจะฉายเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น พี่จึงกังวลเรื่องความปลอดภัยของเธอ”
หมู่บ้านที่เธออยู่นั้นค่อนข้างไกลจากหมู่บ้านลู่หัวมากพอสมควร อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีพวกเด็กๆในหมู่บ้าน ของเธอเดินทางไปโรงเรียนประถมลู่หัวทุกวัน
ในช่วงเวลานั้นเองที่ลิลี่มักจะได้ยินเพื่อนของเธอพูดว่ามีการฉายการ์ตูนอนิเมชั่นในบ้านของพี่ชายใจดีคนหนึ่งที่จะเปิดให้พวกเธอดูทุกวันเสาร์ ในช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกอยากจะไปเสมอมา แต่มันติดที่ว่าหมู่บ้านของเธอนั้นอยู่ใกล้จากบ้านลู่หัวมากเกินไป
แต่ในตอนนี้เธอมีวันหยุดยาวถึง 6 วัน มันทำให้เธอมีความสุขมาก เพราะในที่สุดเธอก็จะสามารถไปดูอนิเมชั่นในบ้านของพี่ชายหยูได้แล้ว
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเธอจะขอร้องให้แม่พาเธอยังไง ต่อให้ร้องไห้เสียงดังยังไงแม่ของเธอก็ไม่ยอมพาเธอไปที่นั้น
‘โรงหนังกลางแจ้ง?’ ลูหยวนรู้สึกถึงความคิดถึงเก่าขึ้นมา เพราะเธอจำได้รางๆว่าตัวเธอเองก็เคยไปโรงหนังกลางแจ้งสองสามครั้งเมื่อเธอยังเด็กมาก และทุกครั้งก็มักเป็นคุณยายของเธอที่พาเธอกลับบ้านในขณะที่เธอหลับอยู่ อย่าไปพูดเลยว่าเธอจำหนังที่เธอดูได้ไหม เพราะเธอลืมมันไปแล้ว
เธอคิดมาตลอดว่าโรงหนังกลางแจ้งแบบนี้มันได้สูญหายไปแล้ว แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนทำเช่นนี้อยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆแบบนี้
ดังนั้นเธอจึงได้บอกกับลิลี่ว่าเธอจะพาไปดูหนังเอง นี่ทำให้ลิลี่น้อยมีความสุขมากทันที เธอถึงกับรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าของเธอยังสกปรกอยู่ และรีบทำการบ้านอย่างรวดเร็ว
นี่ทำให้ลูหยวนสับสนมาก ‘ทำไมหลานสาวของฉันกำลังทำการบ้านในขณะที่กำลังจะไปดูหนังกัน? นี้เป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆเหรอ?’
“ เสี่ยวไห่บอกว่าการบ้านเป็นตั๋วเข้าชม ถ้าหนูไม่ทำพี่ชายหยูจะไม่ยอมให้หนูเข้าไป ดังนั้นหนูต้องรีบทำการบ้านให้เสร็จ”
‘อะไรนะ! … การบ้านเป็นตั๋วเข้าดู พี่ชายคนนั้นต้องเป็นอาจารย์แน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ออกอุบายเขี้ยวลากดินแบบนี้ การใช้การ์ตูนเพื่อหลอกลวงเด็กๆทำการบ้านเหรอ?’
นี้มันยิ่งเพิ่มความอยากรู้เริ่มมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานเธอพาหลานสาวตัวน้อยของเธอไปยังหมู่บ้านลู่หัวด้วยมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ระหว่างทางเธอก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้อขนมติดไม้ติดมือมาด้วย หากไม่มีของว่างกินระหว่างดูมันจะเรียกว่าการดูภาพยนตร์ได้อย่างไร
การขี่มอเตอร์ไซค์นั้นใช้เวลาไม่นานก่อนที่พวกเธอจะไปถึงบ้านของโจวหยู หลังจากขี่หลงทางไม่กี่รอบในหมู่บ้านลู่หัว ในที่สุดพวกเธอก็ได้มาถึงบ้านไม้เก่าๆที่มีสนามหญ้าขนาดใหญ่
ใต้แสงไฟในสนามหญ้าหน้าบ้าน พวกเธอจะเห็นได้ว่ามีเด็กหลายคนคุยกันระหว่างรอภาพยนตร์เริ่มขึ้น และไม่ไกลมากนักก็มีผู้ใหญ่บางคนที่มีใบหน้าที่ไร้หนทางนั่งอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีพ่อแม่บางคนที่ถูกบังคับให้มาที่นี่ด้วยเหมือนกัน
มีเด็กสองสามคนนั่งที่ประตูเพื่อคอยตรวจสอบการบ้านของเด็กคนอื่นๆ เช่นผู้ขายตั๋ว ผู้ใหญ่นั้นสามารถเข้าไปในสนามได้อย่างอิสระ แต่เด็กทุกคนจะต้องมอบ ‘ตั๋ว’ ซึ่งตรงข้ามกับโรงภาพยนตร์อื่นๆก่อน
หลังจากส่งตั๋วไปแล้วยังพนักงานตรวจตั๋วแล้ว ลิลี่ก็ได้ผ่านการตรวจสอบทันที และนั้นทำให้เธอยิ้มออกมาได้ในที่สุด เธอได้เดินไปมือของน้าสาวอย่างมีความสุขและเดินเข้าไปในสนาม อย่างไรก็ตามหลังจากที่เธอได้เห็นเพื่อนๆของเธอ เธอก็ละทิ้งน้าของเธอโดยไม่ลังเล เธอได้รีบวิ่งตรงไปยังจุดที่ถูกสงวนไว้สำหรับเธอและเริ่มพูดคุยกับเพื่อนของเธอ
ลูหยวนที่เห็นแบบนั้นก็เกือบจะร้องไห้ออกมา เธอไม่คิดว่าหลานสาวตัวน้อยของเธอจะทิ้งเธอได้ลงคอ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านจะได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้เช่นกัน เขาได้เตรียมเก้าอี้พลาสติกจำนวนหนึ่งเอาไว้ในสนาม ซึ่งสามารถใช้ได้ตลอดเวลา เมื่อพบสถานที่ที่จะนั่งเธอก็มองสภาพแวดล้อมโดยรอบ มีกระถางต้นไม้อยู่ใกล้กำแพง ดูเหมือนว่าสถานที่นี้จะเป็นที่ผู้สูงอายุอาศัยอยู่
‘ไอ! ที่แท้ก็เป็นชายชราผู้โดดเดี่ยวนี้เอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะเอาการ์ตูนมาให้พวกเด็กๆดูแบบนี้! ‘ ลูหยวนได้เกิดความคิดผิดๆขึ้นมา
แต่เมื่อเธอกำลังคิดว่าความคิดของเธอนั้นถูกต้อง ก็ได้ปรากฏผู้ชายที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยในชุดเสื้อยืดและกางเกงชายหาด เดินออกจากบ้าน พวกเด็กๆที่เห็นแบบนั้นต่างก็ส่งเสียงเชียร์ขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้เป็นเจ้าภาพของโรงหนังกลางแจ้งแห่งนี้
‘ยังไงก็ตามทำไมเขาถึงยังดูเด็กแบบนี้?’