ลูกพยัคฆ์เมฆาที่ได้เฟยหลงตั้งชื่อให้เงยหน้ามองเฟยหลงในตาประกายเหมือนกับจะบอกว่า
‘ เสี่ยวไป๋คือไรกินได้ไหม ‘
เฟยหลงที่ได้เห็นท่าทีของเสี่ยวไป๋ก็ไม่รู้จะสอนเจ้าตัวน้อยนี้ยังไง
” ข้าหมายถึงชื่อเจ้าเข้าใจไหม ”
แต่รอบนี้มันเหมือนไม่ได้ทำหน้าตาแบบรอบก่อนซึ่งเฟยหลงคิดว่ามันน่าจะเข้าใจ
เฟยหลงได้ใช้พลังปราณของตนตรวจสอบเสี่ยวไป๋ซึ่งเมื่อตรวจสอบไปได้สักพักก็ต้องทำหน้าแปลกใจเพราะว่าเสี่ยวไป๋ที่ดูเหมือนลูกพยัคฆ์เมฆาธรรมดากลับมีสายเลือดของพยัคฆ์ขาวซึ่งเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์
ถึงแม้สายเลือดมันจะเบาบางแต่ถ้าเสี่ยวไป๋มีโชคและวาสนาพอคงจะกระตุ้นสายเลือดและเพิ่ความบริสุทธิ์ของสายเลือดก็มีโอกาศกลายเป็นพยัคฆ์ขาวซึ่งยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าอสูรสายพันธุ์พยัคฆ์ทั้งหมด
หลังจากการคิดเรื่อยเปื่อยเฟยหลงก็คิดว่า
” เสี่ยวไป๋เจ้านี้มันไม่เหมือนพยัคฆ์เลยรูปร่างเหมือนแมวขนสีขาวมากกว่า ”
เฟยหลงก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเสี่ยวไป๋เติบโตขึ้นจะเป็นยังไง
ระหว่างทางที่เฟยหลงเดินมาได้เก็บผลไม้ป่าต่างๆมาทานและตอนนั้เองที่พุ่มไม้ตรงหน้าเฟยหลงสั่นไหวและมีกระทิงตัวหนึ่งที่ทั้งตัวเป็นสีแดงและมีเขาคู่หนึ่งที่น่าหวาดกลัวอยู่บนศีรษะ
เฟยหลงได้วางเสี่ยวไป๋ลงและบอกให้มันไปหลบอยู่ห่างจากแถวนี้ก่อนเฟยหลงได้มองกระทิงซึ่งกำลังมองมาทางตัวเขานั้นคือสัตวฺอสูรกระทิงสัตว์อสูรที่ซึ่งมีขอบเขตก่อกำเนิดขั้น3เท่านั้น
สัตว์อสูรกระทิงได้พุ่งเข้าโจมตีเฟยหลงอย่างรวดเร็วด้วยการพุ่งชนและแทงศัตรูของมันด้วยเขาคู่บนศีรษะที่น่าหวาดกลัว
แต่เฟยหลงก็ได้หลบการโจมตีของสัตว์อสูรกระทิงตัวนี้ได้อย่างง่ายดายซึ่งเฟยหลงได้ใช้หมัดของตนต่อบบริเวณลำตัวของมัน
ซึ่งทำให้สัตว์อสูรกระทิงได้รับบาดเจ็บและเสียหลักจากการโจมตีนี้และไม่สามารถตอบโต้เฟยหลงได้
เมื่อกระทิงแดงตั้งตัวได้ก็พุ่งเข้าชนเฟยหลงอีกรอบแต่เฟยหลงไม่หลบการโจมตีนี้จนกระทั้งการโจมตีนี้มาถึงตรงหน้าเขาแต่ด้วยประสบการณ์และความทรงจำตอนเป็นเซียน
ทำให้เฟยหลงเบี่ยงตัวตอนจังหสะสุดท้ายและหลบการโจมตีของสัตว์อสูรกระทิงได้และรวบรวมปราณไว้บนหมัดต่อยไปที่หน้าท้องของมันทำให้สัตว์อสูรกระทิงตนนี้โดนการโจมตีที่จุดอ่อน
และอาศัยจังหวะนั้นโจมตีโดยใช้มือทั้งสองข้างทุบไปที่ศรีษะของสัตว์อสูรกระทิงแล้วทำให้สัตว์อสูรกระทิงล้มลงและประกายชีวิตในดวงตาของมันค่อยดับลง
เมื่อหันกลับมาเจอกับเสี่ยวไป๋ที่นั้งหลบอยู่หลังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากการต่อสู้ด้วยดวงตาสีดำเปร่งประกายและมองดูสัตว์อสูรกระทิงที่ล้มลง
เฟยหลงหลงเห็นการแสดงท่าทางของเสี่ยวไป๋แบบนั้นแล้วอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
” ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าเสี่ยวไป๋มันไม่ได้ห่วงข้าเลยจริงๆแต่มันอยากกินเนื้อกระทิงแดงมากกว่า ”
เมื่อพูดจบเฟยหลงก็ได้ใช้พลังปราณหุ้มมือและเก็บแก่นอสูรของสัตว์อสูรกระทิงมา
แก่นมีลักษณะเหมือนผลึกแก้วสีแดงหม่นและมีพลังปราณที่อยู่ข้างใน
แม้มนุษย์ธรรมดาจะไม่สามารถดูดซับแก่นอสูรถ้าไม่ผ่านการสกัดด้วยวิธีบางอย่างหรือนำไปปรุงยาได้แต่ไม่ใช่กับเฟยหลง
เพราะในทักษะเทพจักรพรรดิสงครามสามารถกลั่นกรองแก่นอสูรให้บริสุทธิ์และสามารถดูดซับได้
ซึ่งมีบันทึกทักทักษะไว้จนเฟยหลงก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วอดชมเชยทักษะนี้ไม่ได้
” เฮ้อ….เป็นทักษะที่แปลกประหลาดและทรงพลังโดยแท้จริงใครกันที่เป็นคนสร้างทักษะนี้ที่น่าอัศจรรย์ขึ้นมาแล้วตัวเขาจะมีพลังขนาดไหนกันนะ”
เมื่อเห็นสายตาของเสี่ยวไป๋ที่ยังต้องการกินอยู่เฟยหลงจึงได้นำเนื้อของสัตว์อสูรกระทิงตัวนี้ออกมาและเริ่มอย่่างด้วยไฟ
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเนื้อของสัตว์อสูรกระทิงเริ่มสุกและส่งกลิ่นหอมน่ากินเมื่อเฟยหลงหันไปมองก็เจอกับสายตาคาดหวังของเสี่ยวไป๋ที่มองเนื้อชิ้นนั้น
” ถ้าเจ้าต้องการก็เอาไปสิ ”
เฟยหลงได้ยื่นเนื้อให้เสี่ยวไป๋กินเมื่อเห็นเนื้อย่างเสี่ยวไปไม่รอช้ากินด้วยความเร็วเหมือนมีใครจะเเย่งเนื้อของมันไป
เฟยหลงที่เห็นเเสี่ยวไป๋เป็นอย่างนี้ก็เลยลูบหัวมัน
” ต่อจากนี้เจ้ากับข้าคงเจอเรื่องลำบากไม่มากก็น้อยนะเสี่ยวไป๋ ”
หนึ่งมนุษย์และหนึ่งสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่กำลังนั่งทานเนื้อกันอยู่ในป่านั้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะกลายเป็นตำนานของโลกใบนี้