ผู้อาวุโสตระกูลหยางมีอายุมากแล้วเเต่ไม่เคยเห็นใครที่หน้าด้านขนาดเฟยหลงที่กว่าวเชื้อเชิญเหมืินว่าตระกูลของเขานั้นเป็นของเฟยหลง
เเต่ชายชราทั้งสามกลับไม่สนใจรายละเอียดตรงนั้นและเข้ามานั่งตามที่เฟยหลงกล่าวเชิญแล้วยังเลือกที่นั่งตามสบายเเบบที่เฟยหลงกล่าว
ส่วนเฟยหลงนั้นได้ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ตรงกลางห้องโถงซึ่งเป็นที่สำหรับผู้นำตระกูลหยางเท่านั้นแล้วกล่าวว่า
” เอาละในเมื่อพวกท่านมีที่นั่งกันเรียบร้อยแล้วก็มาเริ่มการเจรจาต่อรองครั้งนี้กันเถอะ ”
ผู้อาวุโสตระกูลหยางที่ไม่อยากนั่งไกล้เฟยหลงและชายชราอีกสามคนจึงไม่รู้ว่าตัวเขานั้นควรนั่งไหน
เหยหลงที่เห็นดังนั้นจึงกล่าวถามผู้อาวุโสตระกูลกยาง
” ทำไมเจ้าไม่หาที่นั่งละจะยืนอยู่ทำไมเดี๋ยวมีใครรู้เข้าคงหาว่าข้ากลั่นเเกล้งชายชรา ”
ผู้อาวุโสตระกูลหยางที่ได้ยินคำกล่าวและสีหน้านั้นของเฟยหลงนั้นเหมืินเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่งไม่เอารัดเอาเปรียบชายชราอย่างเขา
จึงได้เเต่เก็บความเดือดดาลเอาไว้ในใจของตนแล้วตัดสินใจกล่าวออกมาว่า
” ข้าจะยืนส่วนพวกเจ้านั่งไปเถอะ ”
เหยหลงที่ได้ยินผู้อาวุโสตระกูลหยางกล่าวดังนั้นจึงเริ่มกล่าวเข้าเรื่อง
” เอาละเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า ”
เฟนหลงได้มช้นิ้วมือชี้ไปทางผู้อ่วุโสตระกูลหยางแล้วกล่าว
” ท่านใส่ความข้าว่าเป็นคนที่สังหารหนางโจและหยางเทียนทั้งสองคนโดยที่ท่านไม่สามารถตับผู้กระทำที่เเท้จริงได้จึงหาโอกาศใส่ความเด็กหนุ่มที่เเสนดีอย่างข้า ”
เมื่อผู้อาวุโสตระกูลหยางและชายชราทั้งสามกำลังยกถ้วยชามาดื่มอยู่นั้นก็ได้สำลักทันทีเมื่อเฟยหลงว่าเด็กหนุ่มที่เเสนดี
‘ พรวด พรวด พรวด ‘
โดยที่ชายชราทั้งหมดที่อยู่ในห้องรวมทั้งผู้อาวุโสตระกูลหยางก็ได้จัดระเบียบตนเองและกลับสู่ความน่าเกรงขามดังเดิม
โดยที่ต่างฝ่ายต่างทำเป็นไมรู้ไม่เห็นว่าเมื่อกี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
เฟยหลงที่เห็นเหตุการณ์นั้นได้รอชายชราทั้งสามและผู้อาวุโสตระกูลหยางกลับเข้าท่าท่างเดิมให้เรียบร้อบเเละกล่าวต่อไป
” ข้าที่โดใส่ร้ายป้ายสีทั้งที่ตัวข้านั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องส่วนท่านเป็นผู้อาวุโสเเต่กลับทำร้ายและยังใส่ความข้าได้ลงคออีก ”
ชายชราทั้งสามและผู้อาวุโสตระกูลหยางที่ได้ยินคำกล่าวของเฟยหลงถึงเเม้จะเตรียมใจไว้แล้วเเต่ก็ต้องแอบคิดในใจเหมือนกัน
‘ ถ้าเจ้าเป็นคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่องงั้นทั้งโลกก็คงไม่มีคนชั่วเเม้เเต่คนเดียว ‘
เฟยหลงไม่ได้สนท่าทางขอคนอื่นที่อยู่ในห้องและกล่าวถามผู้อาวุโสตระกูลหยาง
” ข้าอยากขอเงินชดเชยเพื่อปลอบขวัญตัวข้าที่ตอนนี้กำลังรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ”
ผู้อาวุโสตระกูลหยางจึงกล่าวตอบอย่างรวดเร็วว่า
” ได้เลยเจ้าบอกมาว่าจะเสนอเท่าไหร่ ”
เฟยหลงได้ทำท่างทางครุ่นคิดและกล่าวออกมาหลังจากผ่านไปไม่นาน
โดยที่เฟยหลงได้กล่าวตอบผู้อาวุโสตระกูลหยาง
” ข้าไม่ใข่คนโลภมากหรืออยากได้ทรัพย์สินสินเงินทองเเต่อย่างใดดังนั้นข้าขอเพียงเเค่นี้ก็พอ ”
เมื่อเฟยหลงกล่าวจบก็ได้ชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
ชายชราทั้งสามที่เห็นเฟยหลงชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิเวจึงคิดว่าเฟยหลงเรียกร้องราคาไม่มากอะไร
ผู้อาวุโสตระกูลหยางที่เห็นว่าเฟยหลงได้ชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้วจึงกล่าวว่า
” ได้ตามที่ตกลงงั้นจำนวนทั้งหมดที่จ้าต้องจ่ายเจ้านั้นคือหนึ่งแสนเหรียญทองใช่ไหม ”
เเต่เฟยหลงที่ได้ยินว่าผู้อาวุโสตระกูลหยางจะจ่ายให้ตนหนึ่งเเสนเหรียญทองจึงกล่าวตอบว่า
” ใครบอกท่านว่าหนึ่งแสนเหรียญทองละ ”
ผู้อาวุโสตระกูลหยางจึงกล่าวถามเฟยหลงอย่างไม่เเน่ใจว่า
” งั้นเจ้าต้องการเเค่หนึ่งหมื่นเหรียญทองหรือ ”
เฟยหลงก็ได้ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
” หนึ่งล้านเหรียญทอง “