หลังจากนั้นเฟยหลงซูซ่านเจียงหงเเละเสี่ยวไป๋ได้นั่งรถม้าที่ลากโดยสัตว์อสูรมา
เเค่หนึ่งวันเพราะว่าความเร็วของสัตว์อสูรที่ใช้ลากนั้นเเตกต่างจากม้าธรรมดาอย่างมากเเละก็ได้พบกับประตูเมืองที่
ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้เหล่าทหารยามที่อยู่ทางด้านประตูเมืองนั้นทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด
เมื่อเห็นว่ามีรถม้าคันหนึ่งกำลังเข้าใกล้ประตูเมืองซึ่งลักษณะดูสวยงามลากด้วยสัตว์อสูรนั้นก็ได้ปรากฏสีหน้าเเปลกใจเเละวิ่งกลับเข้าไปรายงานหัวหน้าของตน
” ท่านหัวหน้าขอรับตอนนี้มีรถม้าคันหนึ่งเข้าม้าใกล้…………. ”
เมื่อหัวหน้าได้ยินว่าเป็นรถม้าก็ได้โยกมือมห้เเละกล่าวออกมา
” ถ้าเป็นเเค่รถม้าเจ้าก็ไปตรวจสอบกันเอาเองทำไมต้องรายงานข้าด้วย ”
ทหารยามนายนั้นก็ได้กล่าวออกมาอีก
” เเต่ว่ารถม้านั้นถูกลากโดยสัตว์อสูรขอรับ ”
เมื่อหัวหน้าได้ยินว่ารถม้าคันนั้นถูกลากด้วยสัตว์อสูรจึงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
” ผู้มีอำนาจคนไหนกันที่มาเมืองชายเเดวทางเหนือในตอนนี้ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับสัตว์อสูรอยู่”
เเละเมื่อครุ่นคิดไปชั่วครู่หัวหน้าทหารยามคนนั้นก็ได้กล่าวถามต่อไป
” เจ้าเห็นสัญลักษณ์หรืออะไรที่เป็นเครื่องหมายบนตัวรถหรือไม่ ”
ทหารยามคนนั้นได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเเน่ใจ
” ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีสัญญลักษณ์อะไรอยู่บนนั้นเพราะข้าเห็นว่าเป็นสัตว์อสูรลากมาเเละระดับพลังของมันก็ไม่ได้ต่ำเเต่อย่างใดจึงรีบมารายงายให้ท่านทราบ ”
เมื่อหัวหน้าทหารได้ยินดังนั้นก็กล่าวกับทหารยามนายนั้นว่า
” งั้นเจ้าก็ไปดูพร้อมกับข้าเถอะ ”
มางด้านรถม้าที่พวกเฟยหลงนั่งมานั้นด้านหน้าสุดซึ่งเป็นที่นั่งสำหรับคนขับได้มีพยัคฆ์น้อยตัวหนึ่งนั่งอยู่เเละเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสี่ยวไป๋นั้นเอง
เเละไม่ไกลจากตัวเสี่ยวไป๋ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งใส่ชุดสีฟ้านั่งอยู่นั้นก็คือเฟยหลง
เมื่อเสี่ยวไป๋เห็นประตูเมืองก็ได้ร้องออกมา
” อ๋าว ”
เฟยหลงที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่นั้นก็ได้ตื่นขึ้นมาเเล้วกล่าวกับเสี่ยวไป๋ว่า
” เจ้าปลุกข้าขึ้นมารอบนี้คงถึงที่หมายเเล้วใช่ไหม ”
เสี่ยวไป๋ได้น้องตอบกลับไป
” อ๋าว~~ ”
เเม้ว่าเฟยหลงจะไม่สามารถรับรู้ถึงความหมายของเสียงร้องเเต่คงจะเดาได้ไม่อยากว่าเสี่ยวไป๋กำลังบอกอะไรอยู่
” เจ้าก็ไปดูพวกนางทั้งสองหน่อยเเละอย่าลืมบอกกับซูซ่านว่ามาถึงเเล้วละ ”
เสี่ยวไป๋นั้นได้ยินสิ่งที่เฟยหลงกล่าวออกมาจึงกระโดดเข้าไปยังทางหน้าต่างที่ถูกเปิดอยู่อย่างรวดเร็ว
ซูซ่านเเละเจียงหงที่กำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างสนิทสนมกันนั้นได้เห็นเสี่ยวไป๋พุ่งเข้ามาทางด้านหน้าต่างก็ได้กล่าวถามอย่างเเปลกใจว่า
” เสี่ยวไป๋มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ ”
เสี่ยวไปษก็ได้ร้องตอบกลับไป
” อ๋าว ”
” พี่ใหญ่ให้ข้ามาบอกว่าตอนนี้กำลังอยู่ใกล้ประตูเมืองเเล้ว ”
ซูซ่านที่ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวกับเจียงหงว่่า
” ดูเหมือนว่าจะถึงที่หมายเเล้วละ ”
เจียงหงในตอนนี้นั้นได้ใส่ชุดสีเเดงเพลิงมีลวดลายที่เหมือนกับเปลวเพลิงบนเเขนเสื้อทั้งสอง
ได้มองซูซ่านอย่างสนใจเพราะว่าไม่ว่ากี่ครั้งนางก็รู้สึกแปลกใจที่ซูซ่านนั้นสามารถเข้าใจเสียงร้องของสัตว์อสูรได้
ตอนนี้รถม้าที่ลากสัตว์อสูรนั้นได้มาหยุดอยู่ตรงหน่าประตูทางเจ้าเมืองเพราะว่ามีทหารยามกลุ่มหนึ่งยืนอยู่เเละคนที่ดูเหมือนหัวหน้าของพวกเขาก็ได้กล่าวออกมาว่า
” ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าพวกท่านนั้นมากจากที่ใดกัน ”
เจียงหงที่ได้ยินดังนั้นก็ได้เปิดม่านขึ้นเเละเดินลงมาพร้อมกับยื่นแผ่นไม้แผ่นหนึ่งให้กับหัวกน่าทหารชายยามคนนั้น
เมื่อหัวหน้าทหารยามได้เห็นตัวอักษรที่สลักอยู่ว่า ‘ โรงประมูลหวังเปา ‘ ก็ได้คืนเเผ่นไม้นั้นน้อบน้อมเเละกล่าวออกมาว่า
” ถ้าข้าจำไม่ผิดมีเพียงไม่กี่คนที่มีเเผ่นป้ายนี่ท่านจะต้องเป็นบุคคลระดับสูงอย่างเเน่นอนไม่ทราบว่าทานคือ ”
เจียหงก็ได้กล่าวชื่อของนางออกไป
” ชื่อของข้าคือเจียงหง ”