เทพจักรพรรดิ​สงคราม – ตอนที่ 248 พระราชวัง

เทพจักรพรรดิ​สงคราม

เฟยหลงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้ถอนหายใจเเผ่วเบาเเล้วกล่าวกับตัวเอง

ในระหว่างที่รถม้าที่ถูกลากโดยสัตว์อสูรได้เคลื่อนตัวไปจนเริ่มที่จะเห็นเมืองชายเเดนเล็กลงเรื่อยๆ

” เเม่ทัพจ้าวท่าน………………. ชั่งเถอะในเมื่อข้าจะออกจากเมืองชายเเดนเเห่งนี้เเล้วนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรมากถ้าพวกเขารู้เเล้ว ”

ที่เฟยหลงกล่าวออกมาเเบบนั้นเพราะว่าตัวเฟยหลงนั้นไม่ค่อยชอบเหตุการณ์​เเบบนี้เท่าไหร่ที่เหล่าผู้คนมายกย่องเเละกล่าวขอบคุณเขา

ไม่ว่าจะชีวิตนี้หรือชีวิตที่เเล้วตัวเฟยหลงชอบที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆเล้วท่องเที่ยวไปทั่วมุกสถานที่ไม่ว่าตะเป็นโบราณสถานหรือสิ่งที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์​

เพราะมันคือหนทางหนึ่งในหนทางที่จะทำให้เฟยหลงได้พบเจอกับเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์​ที่ถูกทำลายเเละหายไปเพราะอะไรกัน

ทำมเหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดถึงไม่สามารถตัดผ่านมิติเพื่อเปิดประตูสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ทั้งที่ในอดีตหลายเเสนปีที่เเล้วถึงสามาารถทำได้กัน

นั้นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฟนหลงเดินทางสำรวจสถานที่ต่างๆ

” ในเรื่องเหล่านี้ข้าต้องรู้ให้ได้เเต่ก่อนอื่น…………… เสียงเรียกเเละบอลเเสงสีดำกับสีขาวในตอนนั้นที่ข้าเข้าอยู่ในเมืองหลวงข้ามีความรู้สึกว่ามาจากใจกลางเมืองคราวนี้ข้าต้องไปพิสูจน์​ให้ได้ว่ามันคืออะไรกันเเน่ ”

ในการเดินทางกลับครั้งนี้นั้นเป็นเพราะสัตว์อสูรที่ลากรถม้านั้นเป็นถึงขอบเจตวิญญาณ​ขั้สูงสุดทำให้พวกเฟยหลงกลับมาถึงเมืองหลวงเร็วยิ่งกว่าครั้งเดินทางไปเมืองชายเเดน

จ้าวเฉินกับพวกเฟยหลงได้ไปหยุดอยู่ที่หน้าพระราชวังเเห่งหนึ่งที่มีความใหญ่โตเเละให้ความรู้สึกกดดันทับลงมาใส่เจียงหง

ทางด้านเสี่ยวไป๋นั้นไม่รู้สึกกดดันมากมายเเค่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะสายเลือดของเสี่ยวไป๋ยังคงไม่ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์​ไม่งั้นเสี่ยวไป๋สามารถเดินอย่างสบายใจราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

ทางด้านซูซ่านนั้นรู้สึกอึดอัดน้อยกว่าเสี่ยวไป๋เพราะว่ากายศักดิ์สิทธิ์​ของนางนั้นกำลังตื่นขึ้นมาเเม้จะเล็กน้อยก็ตาม

จ้าวเฉินที่ลงมาจากรถม้าที่ถูกลากโดยสัตว์อสูรนั้นยืนรออยู่ข้างพวกเฟยหลงก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า

” จากนี้ไปพวกเราต้องเดินเข้าไปเอง ”

ทั้งสามได้ที่กำลังมองพระราชวังอย่างเเปลกใจนั้นได้สติกลับมาทันทีก่อนที่จะครุ่นคิดบางอย่าง

” ความกดดันนี้มาจากขอบเขตพลังปราณที่เหลือกว่าหรือค่ายกลกันเเน่ ”

เมื่อเฟยหลงเห็นใบหน้าที่สงสัยของทั้งสามนั้นก็รู้ได้ว่ากำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่กันเเน่ดังนั้นตัวเขาจึงตอบคำถามมห้ทั้งสามได้หายสงสัย

” รอบๆพระราชวังมีค่ายกลปกคลุมอยู่เป็นค่ายกลที่ดึงดูดพลังวิญญาณ​เเละยังมีค่ายกลป้องกันกับค่ายกลสังหารอยู่อีกด้วยซึ่งค่ายกลนี้อยู่ในระดับสีเหลืองขั้นสูงสุด ”

เมื่อทั้งสามได้ยินมาว่าเป็นค่ายกลระดับนั้นก็รู้สึกแปลกใจอย่างมากเพราะทั้งสามเคยถายในเรื่องค่ายกลการหลอมอาวุธเเละการปรุงยามาว่าเป็นสิ่งที่ยากอย่างมากเเละต้องมีพรสวรรค์​ในระดับหนึ่ง

รวมถึงโชคอีกด้วยเพราะว่ามรดกที่ตกทอดกันมานั้นเริ่มที่จะเลือนหายไปจนหมดเพราะการเวลาเเละเหตุผลบางอย่างในอดีต

ทางด้านพวกเฟยหลงได้ถูกจ้าวเฉินเดินนำเข้าไปในพระราชวังเเล้วมาหยุดอยู่หน้าประตูก่อนที่จะกล่าวออกมา

” พวกเจ้าพร้อมเเล้วใช่ไหม ”

ซูซ่านที่ได้ยินดังนั้นก็ได้กล่าวตอบจ้าวเฉินไปว่า

” พวกเราพร้อมเเล้ว ”

จ้าวเฉินจึงสั่งให้ทหารที่มีหน้าที่ปกป้องประตูบานนั้นเปิดตระตูอย่างรวดเร็ว

” พวกเจ้าเปิดประตู ”

เมื่อประตูถูกเปิดพวกเฟยหลงได้เดินเข้าไปด้านมนเเละพบกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังยืนอยู่ซึ่งทางเฟยหลงพอจะคาดเดา​ได้ว่าคนเหล่านั้นคงจะเป็นขุนนางของอาณาจักรสายลมนี้

ทางด้านบนบัลลังก์​สีทองได้มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่อย่างสง่างาม​รอบตัวเขานั้นมีเเรงกดดันที่มองไม่เห็นปล่อยออกมาเมื่อชายคนนั้นเห็นจ้าวเฉินก็กล่าวออกมาว่า

” มาเเเล้วงั้นเหรอ ”

เทพจักรพรรดิ​สงคราม

เทพจักรพรรดิ​สงคราม

Status: Ongoing
ที่ตรอกแห่งหนึ่งได้มีร่างของเด็กหนุ่มนอนขดตัวอยู่ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเพียงเเค่ร่างไร้วิญญาณแต่โชคชะตาก็ได้นำพาวิญญาณดวงหนึ่งมาสิงร่างของเด็กหนุ่มคนนี้แล้วทำให้ชะตากรรมของร่างกายนี้เปลี่ยนแปลงไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท