เฟยหลได้เดินนำเข้าไปด้านในเเละพวกซูซ่านที่เห็นดังนั้นก็ได้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พวกเฟยหลงเข้าไปด้านในเเล้วนั้นประตูวิหารที่เคยเปร่งประกายในตอนเเรกได้หายไปเเล้วกลับคืนสู่สภาพเดิมราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น
ทางด้านเฟนหลงเเละพวกซูซ่านที่ได้เดินเข้ามาด้านในกลับไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในเมืองที่มีเเต่หมอกอยู่ทั่วทุกมุมเเต่กลับมาอยู่ด้านหน้าหอคอยเเห่งหนึ่งที่มีป้ายเขียนว่า
” หอคอยขั้นบันได ”
เเม้ตัวอักษรนั้นจะดูเลือนลางเเต่ก็เต็มไปด้วยความเก่าเเก่ที่ราวกับตกทอดมาจากห้วงเวลาในอดีตอันยาวนาน
เฟยหลงได้เดินมาหยุดอยู่หน้าหอคอยนี้เเล้วหันกลับมากบ่าวกับพวกซูซ่านว่า
” พวกเจ้าเข้าไปด้านในเถอะ……….. สิ่งของที่อยู่ในนั้นล้วนเเล้วเเต่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะมหาศาล
” ส่วนที่จะได้เก็บเกี่ยวมามากน้อยเเค่ไหนก็ขึ้นอยู่กัพลังเเละโชคชะตาของเเต่ละคนก็เเล้วกัน ”
พวกซูซ่านที่ตอนเเรกเข้ามาเเล้วไม่พบเจอกับผู้บ่มเพาะก่อนหน้านี้อยากจะกบ่าวถามเฟยหลงเเต่ไม่ได้มีโอกาศนั้นเพราะว่าหลังจากที่เฟยหลงกล่าวจบก็ได้เดินเจ้าไปภายในหอคอยอย่างรวดเร็ว
ทางด้านเฟยหลงที่สามารถพาพวกซูซ่านมายังหอคอยตรงนี้ได้เพราะตัวเขาคุ้นเคยกับมันอย่างดีถึงหอคอยเเห่งนี้
ในอดีตที่เกิดสงครามกับเผ่าปีศาจนั้นเรียกได้ว่าเผ่ามนุษย์นั้นเสียเปรียบเรื่องความสามารถทางด้านร่างกายที่เเข็งแกร่งกว่ามนุษย์
เผ่าปีศาจบางเผ่าก็อาจจะมีพรสวรรค์ทางด้านพลังวิญญาณที่เเข็งแกร่งอย่างมากทำให้ในการต่อสู้ระดับเดียวกันเเล้วเหล่าผู้บ่มเพาะเผ่ามนุษย์เสียเปรียบอยู่หลายส่วน
ในการประชุมของผู้บ่มเพาะระดับสูงของเผ่ามนุษย์ตอนนั้นเองที่จักรพรรดิค่ายกล จวิ้นฟู่
ได้เสนอความคิดบางอย่างขึ้นมาโดยที่ตัวจวิ้นฟู่ได้กล่าวออกมาว่า
” พวกเจ้าจะคิดกันให้เปลืองสมองมากทำไม………… ก็เเค่ทำสถานที่ทดสอบขึ้นมาเพื่อกระตุ้นความสามารถขึ้นมาเลยซิ ”
ในห้องประชุมนั้นเองที่กำลังจะมีคนกล่าวขัดขึ้นมาเเต่จวิ้นฟู่ได้กล่าวดักทางเอาไว้ก่อน
” ข้ารู้พวกเจ้าจะพูดอะไรเเต่ฟังข้าพูดให้จบก่อน……. พวกเจ้าต้องเชื่อมั่นในเผ่ามนุษย์เพราะว่า……… ในอดีตก็เคยเกิดการสูญสิ้นของเผ่าต่างๆมากมายในอดีตอาจจะเเข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์ราวฟ้ากับเหวไม่ว่าจะทูกทำลายลงไปจากสงครามหรือจากภัยพิบัติ ”
” เเต่เเล้วเผ่ามนุษย์ก็ยัคงอยู่รอด……… ข้าเชื่อว่าขอเเค่มีสิ่งกระตุ้นความปรารถนาที้จะมีชีวิตอยู่ต่อความปรารถนาในพลัง……….. ศักยภาพที่เเท้จริงของเเต่ละคนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างเเน่นอน………. ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้จวิ้นฟู่ก็ได้เงียบไปก่อนที่สายตายามปกติชอบเเสดงท่าทางราบเรียบราวกับไม่มีอะไรสามารถทำให้ตัวจวิ้นฟู่เปลี่ยนไปได้
เเต่ครั้งนี้นั้นสายตาที่ราบเรียบกลับเผยให้เห็นเเสงเเห่งความเชื่อมันอย่างเต็มเปี่ยมออกมาทำให้เหล่าผู้คนที่อยู่ในห้องประชุมนั้นเงียบไปเเล้วมีคนกล่าวออกมาว่า
” ข้าเห็นด้วยกับจักรพรรดิค่ายกล ”
” ข้าด้วย…… ”
” ข้าก็ด้วย…….. ”
เฟยหลงนั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในห้องประชุมตอนนั้นตัวเฟยหลงได้ก้าวเข้าขึ้นสู่การเป็นตัวตนที่เเข็งแกร่ที่สุดของขอบเขตเซียนนั้นคือขอบเขตเซียนขั้นสูงสุด
เฟยหลงได้ตำเเหน่งนี้มาเพราะว่าการต่อสู้ครั้งหนึ่งที่ได้เป็นที่จดจำตลอดการนั้นทางฝั่งมนุษย์ได้ตกลงสู้กับดักของเผ่าปีศาจทำให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก
ทางด้านเผ่าปีศาจตอนนั้นได้ส่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนขั้นสูงมาถึงสามคนในขนาดที่ผู้นำกองทัพนั้นมีเพียงเเค่ขอบเขตเซียนขั้นสูงเพียงคนเดียว
ทำให้การต่อสู้เสียเปรียบอย่างมากสุดท้ายจึงพลาดท่ามห้กับเซียนเผ่าปีศาจเเล้ะบาดเจ็บสาหัสเเต่ตอนนั้นไม่มีเซียนเผ่ามนุษย์คนไหนมาช่วยได้เพราะถูกยื้อเอาไว้ด้วยเซียนของเผ่าปีศาจ
มันเป็นแผนที่ถูกเตรียมเอาไว้อย่างดี
เเต่ตอนนั้นกลับมีเฟยหลงที่ปรากฏตัวขึ้นมาเเล้วสังหารเซียนเผ่าปีศาจไปหนึ่งคนจากสองเเล้วทำให้อีกสองคนบาดเจ็บสาหัสจนต้องหนีไปเเล้วยังจ่ายค่าตอบเเทนไปไม่น้อย