เเต่เสี่ยวไป๋ที่กล่าวถึงตรงนี้ก็ได้หยุดไปชั่วครู้ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจนใจ
” เเต่ปัญหาคือตอนนี้นั้นข้าพลัดหลงกับพี่ใหญ่เพราะเหตุผลบางอย่าง………… ”
เมื่อเสี่ยวไป๋กล่าวถึงตรงนี้เเล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เฟยหลงโยนตัวมันลงไปในเเม่น้ำเเห่งสมบัติโบราณเเล้วสุดท้ายก็กลายเป็นเเบบนี้
เเล้วตอนนั้นเองที่สองเงานั้นได้กล่างถามเสี่ยวไป๋ออกมาว่า
” เเล้วเจ้ารู้เกี่ยวกับค่ายกลบ้างไหม……. ”
” ถ้าเจ้ารู้ละก็มันจะลดความยุ่งอยากไปได้พอสมควร ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินคำถามเเบบนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
” จะจะถามข้าเกี่ยวกับค่ายกลนั้นละก็พวกท่านคิดผิดอย่างมาก ”
” ตอนนี้นั้นไปตามหาพี่ใหญ่ของข้าดีกว่าเพราะเรื่องค่ายกลนั้นข้าไม่รู้พี่ใหญ่ข้าอยู่ระดับไหนเเต่ตั้งเเต่ที่ได้รู้จักกับพี่ใหญ่ข้าไม่เคยพบว่าค่ายกลเหล่านั้นไม่สามารถขัดขวางพี่ใหญ่ได้เลย ”
สามพี่น้องที่หนึ่งคนเป็นโครงกระดูกเเละสองคนเป็นร่างเงานั้นได้มองหน้ากันด้วยความเเปลกใจเเล้วคิดเหมือนกันว่า
” ดูท่าเเล้วพี่ใหญ่ของเสี่ยวไป๋ก็มีฝีมือพอสมควรเเล้วละข้าคำกล่าวเหล่านั้นเป็นความจริง….. คงต้องหาให้พบเเล้วละถ้าอยากรู้ความจริง ”
เสี่ยวไป๋เเละสามพี่น้องที่กลายเป็นตัวประหลาดเเล้วได้พบเจอกันอย่างนี้จึงได้เริ่มที่จะเส้นทางในอุโมงค์ใต้ดินที่ซับซ้อนเหล่านั้นเพื่อขึ้นไปด้านบน
ทางด้านหลีเหวินเเละหลินหยางตอนนี้พวกเขาออกมาจากค่ายกลที่สร้างภาพลวงตานั้นได้เรียบร้อยเเล้วเมื่อทั้งสองพบหน้ากันหวีเหวินจึงเป็นคนกล่าวออกมา
” ไม่คิดเลยว่าจะรอดออกมาได้ ”
หลินหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยที่มุมปากก่อนที่จะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
” สหายหลินเจ้าเป็นห่วงข้าด้วยอย่างนั้นเหรอ ”
หลีเหวินที่ได้ยินเข่นั้นก็ได้เเค่นเสียงออกมาคำหนึ่งเเล้วสะบัดหน้าหนีราวกับไม่อยากที่จะพูดด้วยอีก
” หึ ”
หลินหยางที่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความเเปลกใจเล็กน้อย
” ดูเหมือนว่าทางด้านผู้บ่มเพาะคนอื่นๆยังคงฝ่าค่ายกลออกมาไม่ได้สินะ…………. ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอไปสำรวจด้านหน้าก่อนก็เเล้วกัน ”
เเต่เมื่อหลินหยางกำลังจะหันมากล่าวกับหลีเหวินเเต่กลับเห็นเพียงเเผ่นหลังของหลีเหวินที่มุ่งหน้าสู่หอคอยขั้นบันได้เป็นที่เรียบร้อย
หลินหยางที่เห็นหลีเหวินหยุดอยู่หน้าหอคอยขั้นบันไดจึงกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
” สหายหลีเจ้าหยุดอยู่หน้าหอคอยนี้เเปลว่าคงสนใจมันสินะ…….. หรือว่าเจ้าอาจจะรู้เรื่องราวบางอย่างมาใช่หรือไม่ ”
หลีเหวินที่ได้ยินหลินหยางกล่าวออกมาเเบบนั้นจึงไม่ได้มีเหตุผลที่ตะปิดบังเพราะว่าในท้ายที่สุดเเล้วเมื่อเหล่าผู้บ่มเพาะคนอื่นฝ่าค่ายกลมาได้คงจะพบอยู่ดี
มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าจะช้าหรือเร็วหวีเหวินจึงกล่าวออกมาอย่างไม่คิดอะไรมากมาย
” ตามบันทึกโบราณที่ข้าไปค้นเจอโดยบังเอิญนั้นได้บันทึกไว้ว่ามีหอคอยที่ชื่อว่าหอคอยขั้นบันไดมันดูเหมือนหอคอยธรรมดาทั่วไปถูกสร้างโดยผู้บ่มเพาะระดับสูงเพื่อเพิ่มมอบโอกาศในการเพิ่มความเเข็งแกร่งส่วนเหตุผลบางอย่าง ”
” เเล้วในบันทึกนั้นมีสถานที่ตั้งของหอคอยขั้นบันไดมีอยู่เล็กน้อยเเล้วในส่วนนั้นคือสถานที่เเห่งนี้ที่เป็นวิหารโบราณส่วนชื่อที่เเท้จริงของวิหารนี้นั้นได้หายไปตามกาลเวลา ”
หลินหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้กล่าวออกมาด้วยความเเปลกใจ
” เหตุผลที่เเท้จริงเจ้าคิดว่าผู้บ่มเพาะระดับสูงของเผ่ามนุษย์เหล่านั้นคิดว่าอะไรอยู่……… อาจจะมีเวลาว่างละมั้ง ”
หวีเหวินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าออกมาก่อนที่จะกล่าวตอบหลินหยางพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
” ถ้าหากเจ้าคิดได้เพียงเเค่นั้นก็ตามใจ ”
เมื่อหวีเหวินกล่าวจบก็ได้เดินเขาไปในหอคอยขั้นบันไดหลินหยางที่เห็นดังนั้นก็จะโกนบอกหลีเหวิน
” รอข้าด้วยสหายหลี “