เฟยหลงที่เห็นเสี่ยวไป๋ก็ได้กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เเสดงความเเปลกใจ
” ไม่คิดเลยว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้………. เเล้วเป็นไงบ้างทางเข้าอีกทางที่ข้าบอกเจ้าไปสะดวกดีใช่ไหมไม่ต้องวิ่งฝ่าค่ายกลลวงตาเลยเเม้เเต่น้อย”
เมื่อเสี่ยวไป๋ที่ได้ยินเฟยหลงกล่าวออกมาเเบบนั้นจึงเเสดงท่าทางขมขื่นเเล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเเผ่วเบา
” ข้าเจอทางเข้าก็จริงพี่ใหญ่เเต่………. ก่อนโยนข้าลงทะเลสาบท่านควรถามขเาก่อนว่าข้า…………. ”
เเต่ก่อนที่เสี่ยวไป๋จะกล่าวจบก็ได้ยินเสียงเฟยหลงกล่าวขัดขึ้นมาก่อน
” ช่างเรื่องนั้นก่อน……… ตอนนี้เจ้าช่วยเเนะนำสหายด้านข้างทั้งสามที่ตามเจ้ามาหน่อย ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินดังนั้นจึงต้องยอมหยุดกล่าวถามเกี่ยวกัยเรื่องก่อนหน้านี้เเล้วกล่าวเเนะนำตั้งวามพี่น้องเหล่านั้นที่หนึ่งคนเป็นโครงกระดูกเเละอีกสองคนเป็นร่างเงา
” ข้าขอเเนะนำหน่อยโครงกระดูกที่ยืนอยู่หน้าท่านั้นคือพี่ใหญ่ของร่างเงาทั้งสองส่วนชื่อพวกเขานั้น……….. ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยบอกข้า ”
โครงกระดูกที่ได้ยินเสั่ยวไป๋กล่าวออกมาเเบบนั้นจึงกล่าวบอกเหตุผลที่พวกเขานั้นไม่ได้กล่าวถึงชื่อของตนเอง
” ชื่อของพวกเรานั้นไม่ต้องไปสนใจก็ได้พวกข้าเเค่ผู้บ่มเพาะที่ตายไปเเล้วอีกอย่างชื่อของพวกเรานั้นถึงกล่าวออกไปก็ไม่มีใครจดจำได้อีกเเล้วละ ”
” ส่วนจะเรียกพวกเราอย่างไรนั้นตามที่พวกเจ้าคิดเลยเพราะเวลาของพวกเราเหลืออยู่อีกไม่มากเเล้ว………… เเล้วเมื่อทำภารกิจสุดท้ายเสร็จวกเราก็อาจจะหมดห่วงเเล้วไปยังวัฏสังสารเพื่อเกิดใหม่ก็เป็นได้ ”
เฟยหลงที่ฟังไปฟังมาก็ได้กล่าวกับเสี่ยวไป๋ด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
” เสี่ยวไป๋ไหนเจ้าสรุปเรื่องราวที่เจ้าไปเจอมาให้ข้าเเบบสั้นๆหน่อย ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินดังนั้นจึงสรุปเรื่องราวที่ตนไปเจอตั้งเเต่เเยกกับเฟยหลงตรงเเม่น้ำเเห่งสมบัติโบราณ
เฟยหลงที่ยืนฟังอย่างสงบเงียบจนเสี่ยวไป๋เล่าจบก็ได้กล่าวถามออกมาว่า
” งั้นเเล้วไอค่ายกลที่เจ้าว่ามันอยู่ไหนละ……… หรือว่าจะหมายถึงบัลลังก์สีทองหม่นนั้น ”
โครกงระดูกที่ยืนอยู่ข้างเสี่ยวไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
” ใช่เเล้วสิ่งที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยก็คือร่วมมือกันทำลายค่ายกลที่ผนึกบัลลังก์สีทองหม่นนั้น ”
เฟยหลงที่ได้ยินดังนั้นจึงไม่รู้สึกเเปลกมจมากเพราะในที่เเห่งนี้นั้นนอกจากสิ่งของอื่นที่ไม่ได้เตะตามากนั้นบัลลังก์สีทองหม่นเเม้จะมีอำนาจเทียบเท่ากับอาวุธขอบเขตปฐพี
เเต่ด้วยกาลเวลานั้นอาจจะกัดกร่อนมันไปเฟยหลงจึงคาดว่าอาจจะโดนผนึกไว้เพราะเหตุผลบางอย่างส่วนจะเป็นอะไรนั้นดูเหมือนว่าคำตอบอยู่อีกไม่ไกลเเล้ว
” ค่ายกลที่ผนึกบัลลังก์สีทองหม่นนั้นไว้เป็นค่ายกลสีเสีเขียวขั้นสูง…….. เเม้ว่ากาลเวลาจะทำลายค่ายกลนี้จนเหลือเพียงระดับสีเขียวขั้นต้นเเต่ตอนนี้นั้นสำหรับข้าเเล้วมันก็ยังคงต้องบากลำบากไม่ใช่น้อย ”
” เเม้สภาพของมันจะชำรุดทรุดโทรมเต็มทีก็เถอะ………….. ถ้าลองทุ่มสุดตัวหน่อยเเล้วมีโอกาศสำเร็จไม่ใช่น้อยคงประมาณสี่ในสิบส่วนเห็นจะได้ ”
สามพี่นเองตัวประหลาดก็ได้เเต่มองหน้ากันด้วยท่าทางลังเลใจก่อนที่สองร่างเงาจะกล่าวออกมาว่า
” พวกเราเอาอย่างไรดีละโอกาศเพียงเเค่สี่ในสิบส่วนเท่านั้น ”
” ถ้าพวกเราไม่ลงมือเเล้วคาดว่าสิ่งนั้นจะถูกปลดปล่อยออกมา ”
เฟยหลวที่ได้ยินสองร่างเงาพูดคุยปรึกษาหารือกันไปมาเเล้วก็ได้เอะใจตรงคำว่า ‘ สิ่งนั้น ‘ จึงกล่าวถามออกไปว่า
” สิ่งนั้นที่พวกท่านกล่าวถึงมันคืออะไรกันเเน่…… ถ้าพวกท่านบอกข้ามาอย่างน้อยข้าก็พอที่จะหาทางออกได้บ้าง ”
ร่างเงาทั้งสองนั้นได้มองหน้ากันก่อนที่จะมองไปทางโครงกระดูกที่ยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อเป็นการขอความคิดเห็น
โครงกระดูกที่เห็นดังนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่เล็กน้อย
” ก็ได้ข้าเป็นคนบอกเอง