เเล้วตอนนัเนเองที่ด้านหลังหลินหยางก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอีกครั้ง
” เดินไปมาเเบบนั้นระวังเถอะ……… ถ้าติดกับดักอะไรละก็ข้าไม่ช่วยก็อย่ามาโทษละกัน ”
เเละพวกเฟยหลงก็ได้มองไปเเล้วพบกับหลีเหวินที่กำลังเดินมาหาหลินหยางด้วยท่าทางเคร่งขรึม
เเล้วเมื่อหวีเหลินพบกับพวกเฟยหลงกับสามพี่น้องโครงกระดูกจึงกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเเปลกใจ
” มีคนอยู่ด้วย………….. กับตัวประหลาดสามตัวนี้มาจากไหนกันละ ”
โครงกระดูกที่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำถาม
” พวกเจ้าเป็นใครกัน ”
ทางด้านเสี่ยวไป๋ที่ได้ยินคำถามของโครงกระดูกตัวนั้นจึงกล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
” ท่านลืมเเล้วหรืออย่างไรที่ข้าบอกว่ามีคนอื่นเข้ามาในสถานนี้อีกหลายคนพวกเขาน่าจะเป็นหนึ่งในนั้นตอนอยู่ตรงทางเข้าข้าสังเกตุเห็นอยู่ ”
โครงกระดูกเเละสองร่างเงาที่ได้ยินดังนั้นร่างเงาที่ถือกระบี่ก็ได้กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยเเล้วชี้นิ้วไปทางหลินหยาง
” เจ้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลใช่ไหม ”
หลิยหยางที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกงงงวยอยู่ขั่วครู่กอ่นที่จะกล่าวถามร่างเงาที่ถือกระบี่นั้นด้วยความสงสัย
” ใช่เเล้ว………. เเต่ท่านรู้ได้อย่างไร ”
ร่างเงาชี้ไปที่แกนค่ายกลที่ตัวหลินหยางกำลังโยนเล่นไปมาในมืออยู่ตอนนี้ซึ่งจากการคาดเดาของร่างเงาที่ถือกระบี่ตัวหลินหยางอาจจะมีเป็นปรมาจารย์ค่ายกล
ซึ่งการคาดเดานั้นกลับถูกต้องเพราะว่าผู้บ่มเพาะธรรใดาล้วนเเล้วเเต่ไม่พกเเกนกลางนอกจากจะมีความรู้ทางด้านค่ายกลพอสมควร
เมื่อร่างเงาที่ได้ยินคำตอบของหลินหยางดังนั้นจึงกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เเฝงไปด้วยความตื่นเต้น
เพราะว่าดูจากระดับพลังเเล้วหลินหยางคนนี้นั้นมีขอบเขตพลังเพียงเเค่ขอบเขตหลอมรวมเท่านั้นเเต่ความสามารถทางค่ายกลอย่างน้อยต้องเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับสีเหลืองเป็นอย่างต่ำ
เเม้ไม่อาจจะทำลายค่ายกลผนึกเเล้วควบคุมค่ายกลอีกอันที่ช่วยในการควบคุมเปลวเพลิงได้เเต่ในเมื่อสามารถเพิ่มโอกาศสำเร็จได้เเม้เพียงเล็กน้อยก็ดี
ร่างเงาที่คิดได้เช่นนั้นจึงกช่าวเล่าเรื่องราวเเล้วให้ตัวหลินหยางตัดสินใจว่าจะช่วยหรือไม่เเละคำตอบของหินหยางที่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
” ข้าเอาด้วยคน…………..ข้าก็ไม่เเน่ใจว่าช่วยได้เท่าไหร่เเต่มันก็คงเพิ่มโอกาศเล็กน้อยก็ดีกว่าไม่เพิ่มเลยเเถมรางวัลก็มีของดีๆมากมาย ”
เมื่อร่างเงาที่ถือกระบี่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
” เอาละมาเริ่มกันเถอะ ”
พลังวิญญาณได้เเพร่กระจายออกมาจากตัวของเฟยหลงร่างเงาที่ถือกระบี่เเละหลินหยางในบรรดาพลังวิญญาณนั้นของร่างเงากระบี่ถือว่ามากที่สุด
เเล้วของเฟยหลงเป็นรองลงมาเเต่ถ้าลองสัมผัสดูดีๆจะพบว่าพลังวิญญาณของเฟยหลงจะบริสุทธิ์อย่างมาก
ทางด้านหลินหยางก็ไมาได้เเพ้ใครเเม้จะเทียบกับทั้งสองไม่ได้เเต่ถ้าเทียบกับคนทั่วไปเเละปรมาจารย์ค่ายกลธรรมดาถือได้ว่าอยู่ในระดับอัจฉริยะ
หลินหยางที่เห็นดังนั้นจึงมองเฟยหลงด้วยความตกตะลึงก่อนที่จะตั้งสติอย่างรวดเร็ว
ทางด้านร่างเงาที่ถือกระบี่ก็แปลกใจอย่างมากทั้งที่เฟยหลงในตอนนี้อยู่เพียงขอบเขตหลอมรวมขั้นต่ำเเต่พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมานั้นเท่ากับขอบเขตหลอมรวมขั้นสูงสุดเลย
” ตู้มมมมมมมมมม”
พลังวิญญาณได้รวมเพื่อพยามควบคุมค่ายกลนั้นทางด้านบัลลังก์สีทองหม่นเเล้วตอนนั้นเองที่มีลูกบอลสีขาวที่กำลังล้อมรอบบัลลังก์สีทองหม่นร่างเงาที่ถือกระบี่ได้เห็นดังนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
” ข้ากำลังจะควบคุมผนึกได้เเล้วอีกเเค่นิดเดียวเท่านั้น