เฟยหลงที่ได้ยินดังนั้นจึงเคาะหัวเสี่ยวไป๋ด้วยกำปั้นหนึ่งครั้งก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
” เสี่ยวไป๋เจ้าคิดว่าเม็ดยานี้มันปรุงง่ายเหรอไงเเล้วยังมีวัตถุดิบอีกหลายอย่างต้องใช้ข้าให้ได้เเค่สิบเม็ด ”
เสี่นวไป๋ที่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวออกไปอีกครั้งว่า
” สิบห้าเม็ด ”
ทางด้านเฟยหลงที่ได้ยินดังนั้นจึงตอบตกลงเม็ดยาสิบห้าเม็ดที่เสี่ยวไป๋ต้องการจึงตอบตกลง
” งั้นสิบห้าเม็ดตกลง ”
เสี่นวไป๋ที่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
” ความเสี่ยงนั้นต้องมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่ายออกไปหน่อย ”
เฟยหลงที่ได้ยินดังนั้นจึงุมปากกระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวไล่เสี่ยวไป๋ให้ไปทำหน้าหน้าที่ของตนเอง
” รีบไปทำหน้าที่เหยื่อล่อชั้นดีได้เเล้วไม่งั้นถ้าเปลวเพลิงที่มีจิตวิญญาณนั้นหนีไปไกลกว่านี้เเล้วละก็ทั้งเจ้ารวมถึงพวกข้าได้เตียมตัวรับมือหายนะที่ใกล้เข้ามาได้เลย”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสีนงมั่นใจอย่างถึงที่สุด
” ในเรื่องการต่อสู้ข้าไม่อาจจะนับว่าเเข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเดียวกันเเต่ในเรื่องการหลบหนีเเละการกินทุกสิ่งทุกอย้างราวกับหลุมดำพี่ใหญ้เขื่อมือข้าได้ ”
” เรื่องนี้ข้าต้องทำสำเร็จอย่างเเน่นอนถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกินความคาดหมาย ”
เมื่อทางเสี่ยวไป๋นั้นไม่ไดเเห็นว่าเฟยหลงนั้นสนใจตัวมันอีกจึงทำอใหน้าที่เหยื่อล่ออย่างรวดเร็ว
โดนตัวเสี่ยวไป๋ได้สิ่งออกไปจากห้องโถงอย่างรวดเร็วโดยตอนนั้นเองที่มีเหล่าผู้บ่มเพาะจำนวนมากกำลังเดินมาทางห้องโถงเป็นจำนวนมาก
เสี่ยวไป๋ได้สนใจคนเหล่านั้นเเม้เเต่น้อยเเล้วสิ่งผ่านไปราวกับสายลมที่พัดผ่านทางมาเท่านั้น
เหล่าผู้บ่มเพาะนั้นรู้สึกราวกับมีอะไรวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนพวกเขามองไม่ทันพวกเขานั้นจึงกล่าวถามคนที่อยู่ข้างๆว่า
” สหายเจ้าเห็นอะไรผ่านไปไหม ”
” ข้ารู้สึกเหมือนมีสายลมพัดผ่านไป ”
” ข้าก็ด้วย ”
เมื่อเสี่ยวไป๋วิ่งออกไปเเล้วเฟยหลงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่เขาจะเเอบกล่าวออกมาในใจ
” เสี่ยวไป๋เจ้านี้มันช่างภาคภูมิใจกับสิ่งที่คนอื่นไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่เเต่เจ้ากลับภาคภูมิใจอย่างมาก ”
เฟยหลงได้สายหน้าไปมาก่อนที่จะเตรียมตัวจัดการกับเขตเเดนต่อเเละเรื่องนั้นคือต้องสร้างค่ายกลบางอย่างขึ้นมาปิดกั้นเขตเเดนเอาไว้
เพื่อต้องการขังมันไว้เป็นระยะเวลาสั้นให้มันถูกเปลวเพลิงที่บ้าคลั้งนี้นั้นเผาทำลายมันเพื่อชะล้างพลังปราณเเปดเปื้อนที่เเฝงอยู่
” เอาละทางเราก็ต้องเริ่มลงมือในการสร้างค่ายกลกักขังระยเวลาสั้นๆส่วนเรื่องการหลอกล่อเปลวเพลิงนั้นต้องพึ่งสหายน้อยเสี่ยวไป๋เเล้ว ”
เฟยหลงเเละหลินหยางได้พยักหน้าก่อนที่จะช่วยร่างเงาถือกระบี่จัดเตรียมค่ายกล
ทางด้านเสียวไป๋นั้นกำลังสิ่งออกไปทางเปลวเพลิงที่รูปร่างเหมือนกิเลนอยู่นั้นได้กบ่าวออกมาว่า
” เเล้วจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดีที่มันต้องล่อมันมาวิธีนั้นคือ…….. ”
เสี่ยวไป๋กำลังครุ่นคิดก่อนที่เวลาจะผ่านไปชั่วครู่เเล้วดวงตาก็ได้เปร่งประกาย
” ดูเหมือนยังมีวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ ”
เสี่ยวไป๋ได้วิ่งป่านซากปรักหักพังที่ตอนนี้กำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงจากจิตวิญญาณเปลวเพลิงรูปแบบกิเลนตัวนั้น
ทางด้านจิตวิญญาณเปลวเพลิงนั้นกำลังระบายความโกรธเกรี้ยวที่โดนผนึกไว้มันทุบทำลายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนอาคารต่างๆกลายเป็นเศษซาก
ดูเหมือนว่ามันยังคงไม่ได้หาาโกรธเลยเเม้เเต่น้อยเเล้วเริ่มที่จะทำลายต่อไป
เเล้วตอนนั้นเองที่มันรับรู้ได้ว่ามีการโจมตีบางอย่างมากระทบตัวมันนั้นเป็นใบมีดสายลมที่พุ่งมาโดนตัวมันเเต่กลับสร้างความเสียหายให้ไม่ได้เลย
เเละเมื่อมันมองกลับไปยังต้นตอที่ปล่อยใบมีดสายลมนั้นออกมาจึงคำรามออกมาด้วยความโกรธที่ถูกท้าทาย
” โฮกกกกกกกกกก ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินดัวนั้นจึงกล่าวเยาะเย้ยออกมา
” เจ้าม้าบ้า…….. ไม่ใช่สิต้องเรียกว่า…….. เจ้ากิเลนบ้าเเน่จริงมาจับข้าสิ ”
เมื่อเสี่ยวไป๋กล่าวจบเเต่ก็ไม่ได้หนีไปเเต่มันกลับยืนอยู่ตรงนั้น