เมื่อค่ายกลที่กักขังพวกมันเอาไว้ชั่วคราวได้ถูกสร้างขึ้นนั้นร่างเงาที่ถือกระบี่ได้สลายหายไปเรียบร้อยเหลือเพียงเเค่กระบี่ของเขาที่ตอนนี้ไม่เหลือพลังอะไรเลยเเม้เเต่น้อย
ราวกับมันเป็นเพียงเเค่กระบี่เหล็กธรรมดาเท่านั้นเอง
โครงกระดูกที่อยู่บนพื้นดินนั้นราวกับรับถึงเรื่องราวที่อยู่ข้างใต้ดินได้อย่างชัดยื่นนิ่งเหมือนรูปปั้นเเล้วกล่าวออกมาว่า
” เหล่าพี่น้องของข้า…….. อีกไม่นานข้าก็จะตามเจ้าไป ”
เมื่อโครงกระดูกล่าวจบนั้นก็ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเเล้วไปปรากฏอีกครั้งก็อยู่ตรงที่ๆเขตเเดนเเละจิตวิญญาณเปลวเพลิงได้ต่อสู้กัน
” โฮกกกกกกกกกกกกก ”
เสียงคำรามของจิตวิญญาณเปลวเพลิงได้ดังขึ้นเปลวเพิลงสีส้มได้ลุกโชนราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็กกำลังเเผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
เปลวเพลิงนี้นั้นร้อนเเรงอย่างมากขนาดละลายอาวุธสิ่งในบริเวณที่มันอยู่จนกลายเป็นเหมือนกับเหล็กที่ถูกหลอมเหลวพื้นดินร้อนจนกลายเป็นสีเเดง
เเล้วตอนนัน้นเองราวกับวิ่งที่หลับไหลอยู่นั้นได้ถูกกระตุ้นจากความร้อนนี้จึงตื่นขึ้นมา
” ครึกกกกกกกกกกกกกก ”
เเผ่นดินที่จิตวิญญาณเปลวเพลิงยืนอยู่สั่นสะเทือนก่อนที่จะมีปราณสีดำที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายได้กระจายออกมาจากรอยเเยกที่เกิดจากเเผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้น
หมอกที่ปกคลุมทั้วทั้งค่ายกลจิตวิญญาณเปลวเพลิงที่อยู่ท่ามกลางหมอกสีดำนั้นราวกับว่าเป็นดวงไฟท่ามกลางความมืดมิดก่อนที่หมอกบางส่วนจะเริ่มก่อตัวขึ้นกลายเป็นรางเงาสีดำจำนวนมาก
รูปร่างของมันมีเเตกต่างออกไปไม่ว่าจะเป็นมนุษย์สัตว์อสูรหรือเเม้เเต่รูปร่างของปีศาจเองก็มีเช่นกัน
โครงกระดูกที่เห็นดังนั้นจึงไม่ได้เข้าไปด้านในค่ายกลเพื่อต่อสู้เเต่อย่างใดเเล้วยืนรออย่างเงียบๆอยู่ด้านนอก
ทาด้านพวกเฟยหลงที่อยู่ข้างบนนั้นเห็นว่าโครงกระดูกอยู่ก็เคลื่อนไหวเเล้วหายตัวไปราวกับภูติผีทางด้านเฟยหลงจึงเริ่มกล่าวออกมา
” ข้าขอตามไปดูผลงานหน่อย ”
ทางด้านเจียงหงเเละซูซ่านนั้นได้ยินสิ่งที่เฟยหลงกล่าวออกมาจึงรีบกล่าวถามเฟยหลง
” ท่านอาจารย์ข้าไปด้วย ”
” ท่านพี่เฟยหลงข้าไปด้วยคน ”
เฟยหลงได้พยักหน้าตอบรับคำขอของพวกนางเเล้วเดินนำไปก่อนที่จะเห็นเสี่ยวไป๋นอนหมอบอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางอ่อนเเรงจึงกล่าวออกมาด้วยความเเปลกใจ
” เสี่ยวไป๋ดูเหมือนว่าเจ้าจะเล่นใหญ่ไม่ใช่น้อยในงานครั้งนี้ถึงกับเปิดใช้งานสายเลือดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างพยัคฆ์ขาวเลยอย่างนั้นเหรอ ”
เสี่ยวไป๋ที่เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับเฟยหลงพี่ใหญ่ของตนเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเเล้วเมื่อได้ยินเฟยหลงกล่าวออกมาเเบบนั้นอีกจึงรู้สึกไม่พอเเล้วบอกกับเฟยหลงว่า
” พี่ใหญ่ท่านไม่คิดจะพาข้าไปด้วยเหรอ……..ตอนนี้ข้าเป็นปลา……..ไม่ใช่เป็นเหมือนเเมวบนเขียงรอให้คนมาจับต้มยำทำเเกง ”
” ถ้าใครรู้ว่าข้ามีสายเลือดพยัคฆ์ขาวเเม้จะเบาบางเเต่คาดว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าคงเเห่กันออกมาเเย่งชิงตัวข้าไปเเล้วละ ”
เฟยหลงที่ได้ยินดังนั้นจึงอุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นมาก่อนที่จะส่งให้กับซูซ่านที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างตัวเเล้วกล่าวออกมา
” ช่วยดูเเลเสี่ยวไป๋เเทนข้าหน่อย ”
ซูซ่านที่ได้ยินเช่นนั้จึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันสดใส
” ไม่ต้องห่วงท่านพี่เฟยหลงข้าจะดูเเลเสี่ยวไป๋อย่างดีเลย ”
เจียหงที่เห็นเสี่ยวไป๋ตอนนี้นั้นกลายเป็นเหมือนตุ๊กตานุ่มฟูตัวหนึ่งที่เเตกต่างจากตอนปกติที่ชอบอยู่ไม่นิ่ง
ทางด้านหวีเหวินเเละหลินหยางนั้นได้มองหน้ากับไปมาด้วยความสับสนก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมกัน
” งั้นพวกเราก็ตามไปกันเถอะ ”
ทางด้านหวีเหวินนั้นหน้าซีดลงไปเล็กน้อยเพราะใข้พลังวิญญาณจำนวนมากเเต่มางด้านเฟยหลงนั้นภายนอกดูไม่เหมือนกับว่าสูญเสียพลังวิญญาณไปมากเลยเเต่ตอนนี้ต้องงดใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก
ใช้ได้เเต่การเปลี่ยนพลังวิญญาณเป็นสัมผัสวิญญาณตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเเต่ระยะที่ตรวจสอบได้นั้นสั้นลงกว่าเดิมครึ่งหนึ่งซึ่งต้องรอไปอีกหลายวันเลยทีเดียวกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม
ตัวเฟยหลงที่มีจิตวิญญาณระดับเทียบเท่าขอบเขตเซียนนั้นเเม้ว่าตัวเขาจะดึงพลังของมันมาใช้ได้เพียงน้อยนิดในตอนนี้
เเต่ตัวเขาไม่มีปัญหาทางด้านจำนวนพลังวิญญาณที่จะมีปัญหาคือใช้พลังวิญญาณมากเกินกว่าที่ร่างกายในตอนนี้จะรับได้ที่อาจจะนำผลเสียมาสู่ตัวเขา