พรานบางคนเห็นว่าเซียวเถี่ยเฟิงพูดมีเหตุผล แต่บางคนก็คิดว่าความคิดของจ้าวจิ้งเทียนถูกต้อง เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็แยกตัวไปล่าสัตว์ที่อื่น ส่วนจ้าวจิ้งเทียนพาทุกคนเข้าไปในป่าโบราณ
“คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเข้าไปได้ครึ่งวันก็เจอกับฝูงหมาป่าหิวโซ!” คนที่กล่าวคำพูดนี้มีบาดแผลลึกจนเห็นกระดูกขาวโพลนบนต้นขา เขาแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวดพลางกล่าวว่า “โชคดีที่ข้าหลบเร็ว ไม่เช่นนั้น หมาป่านั่นคงทำให้ข้าไส้ไหลไปแล้ว!”
คนอื่นๆ คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย “ชีวิตนี้ข้าไม่เคยเห็นหมาป่ามากมายแบบนั้นมาก่อน พวกมันน่ากลัวมาก ข้าเซียวเหล่าอู่ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว แต่ขาสองข้างของข้าอ่อนปวกเปียกไปหมด!”
“ครั้งนี้โชคดีที่มีเถี่ยเฟิง หากไม่ใช่เขาใช้ไฟขู่หมาป่าให้หนีไปจำนวนหนึ่ง เปิดทางให้เรา เราคงถูกพวกมันกินจนไม่เหลือแม้แต่ซากแล้ว! เสียดายก็แต่เจ้าเด็กโง่จ้าวลิ่ว!”
สิ้นเสียงของเขา ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ บรรยากาศเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
กู้จิ้งแอบสังเกตอยู่ข้างๆ เธอพอจะคาดเดาได้ว่า คนที่เรียกว่าเจ้าเด็กโง่จ้าวลิ่วอะไรนั่นคงจะตายไปแล้ว คงจะตายไปท่ามกลางฝูงหมาป่าสินะ?
หลังจากทุกคนนิ่งเงียบไปด้วยความเศร้า จู่ๆ คนที่หัวโนปูดคนหนึ่งก็พูดโพล่งขึ้นว่า “ตอนนั้นหมาป่าพวกนั้นเล่นงานเจ้าเด็กโง่จ้าวลิ่วก่อน พอเขาล้ม พวกมันก็หันมาล้อมโจมตีข้า เถี่ยเฟิงเข้ามาช่วยข้าไว้ แล้วก็ช่วยฆ่าหมาป่าพวกนั้นไปหลายตัว ถือว่าได้แก้แค้นให้เจ้าเด็กโง่จ้าวลิ่วแล้ว”
“ครั้งนี้โชคดีที่มีเถี่ยเฟิงจริงๆ หากไม่ใช่เขา เราคงต้องตายกันหมด!”
“เฮ้อ… เสียใจจริงๆ ที่ไม่ฟังเขา จริงๆ แล้วตอนที่เข้าไปในป่าโบราณนั่น เราก็เห็นรอยเท้าของหมาป่าแล้ว แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเรามีคนมาก ไม่จำเป็นต้องกลัวหมาป่าแค่ไม่กี่ตัว คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีทั้งฝูง!”
“จริงๆ… จริงๆ แล้วครั้งนี้จิ้งเทียนเองก็ลำบากไม่น้อย เขาเสี่ยงชีวิตช่วยให้เราหนีออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง!”
“แต่ถ้าไม่ใช่เขา พวกเราจะเจอเรื่องแบบนี้งั้นหรือ?”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังถกเถียงกัน ทุกคนก็ได้รับการทำแผลเกือบจะครบทั้งหมด เหลือเพียงแค่คนที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะกับคนที่ขาขาดไปท่อนหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ กู้จิ้งหยิบยาเพนิซิลลินออกมายื่นให้ผู้ป่วยหนักทั้งสอง
คิดไม่ถึงว่าท่านหมอเหลิ่งจะหันมามองแล้วกล่าวเสียงเย็น “ไม่ต้องกิน”
ผู้ป่วยหนักทั้งสองชะงัก พวกเขาหันไปมองท่านหมอเหลิ่งแล้วก็หันมามองกู้จิ้ง ไม่รู้ว่าควรกินหรือไม่ควรกินดี
กู้จิ้งหันไปมองท่านหมอเหลิ่ง
สายตาของทั้งคู่ประสานเข้าด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองสบตากันตรงๆ
“พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่าใช้ยาซึ่งมีที่มาไม่แน่ชัดจะดีกว่า” ท่านหมอเหลิ่งไม่พูดอะไรมาก คำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียวบอกชัดว่าจะไม่ยอมให้ใครโต้แย้งทั้งสิ้น
ผู้ป่วยหนักทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็จำต้องยื่นยาเพนิซิลลินคืนมาให้กู้จิ้ง
กู้จิ้งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปรับยามาเก็บใส่กระเป๋า
เพนิซิลลินเป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในช่วงสงครามมันถือได้ว่ามีฐานะไม่ต่างจากยาวิเศษเลยทีเดียว ในช่วงทศวรรษที่สี่สิบของจีน ยาวิเศษชนิดนี้ยังขาดแคลนมาก จนกระทั่งถึงทศวรรษที่ห้าสิบถึงได้มีการสร้างโรงงานผลิตยาปฏิชีวนะแห่งแรกของจีนขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ สถานการณ์ขาดแคลนยาปฏิชีวนะในประเทศจีนถึงได้เปลี่ยนแปลงไป
หากอยู่ในยุคปัจจุบัน ยาเม็ดเพนิซิลลินวีที่ดูไม่มีอะไรพิเศษก็เป็นแค่ยาธรรมดาๆ ชนิดหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ในสมัยโบราณเมื่อหนึ่งพันปีก่อน มันก็ไม่ต่างอะไรจากโอสถทิพย์ของเซียน
แต่เห็นได้ชัดว่าหมอสมัยโบราณไม่รู้วิชาแพทย์ยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดด้วยว่าในใจของผู้ป่วยหนักทั้งสอง ต้าเซียนซึ่งเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งหมาดๆ เช่นเธอยังไม่อาจเทียบกับ ‘ท่านหมอเหลิ่ง’ ซึ่งยึดครองอาณาเขตเขาเว่ยอวิ๋นมานานปีได้
“ยานี่จะช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขามีไข้สูง หากวันหลังคิดว่าพวกเขามีความจำเป็นต้องกินก็มาหาฉันก็แล้วกัน”
กู้จิ้งไม่อาจบังคับให้ใครกินยา ยิ่งรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของท่านหมอเหลิ่งได้ในชั่วพริบตา ดังนั้นจึงได้แต่พูดเช่นนี้
ท่านหมอเหลิ่งมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ในความเรียบเฉยนั้นยังแฝงด้วยความดื้อรั้นอยู่หลายส่วน “ไม่จำเป็น”
ชายผิวขาวแต่งกายเรียบร้อย ดูๆ ไปก็มีความเย่อหยิ่งถือดีเยี่ยงพวกบัณฑิต
กู้จิ้งยิ้ม จากนั้นจึงหันไปกำชับผู้ป่วยหนักทั้งสองโดยไม่พูดกับท่านหมอเหลิ่งอีก “ครั้งก่อนเด็กในหมู่บ้านที่มีอาการสี่หกคนนั้นหายได้ด้วยยาชนิดนี้ หากพวกคุณต้องการ ฉันจะให้สักสองเม็ด”
กล่าวจบ เธอก็ตั้งท่าจะเดินไปหาเซียวเถี่ยเฟิงที่หลังบ้านโดยไม่คิดจะสนใจอะไรอีก
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปได้สองก้าวก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากด้านนอก “ลิ่วจื่อของข้าถูกหมาป่าฆ่าตายไปแล้ว ข้าช่างอาภัพเหลือเกิน!”
กู้จิ้งหันกลับไปมองก็เห็นสตรีใบหน้าหยาบกร้าน ผิวดำคล้ำคนหนึ่งกำลังจูงเด็กน้อยซึ่งมีน้ำมูกไหลย้อยสองคนเอาไว้
“ต่อไปข้าจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง!”
ระหว่างที่ร้องไห้คร่ำครวญ ร่างของนางแทบจะทรุดลงกับพื้น คนอื่นๆ จึงรีบเข้ามาช่วยกันประคองเอาไว้ ทำให้สถานการณ์ดูวุ่นวายมาก
ในตอนนั้นเอง จ้าวฝูชางกับเซียวเถี่ยเฟิงก็เดินกลับมาจากเรือนด้านหลัง
จ้าวฝูชางเดินไปประคองสตรีนางนั้นให้ลุกขึ้นด้วยตัวเอง “เมียลิ่วจื่อ วางใจเถิด ต่อไปเรื่องของครอบครัวเจ้าก็เป็นเรื่องของคนทั้งหมู่บ้าน เป็นเรื่องของเขาเว่ยอวิ๋น เป็นเรื่องของตระกูลจ้าวเรา หากตระกูลจ้าวเรามีข้าวกิน ลูกทั้งสองของเจ้าก็ต้องมีข้าวกินด้วย!”
สตรีนางนั้นได้ยินเช่นนี้กลับร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
“ต่อให้คนอื่นช่วยเหลือมากแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบกับผัวของข้าได้ สงสารลูกสองคนของข้า อายุแค่นี้ก็ต้องเสียพ่อไป ต่อไปคงมีแต่ต้องถูกคนอื่นข่มเหงรังแก!”
“เมียลิ่วจื่อ เจ้าพูดแบบนี้เท่ากับไม่เชื่อใจข้า มีข้าจ้าวฝูชางอยู่ จะปล่อยให้พวกเจ้าสามคนถูกข่มเหงได้อย่างไร?”
ทันใดนั้น สตรีนางนั้นก็ลุกพรวดขึ้นพลางร้องตะโกนว่า “ตอนนี้ข้ายังจะทำอะไรได้อีก ข้าไม่มีผัว เราเป็นแม่ม่ายลูกกำพร้า ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ข้าก็มีแต่ต้องเชื่อเท่านั้น!”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่มองหน้ากัน ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมียลิ่วจื่อไม่ไว้หน้าหัวหน้าพรานเฒ่าสักนิด
“เมียลิ่วจื่อ เจ้าพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ ลิ่วจื่อเกิดเรื่อง มีใครบนเขาเว่ยอวิ๋นไม่เสียใจบ้าง เราต่างก็อยากช่วยเหลือพวกเจ้า ดูซิว่าจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง?”
“ทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง…” เมียลิ่วจื่อได้ยินเช่นนี้ก็ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ด้วยท่าทางประชดประชัน “ผัวตัวอุ่นๆ ที่เคยนอนอยู่บนเตียงของข้า ตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่กองกระดูก แต่พวกท่านกลับพูดง่ายๆ แค่ว่าจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง จ้าวฝูชาง ข้าว่าท่านฆ่าพวกเราสามแม่ลูกไปด้วยเสียเลยก็หมดเรื่อง จะได้ไม่ต้องอยู่รกหูรกตาท่านอีก!”
สีหน้าของจ้าวฝูชางเปลี่ยนไปทันที เขามองเมียลิ่วจื่อพลางส่ายหน้าด้วยความจนใจ “เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ต่างจากการใส่ร้ายผู้คน ข้าจ้าวฝูชางคิดทำเพื่อหมู่บ้านของเรา คิดทำเพื่อลิ่วจื่อมาโดยตลอด แบบนี้ก็ผิดด้วยหรือ? พวกเจ้าแม่ม่ายลูกกำพร้า ข้าย่อมต้องช่วยเหลือสุดความสามารถ วันนี้ทุกคนอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว จะได้เป็นพยานว่าต่อไปข้าจ้าวฝูชางจะเป็นคนรับผิดชอบหาอาหารและเสื้อผ้าให้เด็กสองคนนี้เอง! จะให้ข้ารับพวกแกเป็นหลานบุญธรรมก็ได้!”
คิดไม่ถึงว่าภรรยาม่ายของลิ่วจื่อไม่เพียงไม่รับน้ำใจ แต่ยังถ่มน้ำลายใส่หน้าของจ้าวฝูชางอีกด้วย
จ้าวฝูชางเป็นใคร เขาเป็นหัวหน้าพรานมาหลายปี ตระกูลจ้าวเองก็เป็นตระกูลใหญ่บนเขาเว่ยอวิ๋น เป็นบุคคลที่เพียงกระทืบเท้าก็ทำให้เขาเว่ยอวิ๋นต้องสั่นสะเทือน คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ต้องมาถูกหญิงชาวบ้านยากจนคนหนึ่งถ่มน้ำลายใส่หน้าเช่นนี้
ทุกคนต่างกลั้นหายใจนิ่ง แม้กระทั่งคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ไม่กล้าหายใจแรงๆ
คราวนี้จะทำยังไงกัน?
ภรรยาม่ายของลิ่วจื่อเชิดหน้าขึ้นพลางยกมือขึ้นชี้หน้าด่าจ้าวฝูชาง “จ้าวฝูชาง คิดว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือว่าทำไมลิ่วจื่อของข้าถึงต้องตาย? เพราะถูกลูกชายของท่านทำร้ายน่ะสิ! ทุกคนต่างก็บอกแล้วว่าที่นั่นมีหมาป่า แต่ลูกชายท่านจ้าวจิ้งเทียนไม่ยอมรับฟังคำเตือนของใคร ดึงดันจะพาทุกคนไปเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่า! ลิ่วจื่อของข้าเป็นคนขี้ขลาด รักตัวกลัวตาย พอบอกว่าไม่ไปก็ถูกเขาถลึงตาใส่ สุดท้ายเป็นยังไง เข้าไปแล้วก็เจอกับหมาป่า ลิ่วจื่อของข้าไม่เหลือแม้แต่กระดูก! ไม่เหลือแม้แต่กระดูก!”
กล่าวจบนางก็ผลักลูกทั้งสองไปยืนตรงหน้าจ้าวฝูชาง “ท่านดู ท่านดู พวกเขาเพิ่งอายุเท่าไหร่ คนหนึ่งสี่ขวบ อีกคนสองขวบ อายุน้อยจนยังพูดไม่เป็น! แม้กระทั่งพ่อก็เรียกไม่ได้ สุดท้ายพ่อของพวกเขากลับตายไปแล้ว! ต่อไปท่านจะให้ข้าบอกลูกว่ายังไง บอกว่าพ่อของพวกเจ้าตายไปในการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง ตายอยู่ในฝูงหมาป่า อาจิ้งเทียนของพวกเจ้าเป็นคนพาเขาไปตาย หลังจากตายแล้ว แม้แต่กระดูกก็ยังแย่งเอากลับมาไม่ได้อย่างนั้นรึ?!”