ท่านหมอเฉินพูดไม่ออก เขากระตุกแขนเสื้อของกู้จิ้งเบาๆ “เข้าไปแล้วก็บอกว่าเจ้าเป็นลูกสาวของข้า ชื่อเฉินจิ้ง เข้าใจไหม? อย่าพูดผิดล่ะ”
กู้จิ้งรีบพยักหน้า “ได้ ฉันจำได้แล้ว เฉินจิ้ง”
ระหว่างที่พูด พวกเขาก็เดินไปถึงระเบียงทางเดินแห่งหนึ่งและถูกส่งมอบต่อให้สตรีนางหนึ่งซึ่งมีท่าทางเหมือนแม่บ้าน แม่บ้านผู้นั้นมีสีหน้าร้อนใจมาก นางนำพวกเขาเดินเข้าไปข้างในพลางร้องเร่งว่า “เร็วหน่อย อย่ามัวชักช้าอยู่!”
หมอทั้งหลายได้ยินเช่นนี้หัวใจก็หนักอึ้ง สีหน้ายิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม พวกเขารีบสาวเท้าเดินตรงไปยังเรือนด้านหลังของจวนอ๋อง ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดก็ไปถึงเรือนหลังหนึ่ง ทิวทัศน์ในเรือนหลังนี้งดงามกว่าด้านนอกมาก แถมทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ก็ดูสูงสง่ากว่าบริเวณอื่นๆ มากนัก
กู้จิ้งกับท่านหมอเฉินรวมทั้งหมอคนอื่นๆ ถูกไล่เข้าไปในเรือนราวกับเป็ดที่ถูกไล่ต้อนจนไปหยุดอยู่ที่ใต้ชายคาห้องห้องหนึ่ง
“ลวี่ฮูหยินป่วยหนัก เชิญทุกท่านเข้ามาตรวจชีพจรให้ฮูหยินด้วย ท่านอ๋องทรงตรัสแล้วว่าหากใครสามารถรักษาลวี่ฮูหยินได้ จะมีรางวัลใหญ่ให้”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นจึงทยอยเข้าไปตรวจดูอาการของลวี่ฮูหยิน
กู้จิ้งรีบเดินตามท่านหมอเฉินไปพลางพยายามแทรกเข้าไปข้างใน
หมอคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็อดขันไม่ได้ แต่พวกเขาก็หัวเราะไม่ออก
เห็นชัดๆ ว่าไปรนหาที่ตาย นางคิดว่ามีเงินแจกอย่างนั้นหรือ?
แม่บ้านผู้นั้นมองกู้จิ้งแล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงชี้ไปที่หมอหลายคน “ท่านหมอท่านนี้ ท่านนี้ แล้วก็ท่านนี้กับท่านนี้ เชิญเข้ามา”
กู้จิ้งย่อมรู้ดีว่าคนอื่นคิดกับเธออย่างไร แต่ยามนี้เธอไม่มีเวลามาสนใจ เห็นแม่บ้านไม่เลือก เธอก็นึกอยากบุกเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอดนัก แต่กู้จิ้งรู้ดีว่าที่นี่ไม่ใช่โลกในยุคปัจจุบัน ที่นี่คือสมัยศักดินาที่ฮ่องเต้มีอำนาจสูงสุด อู่อ๋องผู้นี้เป็นหลานของอดีตฮ่องเต้ ตอนนี้ยังลุกฮือก่อกบฏเพื่อแย่งชิงตำแหน่งโอรสสวรรค์ อยู่ในจวนของบุคคลเช่นนี้ย่อมไม่อาจทำอะไรวู่วาม ไม่เช่นนั้นอาจต้องเอาชีวิตมาทิ้งง่ายๆ เธอจึงได้แต่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดก็ถึงคราวของกู้จิ้งกับท่านหมอเฉิน พอก้าวเข้าไปก็พบว่าในห้องมีม่านกั้นหลายชั้น มีกลิ่นหอมกรุ่นกำจาย ซ้ำยังมีสาวใช้รูปร่างหน้าตางดงามหลายคนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดแกมร้อนใจ
สาวใช้เลิกม่านขึ้น เผยให้เห็นแขนเรียวบางข้างหนึ่งที่ยื่นออกมา ท่านหมอเฉินจึงก้าวเข้าไปตรวจชีพจรดู
กู้จิ้งเห็นมือข้างนั้นมีเหงื่อชื้นซ้ำยังมีผื่นแดงก็เขย่งเท้ามองลอดม่านเข้าไป เห็นสตรีนางหนึ่งกำลังหลับใหลไม่ได้สติ ใบหน้าซีดขาว พอเงี่ยหูฟังก็พบว่าลมหายใจของนางถี่กระชั้นมาก
น่าจะเป็นอาการแพ้ยาเพนิซิลลินไม่ผิดแน่
กู้จิ้งกำลังจะอ้าปากพูด แม่บ้านคนนั้นกลับขมวดคิ้วพลางหันมาจ้องหน้าเธอ “แม่นางท่านนี้ออกไปก่อนเถิด”
ให้เธอออกไป?
กู้จิ้งรีบก้าวออกไปข้างหน้า “พี่สาวท่านนี้ อาการป่วยของฮูหยินเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาวิเศษของตระกูลลั่วแห่งเหอหนานอย่างนั้นหรือ?”
แม่บ้านมองเธอด้วยสายตางุนงง “ใช่”
กู้จิ้งรีบกล่าวต่อ “ให้ฉันลองรักษาดูได้ไหม บางทีฉันอาจจะรู้วิธีรักษาก็ได้”
อาการแพ้ยาเพนิซิลลินจะว่าเบาก็เบาจะว่าหนักก็หนัก ตอนนี้ไม่มียาสมัยใหม่ที่จะนำมาใช้ได้ เธอจึงได้แต่ลองใช้ยาสมุนไพรมาบรรเทาอาการเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่กล้าตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะเพราะกลัวจะนำภัยมาถึงตัว
แม่บ้านขมวดคิ้วพลางจ้องกู้จิ้งตาเขม็ง “เจ้ามั่นใจไหม?”
กู้จิ้งจนใจ สุดท้ายก็จำต้องกล่าวว่า “ไม่ แค่ลองดูเท่านั้น”
แม่บ้านเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าออกไปก่อน”
กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อใจเธอ เธอจึงจำต้องออกไป
ถึงอย่างไรอาการแพ้ของลวี่ฮูหยินก็ไม่รุนแรงมาก ลองสังเกตการณ์ดูก่อนก็ได้ว่าหมอคนอื่นๆ จะทำอย่างไร
ไม่นานนักหมอทุกคนก็ถูกเรียกไปที่ห้องโถงแห่งหนึ่ง คนที่นั่งอยู่กลางห้องนั้นเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าปี สวมชุดพญางู ศีรษะสวมมงกุฎทองคำ
“พวกเจ้าล้วนเป็นหมอสินะ?” คนผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาไม่เลว แต่เสียดายที่พอเอ่ยปากก็ให้ความรู้สึกเหมือนพวกชาวบ้านหยาบกร้านไม่มีผิด
“ขอรับ พวกข้าล้วนเป็นหมอ” หมอทั้งหลายรีบลนลานพยักหน้า
“หากใครสามารถรักษาลวี่ฮูหยินได้ ข้าจะมีรางวัลใหญ่ให้ แต่หากลวี่ฮูหยินเป็นอะไรไป ข้าจะตัดหัวพวกเจ้าซะ!” อู่อ๋องถลึงตา “ไม่ว่าใครเป็นคนรักษา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลวี่ฮูหยิน พวกเจ้าต้องตายทุกคน!”
หมอทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับขนหัวลุก สองขาอ่อนแรง หมอคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าท่านหมอหลี่กล่าวว่า “ท่านอ๋อง ลวี่ฮูหยินเป็นเช่นนี้เพราะตกใจมากเกินไป ส่งผลให้ชี่หัวใจพร่อง หัวใจเต้นแรง มีเหงื่อออกทั้งที่อากาศไม่ร้อนและไม่ได้ออกแรง ต้องนำไตหมูมาเคี่ยวจนเหลือน้ำหนึ่งถ้วยครึ่ง เติมโสมซอยละเอียดครึ่งตำลึง, ตังกุยครึ่งตำลึง เคี่ยวจนเหลือน้ำแปดส่วน จากนั้นก็รับประทานไตหมูกับน้ำแกงลงไป รับรองว่าต้องหายเป็นปกติแน่”
ท่านหมอหลี่พูดจนน้ำลายแตกฟอง แต่เสียดายที่ถูกท่านหมอหูซึ่งมีผมขาวโพลนตัดบทเสียก่อน
“ท่านอ๋อง ตามความเห็นของผู้น้อย นี่เป็นอาการตับและกระเพาะอาหารไม่สมดุลกัน ชี่และเลือดพร่อง ส่งผลให้ใบหน้าซีดขาว เวียนศีรษะ หูอื้อ ใจสั่น หายใจลำบาก อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง ต้องบำรุงชี่และเลือดก่อน”
หากเป็นยามปกติ เขาคงไม่โต้แย้งความเห็นของผู้อื่นง่ายๆ เช่นนี้ เพราะอย่างน้อยก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง แต่ตอนนี้หากมีใครตรวจผิด รักษาลวี่ฮูหยินไม่ได้ ทุกคนต้องพลอยเคราะห์ร้ายกันหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครเกรงใจใครอีก
“ไม่ๆๆ ท่านหมอหู แม้ท่านจะเป็นหมอที่มีประสบการณ์สูง แต่ข้าน้อยไม่เห็นด้วย…”
“ท่านอ๋อง ผู้น้อยเห็นว่าเป็นอาการชี่ติดขัด เลือดคั่ง…”
“ท่านอ๋อง ใบหน้าซีดขาว เวียนศีรษะ ใจสั่น หายใจลำบาก รู้สึกหนาวทั้งที่อากาศไม่หนาว สมควรรับประทานน้ำแกงปาเจิน…”
“ท่านอ๋อง ตามความเห็นของผู้น้อย น่าจะเป็นอาการบ่งบอกถึงอาการปวดประจำเดือน…”
“ท่านอ๋อง ผู้น้อยคิดว่าฮูหยินน่าจะตั้งครรภ์ขอรับ!”
เหตุผลต่างๆ นานาถูกยกมาแอบอ้าง เทียบยามากมายถูกนำมาเสนอ
อู่อ๋องมองคนนั้นทีคนนี้ที เดี๋ยวก็ว่าเป็นอาการชี่ติดขัดเลือดคั่ง เดี๋ยวก็ว่าเป็นอาการชี่และเลือดพร่อง เดี๋ยวก็ว่าเป็นเพราะประจำเดือนมา เดี๋ยวก็ว่าเป็นเพราะตั้งครรภ์ เดี๋ยวก็ว่าเป็นเพราะตกใจมากเกินไป เดี๋ยวก็ว่าเป็นเพราะถูกความเย็น…
ในที่สุดเขาก็ตบโต๊ะแล้วร้องตวาดด้วยความโมโห “หุบปากเดี๋ยวนี้!”
หมอทั้งหลายเงียบกริบ ร่างทั้งร่างสั่นระริก พวกเขารู้สึกได้ว่าอีกไม่นานหัวของตัวเองคงไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่าอีกต่อไป
“พวกเจ้าเลือกคนหนึ่งออกมารักษา เขียนเทียบยา ถ้ารักษาหายจะได้ทองคำร้อยตำลึงเป็นรางวัล แต่ถ้ารักษาไม่ได้ ต้องตายทั้งหมด”
ทองคำหรือความตาย ที่นี่มีหมอสิบเจ็ดคน นี่คือคำถามแบบปรนัยที่มีตัวเลือกสิบเจ็ดตัวเลือก
หมอทั้งหลายมองหน้ากันไปมา ใจก็คิดว่าควรเลือกใครไปรักษาดี
กู้จิ้งรู้ว่าถึงเวลาที่ตัวเองควรออกโรงแล้ว เธอจึงลุกขึ้นพูดว่า “ให้ฉันไปเถอะ”
สิ้นเสียงของเธอ ทุกคนก็หันมามองเป็นตาเดียว แต่จากนั้นก็พากันส่ายหน้า
“ทำไมนางถึงตามมาด้วย?”
“วิชาแพทย์ของนางใช้ไม่ได้!”
“ผู้หญิงเป็นหมอได้ยังไง แถมยังอายุน้อยขนาดนี้!”
ท่านหมอหูซึ่งอายุมากแล้วส่ายหน้าพลางถอนใจ “หมอกู้ ไม่ได้นะ เราจะฝากชีวิตของทุกคนไว้กับเจ้าไม่ได้”
คนอื่นๆ ก็พากันสนับสนุน “ใช่ ไม่ได้เด็ดขาด ข้าว่าให้ท่านหมอหูเป็นคนรักษาดีหรือไม่?”
บางคนเสนอตัวเอง “ทุกท่านโปรดฟังข้าสักคำ เทียบยาของข้าต้องได้ผลแน่ ให้ข้าลองดูเถอะ…”
ท่ามกลางเสียงดังเอะอะในห้องนั้น อู่อ๋องมองกู้จิ้งด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางกล่าวเสียงเย็นว่า “นี่ใคร ทำไมถึงมีผู้หญิงด้วย?”
แม่บ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “นางเป็นบุตรสาวของท่านหมอเฉิน ชื่อ…”
หันไปถามกู้จิ้ง “ชื่ออะไรนะ?”
กู้จิ้งรีบตอบ “ผู้น้อยชื่อเฉินจิ้ง”
แม่บ้านค่อยกล่าวต่อว่า “นางชื่อเฉินจิ้ง ติดตามท่านหมอเฉินมา บ่าวเห็นว่านางเป็นหญิง เวลารักษาจะได้สะดวกขึ้นเจ้าค่ะ”
อู่อ๋องลูบคางซึ่งประดับด้วยเคราสั้นๆ “มีเหตุผล”
เขาหันมาถามกู้จิ้ง “เมื่อครู่เจ้าเสนอตัวรักษาอาการป่วยให้ฮูหยิน มีวิธีรักษาแล้วอย่างนั้นหรือ?”
กู้จิ้งตอบเสียงดังฟังชัด “ผู้น้อยพอจะรู้วิธีรักษาอยู่บ้าง”
พอจะรู้อยู่บ้าง?
หมอคนอื่นๆ รวมทั้งท่านหมอเฉินต่างหลั่งเหงื่อเย็นเยียบด้วยความตื่นตระหนก ใจนึกอยากจะไปลากผู้หญิงที่ทำอะไรวู่วามผู้นี้กลับมา แค่พอจะรู้อยู่บ้างก็กล้าเสนอหน้าออกไปรักษางั้นรึ?
ไม่ๆๆๆ พวกเขาต้องรีบเลือกใครสักคนออกมา ไม่ว่าใครก็น่าเชื่อถือกว่าผู้หญิงคนนี้ทั้งนั้น!
หมอทั้งหลายมองหน้ากันไปมา สุดท้ายพวกเขาก็หันไปใช้สายตาบีบบังคับท่านหมอเฉิน ในเมื่อเป็น ‘ลูกสาว’ เจ้า เจ้าก็รีบไปลากกลับมาซะ
ท่านหมอเฉินถูกทุกคนใช้สายตากดดันก็ได้แต่ถอนใจยาว จากนั้นจึงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ลูกพ่อ เรื่องนี้เจ้าไม่น่าจะไหวนะ?”
คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งพูดจบ อู่อ๋องก็ถลึงตาใส่ “นางไม่ไหว ทำไมนางถึงจะไม่ไหว? เจ้าเป็นพ่อของนางรึเปล่า?!”
จริงๆ แล้วอู่อ๋องแค่ย้อนถามด้วยความไม่พอใจเท่านั้น แต่คำถามของเขากลับแทงใจดำเข้าพอดี
ท่านหมอเฉินไม่ได้เป็นพ่อของกู้จิ้ง ย่อมมีพิรุธอยู่ในใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าอู่อ๋องผู้ทรงอำนาจน่าเกรงขามเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าพูดว่าตัวเองเป็นพ่อของเธอ
“เจ้า…เจ้าจะว่ายังไง?”