นางบอกว่าอยากอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต ไม่พรากจากกันตลอดกาล
เซียวเถี่ยเฟิงย่อมเชื่อ
นางจะคิดแยกจากเขาได้อย่างไร
แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนเข้มแข็ง เขาคอยปกป้องนางมาตลอด ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาซบหน้ากับอกของนางแล้วหลับตาลงอย่างอ่อนล้าเพื่อซึมซับความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมกรุ่นของนาง
เขาเชื่อนาง แต่ไม่เชื่อโชคชะตา การที่จู่ๆ นางก็หายตัวไปในตอนนั้นทำให้เขาหวาดกลัวเหลือเกิน
ตอนนี้เขาหานางพบแล้ว แต่เขาก็เริ่มเหนื่อยล้า
เขาเอื้อมมือไปโอบรอบเอวบางของนางเอาไว้พลางถูไถแก้มกับทรวงอกของนางเบาๆ เสียงของเขาอ่อนโยนแกมแหบพร่า “หลายปีมานี้ ข้าคิดถึงเจ้าแทบตาย”
เธอก้มลงมาถูไถแก้มกับเส้นผมของเขาบ้าง “ฉันก็เหมือนกัน”
ตอนนั้นเธอบอกตัวเองว่าเขาแต่งงานกับบรรพบุรุษฝ่ายหญิงไปแล้ว เธอจะปรากฏตัวไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นถึงได้บังคับตัวเองให้ไปจากเขาเว่ยอวิ๋น บังคับตัวเองไม่ให้ย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเวลานั้นอีก แต่ในยามค่ำคืนเมื่ออยู่คนเดียว เธอไม่เคยคิดจริงๆ หรือ?
ที่ว่าไม่สนใจ เป็นแค่การหลอกตัวเอง แต่ถ้าเธอไม่หลอกตัวเอง ยังจะทำอะไรได้อีก?
“ตอนที่ฉันคิดว่านายแต่งงานกับคนอื่น ฉันแค้นใจมาก ฉันอยากให้เวลาย้อนกลับไป อยากให้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง…”
แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่า ที่แท้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่คำโกหกที่น่าขัน ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องที่เธอจินตนาการไปเอง เป็นเรื่องที่เธอหลอกตัวเอง
เธอเชื่อกฎเกณฑ์ประวัติศาสตร์มากเกินไป สนใจลูกหลานรุ่นหลังอย่างคุณยายมากเกินไป จนทำให้ตัวเองแยกแยะเรื่องจริงกับเรื่องเท็จไม่ได้
“ตอนนี้ ดีจริงๆ…”
ชายหนุ่มในอ้อมอกเริ่มแหวกอกเสื้อของเธอออกเบาๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปขบช้าๆ ทำให้น้ำเสียงของเธอเริ่มเปลี่ยน
“อย่าทำแบบนี้” เธออยากบอกเขาว่านี่ยังอยู่บนรถนะ ระวังคนอื่นจะได้ยินเข้า แต่การกระทำของเขาทำให้เธอพูดไม่ออก ได้แต่หลับตานิ่งเท่านั้น
รถม้าโยกเยกไปมา มือทั้งสองของเธอกำราวจับที่ด้านข้างแน่น เพราะกลัวตัวเองจะส่งเสียงออกมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอได้แต่นอนตัวอ่อนอยู่ตรงนั้น ความคิดเดียวที่เหลืออยู่ในหัวคือ ความโคลงเคลงของรถม้าบวกกับฝีไม้ลายมือของเขา เป็นอาวุธร้ายที่ยากจะต้านทานจริงๆ
“ชอบไหม?” เสียงทุ้มต่ำไพเราะของชายหนุ่มดังขึ้นที่ข้างหู ปะปนกับเสียงของผู้คนที่เดินผ่านไปมาที่ด้านนอก
“ไม่ชอบ” ต่อให้เธอเป็นคนเปิดเผยมากแค่ไหน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็อดเขินอายไม่ได้ เธอจึงจงใจตำหนิเขาคำหนึ่งก่อนจะมุดเข้าไปในอ้อมอกของเขา
“ไม่ชอบ ก็ดี เรามาทำกันอีกรอบ” ชายหนุ่มกอดเธอเอาไว้แล้วตั้งท่าจะเริ่มใหม่
“อย่าๆๆ!” เธอรีบยกมือขึ้นหยิกเอวเขาด้วยความตกใจ ตานี่บ้ากามจริงๆ!
“เราแยกจากกันนานขนาดนี้ ข้าย่อมต้องกินให้สะใจ หลายปีมานี้ข้าอดอยากแทบตายแล้ว” ชายหนุ่มกระซิบเบาๆ ตรงข้างหู
เธอกัดริมฝีปากพลางออกแรงผลักเขาแรงขึ้น
หากทำอีกรอบเธอต้องเหนื่อยตายแน่ เธอไม่มีเรี่ยวแรงมากขนาดนั้น ร่างทั้งร่างก็เหมือนจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ
ทันใดนั้น รถม้าก็หยุดอยู่กับที่
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว กำลังจะถามคนขับรถม้าว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านหน้า พอตั้งใจฟังให้ดีถึงได้รู้ว่า ที่แท้ก็มีคนเป็นลมหมดสติ
กู้จิ้งได้ยินคำว่าหมดสติก็คิดจะไปดู เซียวเถี่ยเฟิงจึงจำต้องช่วยสวมเสื้อผ้าให้ จากนั้นก็ตามเธอลงจากรถม้าไป
พอเดินไปถึงก็พบว่า ท่ามกลางกลุ่มคนนั้น มีคนคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้น เขามีผิวพรรณหมองคล้ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ลำตัวขดแน่น
เธอรีบตรวจชีพจรดูพลางเอ่ยถามอาการ คนคนนั้นก็ตอบติดๆ ขัดๆ ว่า “ข้าปวดหัว เหมือนมีขวานจามหัวข้าไม่มีผิด ร่างทั้งร่างปวดแสบปวดร้อนไปหมด หลังก็ปวด…”
กู้จิ้งขมวดคิ้ว จากนั้นก็รีบเลิกเสื้อเขาขึ้นตรวจดูแผ่นหลัง ทันใดนั้นเธอก็พบว่าบนหลังของเขามีรอยบวมแดงขนาดใหญ่
ผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความประหลาดใจ
กู้จิ้งนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พอจะคาดเดาได้ว่านี่คืออาการที่คนโบราณเรียกว่าฝีบนหลัง หากอยู่ในยุคปัจจุบัน หมอในสถานีอนามัยตามหมู่บ้านหรือตำบลเล็กๆ ที่ไหนก็สามารถรักษาได้
แต่เมื่ออยู่ในสมัยโบราณเช่นนี้ มันกลับเป็นโรคที่ร้ายแรงมากๆ หากไม่ระวังให้ดีก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ต่อให้บางครั้งมีหมอบางคนสามารถรักษาได้ก็ใช่ว่าจะเป็นเพราะมีวิชาแพทย์สูงส่ง แต่เป็นเพราะโชคดีต่างหาก การรักษาโรคนี้ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของคนไข้ หากสุขภาพแข็งแรง ภูมิต้านทานสูง หลังจากผ่านไปประมาณสามเดือน เนื้อเยื่อที่ติดเชื้อจะค่อยๆ ตายไปและมีเนื้อเยื่องอกขึ้นมาใหม่ แต่หากโชคไม่ดีก็มีแต่ต้องนอนรอความตายเท่านั้น
เท่าที่เธอรู้มา สวีต๋าสมัยราชวงศ์หมิงเป็นฝี กินห่านย่างไปตัวหนึ่งก็ตาย ยังมีฟ่านเจิงสมัยปลายราชวงศ์ฉิน, หลิวเปี่ยวกับเฉาซิวสมัยสามก๊ก, เมิ่งเฮ่าหรานสมัยราชวงศ์ถัง, จงเจ๋อสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ต่างก็เสียชีวิตด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษานี้ด้วยกันทั้งสิ้น แท้ที่จริงแล้ว สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ ไม่รู้จักดูแลรักษาความสะอาด, ขาดสารอาหารเป็นเวลานาน, ไม่มีวิธีฆ่าเชื้อที่ได้ผล และไม่มียาปฏิชีวนะ
ขอเพียงมียาปฏิชีวนะ ทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ในขณะที่กู้จิ้งกำลังจะสั่งให้ยกคนป่วยขึ้นไปบนรถม้าเพื่อพากลับไปรักษาที่บ้านนั้นเอง เธอเห็นคนสองคนวิ่งตรงมาอย่างเร่งร้อน พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นท่านหมอเฉิน ‘พ่อ’ ที่เธอเพิ่งรับเอาไว้ กับท่านหมอหูนั่นเอง
ท่านหมอเฉินกับท่านหมอหูดูเหมือนจะเป็นเพื่อนรักกัน พอทราบข่าวก็เร่งรุดมาด้วยกันทันที
ทั้งสองเห็นกู้จิ้งเข้าก็ประหลาดใจมาก โดยเฉพาะท่านหมอเฉิน “แม่นางกู้ เจ้าไม่ได้ติดตามคุณชายลั่วจากไปแล้วหรอกหรือ?”
กู้จิ้งยิ้ม “เดิมกำลังจะจากไปแล้วจริงๆ แต่บังเอิญระหว่างทางไปเจอกับสามีของฉันเข้าพอดี ฉันก็เลยติดตามเขากลับมา”
ได้ยินเช่นนี้ ทั้งสองก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม “สามี? เจ้าแต่งงานแล้วหรือ?”
กู้จิ้งพยักหน้า “อืม ใช่”
ระหว่างที่พูด เธอก็หันกลับไปชี้เซียวเถี่ยเฟิง “นี่คือสามีของฉัน เขาแซ่เซียว”
ครั้งก่อนหมอทั้งสองรอดชีวิตมาได้เพราะกู้จิ้ง พอกลับไปบ้านก็ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ สองขาอ่อนแรง ต้องนอนแบ็บอยู่บนเตียงถึงสองวัน หลังจากนอนอยู่สองวัน ทุกคนก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมกู้จิ้งถึงช่วยลวี่ฮูหยินได้?
เป็นเพราะความบังเอิญ หรือนางรู้วิธีรักษาจริงๆ?
ท่านหมอทั้งหลายปรึกษาหารือกันรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า หมอหญิงผู้นี้คงจะบังเอิญรู้วิธีรักษาจริงๆ บางทีนางอาจจะมีตำรับยาลับก็เป็นได้
อืม ต้องเป็นแบบนี้แน่ ไม่อย่างนั้นหมออายุน้อยขนาดนี้จะวิเคราะห์โรคเก่งกว่าพวกเขาได้อย่างไร
จะว่าไปการคาดเดาของพวกเขาก็ไม่ผิด แต่เห็นได้ชัดว่าแม้จะมีการคาดเดาที่ถูกต้องแต่พวกเขากลับได้ข้อสรุปที่ผิดพลาด ท่านหมอกู้คนนี้น่ะหรือ อายุยังน้อย มีตำรับยาลับแค่ตำรับเดียวก็กล้าเสนอหน้าไปหาอู่อ๋อง อนาคตข้างหน้าคงต้องลำบากไม่น้อย
ยามนี้พวกเขาสองคนได้ยินว่ามีคนเป็นลมหมดสติก็รีบวิ่งมา คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกู้จิ้งอยู่ที่นี่ด้วย
ยิ่งได้ยินกู้จิ้งบอกว่ามีสามีแล้ว พวกเขาก็ยิ่งตกใจ
ทั้งสองมองตามมือของกู้จิ้งไปก็พบว่า คนผู้นี้มีใบหน้าเคร่งขรึมทรงอำนาจ แววตาคมกริบ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่จะคบหาด้วยง่ายๆ ท่านหมอเฉินอดคิดไม่ได้ว่า หญิงสาวที่ดีแบบกู้จิ้งทำไมถึงได้ไปแต่งงานกับคนแบบนี้ ถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่จะเป็นผ้าเนื้อดี ท่าทางเหมือนมีฐานะสูงส่งเอามากๆ แต่กลับดูไม่เหมือนคนดีสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหมอเฉินยังต้องสะดุ้งด้วยความตกใจที่พบว่าตัวเองรู้จักคนคนนี้ เขาคือเทพแห่งความตายผู้มีชื่อเสียงสะท้านแผ่นดิน เซียวชูอวิ๋นผู้ไม่เคยแพ้ แม่ทัพใหญ่เซียวนั่นเอง!
ขาของเขาอ่อนยวบจนเกือบจะทรุดลงคุกเข่าตรงนั้น
แต่เซียวเถี่ยเฟิงไม่สนใจ เขาพยายามทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจมากที่สุด กู้จิ้งเห็นคนหมดสติย่อมอยากจะรักษา แต่หากมีใครจำเขาได้ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแน่
ท่านหมอหูไม่รู้ว่าสามีของกู้จิ้งเป็นใคร ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะตกใจแต่ก็แค่พยักหน้าให้เซียวเถี่ยเฟิงครั้งหนึ่งแล้วรีบไปตรวจดูอาการคนไข้ที่นอนอยู่บนพื้นทันที หลังจากตรวจดูเขาย่อมมองออกว่าเป็นอาการฝีบนหลัง ท่านหมอหูขมวดคิ้วแน่น “แย่แล้ว โรคนี้รักษาไม่ง่ายเลย”
ท่านหมอเฉินกำลังตกใจที่ได้เห็นหน้าเซียวเถี่ยเฟิง พอได้ยินท่านหมอหูพูดเช่นนี้จึงค่อยเรียกสติกลับคืนมาได้ เขารีบไปดูอาการคนเจ็บบ้าง “นี่มันฝีบนหลัง มีโอกาสรอดน้อยมาก!”
ระหว่างที่พูด ครอบครัวของผู้ป่วยก็มาถึง เป็นสตรีคนหนึ่งกับเด็กสามคน ทุกคนต่างตรงเข้ามาล้อมผู้ป่วยเอาไว้พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยเฉพาะสตรีนางนั้นยิ่งร้องไห้คร่ำครวญว่า “คราวนี้จะทำยังไงกัน ถ้าท่านเป็นอะไรไป ข้ากับลูกสามคนจะทำอย่างไร! ให้ข้ากับลูกๆ ต้องตายไปพร้อมกับท่านก็หมดเรื่อง!”
ท่านหมอหูถอนใจคำหนึ่งพลางส่ายหน้า “นี่เป็นอาการไอร้อนแทรกซึมเข้าไปในผิวหนัง ทำให้เส้นเอ็นและกระดูกแห้ง ส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายใน ชี่และเลือดพร่อง เส้นเอ็นกระดูกและเนื้อใต้บริเวณที่เป็นฝีล้วนไม่มีสภาพที่ดี ผิวหนังแข็งกระด้างคล้ายหนังวัว ยากจะรักษา! โชคดีที่ข้ามีตำรับยาอยู่ตำรับหนึ่ง เดี๋ยวจะเขียนให้ เจ้าเอาไปเจียดยาเถิด”