ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง – ตอนที่ 111 เจ้าไปที่ไหนมา

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง

เธอมองเซียวเถี่ยเฟิงพลางยิ้มอย่างยากลำบาก “พี่ล่ำ คุณยายของฉันเป็นลูกหลานรุ่นหลังของนาย คุณยายเก็บฉันมาเลี้ยงดูจนโต สอนวิชาแพทย์ให้ แถมยังมอบกระเป๋าหนังสีดำใบนี้ให้ฉัน หลังจากนั้นฉันก็อาศัยกระเป๋าใบนี้ย้อนกลับมาในอดีต คืนที่กลับมา ฉันบังเอิญเจอกับนายเข้าพอดี”

เซียวเถี่ยเฟิงยังคงขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเขามาก ตำราของคนโบราณอาจมีการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเซียนเกี่ยวกับปีศาจเกี่ยวกับพระ แต่ไม่เคยบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการข้ามเวลาเอาไว้เลย

เรื่องนี้ เขาคงยากจะเข้าใจได้

แต่กู้จิ้งยังคงกล่าวต่อไปเรื่อยๆ “ตอนที่เพิ่งมาถึงยุคสมัยนี้ใหม่ๆ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าตัวเองยังอยู่ในโลกอนาคตอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า ในยุคนั้นมักจะมีโจรลักพาตัวผู้หญิงไปขายที่หมู่บ้านล้าหลังไร้ความเจริญบนภูเขาบ่อยๆ ดังนั้นตอนที่เห็นนาย ฉันคิดว่าตัวเองถูกขายมายังหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยล้าหลังบนภูเขา ตอนนั้นก็เลยเข้าใจนายผิดไปหลายเรื่อง”

“แต่ต่อมาฉันก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีสาเหตุมาจากกระเป๋าใบนี้ ตอนนั้นคนตระกูลหนิงเอาฉันไปโยนทิ้งไว้ในป่าลึก กระเป๋าใบนี้พาฉันไปยังโลกอนาคตในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า ฉันถูกลูกหลานตระกูลเซียวในหนึ่งพันปีข้างหน้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โชคชะตาก็ส่งฉันกลับมายังอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อนอีกครั้ง”

“จริงๆ แล้วเมื่อก่อนฉันหลอกนาย เรื่องเหินฟ้าดำดินอะไรนั่นก็ไม่ใช่อาคมหรือเวทมนตร์อะไรทั้งนั้น นั่นเป็นพาหนะสำหรับเดินทางที่ธรรมดามากๆ ในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า ก็เหมือนกับที่คนเราคิดค้นรถม้าขึ้นใช้แทนการเดิน หลังจากนั้นพาหนะเหล่านี้ได้ถูกพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสิ่งที่คนโบราณไม่รู้จัก ยาของฉันเองก็ใช่ มันเป็นยาที่ใช้กันทั่วไปในยุคสมัยของฉัน ไม่ใช่ยาวิเศษ แล้วก็ไม่ใช่ยาที่ฉันปรุงขึ้นด้วย”

“ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมยาพวกนั้นถึงถูกสร้างขึ้นใหม่เรื่อยๆ ฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะกระเป๋าใบนั้นเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงระหว่างสองช่วงเวลา พอฉันใส่ข้าวของซึ่งเป็นของในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้าเข้าไปในกระเป๋า ก็หมายความว่าของในสมัยหนึ่งพันปีข้างหน้าถูกนำมาอยู่ในช่วงเวลานี้ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะถูกใช้ไปในช่วงเวลานี้ มันก็จะถูกสร้างขึ้นใหม่ตามกฎทรงมวลของสสารอยู่ดี”

กู้จิ้งพูดความคิดของตัวเองออกมารวดเดียว แต่ในขณะที่เธอกำลังจะอธิบายต่อ เซียวเถี่ยเฟิงกลับพูดตัดบทขึ้นเสียก่อน

“ถ้าอย่างนั้นทำไมจู่ๆ เจ้าถึงได้หายตัวไปเล่า? เจ้าไปที่ไหนมา กลับไปยังโลกอนาคตในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้าอย่างนั้นหรือ?”

กู้จิ้งมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้ดูตื่นตะลึงและสงสัยเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่ดูเหมือนพอจะเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว?

“ข้าวของที่ฉันใช้ในการรักษาหลายอย่างล้วนหยิบออกมาจากกระเป๋าใบนี้ วันนั้น ฉันรู้สึกเบื่อก็เลยมุดเข้าไปในกระเป๋า พอเข้าไปแล้วจู่ๆ ก็นึกอยากสำรวจดูว่าในนั้นมีอะไรบ้าง ฉันก็เลยสำรวจอยู่ประมาณหนึ่งชั่วยาม”

พูดถึงตรงนี้ เสียงพูดของเธอก็ค่อยๆ ช้าลง

นี่เป็นเรื่องที่ทั้งจนใจทั้งน้ำเน่าเสียเหลือเกิน

“หลังจากนั้นล่ะ?” ลมหายใจของเซียวเถี่ยเฟิงแทบจะหยุดชะงัก น้ำเสียงก็เริ่มเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าเขาทายได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในกระเป๋า ทำให้กู้จิ้งจำเป็นต้องจากเขาไป

“หลังจากนั้น…” กู้จิ้งไม่อยากจะใจร้ายเปิดเผยความจริงเลยจริงๆ “รอจนฉันเที่ยวเล่นอยู่ในนั้นอยู่หนึ่งชั่วยามแต่ไม่พบอะไร ฉันก็มุดกลับออกมา”

“หลังจากนั้นล่ะ?” เซียวเถี่ยเฟิงรีบถาม

“พอมุดออกมาจากกระเป๋า ฉันก็พบว่าเวลาผ่านไปสามปีแล้ว”

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วแน่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ

กู้จิ้งรู้ว่าต้องให้เวลาเขาทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงนิ่งเงียบไปบ้าง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเถี่ยเฟิงก็เงยหน้าขึ้นจ้องกระเป๋าหนังสีดำบนบ่าของเธอแล้วเอ่ยถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ ในกระเป๋าใบนี้เป็นอีกกาลเวลาหนึ่ง เวลาในกระเป๋าเร็วกว่าหรือไม่ก็ช้ากว่าเวลาข้างนอก ซ้ำยังอาจย้อนเวลากลับไปได้?”

ทั้งสามารถข้ามจากช่วงเวลานี้ไปยังอนาคตหนึ่งพันปีข้างหน้า ทั้งสามารถย้อนเวลากลับมาในช่วงเวลานี้ ยิ่งทำให้กู้จิ้งข้ามช่วงเวลาสี่ปีไปได้ในชั่วพริบตา

“ใช่ นี่คือสิ่งที่เราเรียกกันว่าไทม์แมชชีน สามารถข้ามเวลาได้ตามใจชอบ แต่เสียดายที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันใช้งานยังไง ทำไมถึงข้ามเวลาพันปีได้ในชั่วพริบตา ตอนนั้นฉันเที่ยวเล่นอยู่ในกระเป๋าไม่นานเลย แต่พอออกมาเวลากลับผ่านไปสามปีแล้ว ตอนที่ฉันโผล่ออกมาจากกระเป๋า ข้างนอกมีหิมะตก อากาศหนาวมาก ฉันตกใจมาก ใจคิดว่าจะต้องรีบไปดูว่านี่เป็นช่วงเวลาไหนกันแน่ คิดไม่ถึงว่าพอกลับไปถึงหน้าบ้านของเรา ฉันกลับเจอกับหนิวปาจินเข้า จากนั้น เขาก็พูดอะไรบางอย่างกับฉัน ทำให้ฉันเข้าใจผิดคิดว่านายแต่งงานมีลูกไปแล้ว ถึงอย่างไร…”

กู้จิ้งกัดริมฝีปากก่อนจะถอนใจเบาๆ “ถึงอย่างไรนายก็สมควรมีลูกหลานสืบสกุลจริงๆ”

นึกถึงเรื่องลูกหลานรุ่นหลังที่เธอพูดเมื่อครู่ คิ้วของเซียวเถี่ยเฟิงก็ขมวดแน่น “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ยายของเจ้าเป็นลูกหลานของข้า?”

กู้จิ้งเหลือบตามองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาน้อยอกน้อยใจ “ใช่ ยายของฉันเป็นคนตระกูลเซียวแห่งเขาเว่ยอวิ๋น ตระกูลเซียวมีศาลบรรพชนอยู่ ทุกปีจะมีพิธีเซ่นไหว้บรรพชน ฉันเคยเห็นชื่อของนายอยู่ในม้วนรายชื่อบรรพชน นายเป็นบรรพบุรุษของเรา อนาคตนายจะมีลูกชายหลายคนเลยทีเดียว!”

ตอนนี้คิดขึ้นมาก็ยังปวดใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนไหนเป็นคนคลอดลูกให้เขา!

“ลูกชายหลายคนของข้ามาจากไหนกัน?”

“ฉันจะรู้ได้ยังไง ฉันต่างหากที่ต้องถามนายว่าเคยมีใครมีลูกให้นายหรือเปล่า?”

มุมปากของเซียวเถี่ยเฟิงกระตุก ในใจนึกจนใจเหลือเกิน แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เมื่อก่อนเจ้าชอบเรียกข้าว่าท่านบรรพบุรุษ เพราะแบบนี้เองรึ?”

กู้จิ้งพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ โชคดีที่ฉันไม่ใช่หลานแท้ๆ ของคุณยาย ไม่อย่างนั้น…”

กล่าวจบเธอก็เหลือบตามองเขาด้วยความจนใจ

ไม่อย่างนั้นมิผิดศีลธรรมแย่หรอกหรือ?

เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเซียวเถี่ยเฟิงมาก เขายกมือขึ้นก่ายหน้าผากพลางนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “วันนั้นเจ้าไม่ได้โกรธข้า?”

“ไม่เลย ฉันยังคิดจะทำของอร่อยให้นายกินด้วยซ้ำไป”

“เจ้าไม่ได้โทษข้าเลยสักนิด?”

“ไม่แน่นอน!”

“เจ้าแค่เข้าไปในกระเป๋าใบนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ พอออกมา เวลาก็ผ่านไปสามปีแล้ว?”

“ใช่”

เซียวเถี่ยเฟิงมองกระเป๋าหนังสีดำใบนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเอื้อมมือไปคว้ามันมาจากบ่าของกู้จิ้ง

“หา?” คิดจะทำอะไรกัน?

“ริบ” เซียวเถี่ยเฟิงกำกระเป๋าหนังสีดำซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเอาไว้พลางกล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าว ไม่ยอมให้ปฏิเสธ “ถ้าวันไหนเจ้ามุดเข้าไปแล้วข้ามเวลาไปอีกสามสิบปี ข้าจะทำยังไง? รอเจ้าอีกสามสิบปีงั้นรึ?”

แถมจะว่าไป ถ้าข้ามไปอีกหนึ่งพันปีเล่า จะให้เขาทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังรอต่อไปงั้นหรือ?

“อย่าน่า…” เธอยังต้องอาศัยกระเป๋าใบนี้สำแดงอำนาจเล่นบทหมอเทวดาต่อไปนะ

“รอให้เจ้าต้องการใช้เมื่อไหร่ ข้าจะเอามาให้” นับแต่วันนี้เป็นต้นไป กระเป๋าหนังสีดำใบนี้เป็นของเขาแล้ว

“พี่ล่ำ…” เธอขอร้อง “คืนให้ฉันเถอะ ฉันไม่มีกระเป๋าใบนี้ไม่ได้นะ”

“ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เจ้า ข้าแค่จะช่วยเก็บเอาไว้ให้เท่านั้น” เซียวเถี่ยเฟิงไม่ยอมเจรจาเด็ดขาด

“ก็ได้” กู้จิ้งจนใจ แต่พอคิดว่าหากการทำแบบนี้ทำให้เขาสบายใจขึ้นได้ เธอก็คิดว่าตามใจเขาเถอะ

ทว่าเซียวเถี่ยเฟิงกลับนึกถึงตำนานเรื่องหนึ่ง

เด็กเลี้ยงวัวคนหนึ่งเห็นเทพธิดาซักเสื้อผ้าอยู่ในสระน้ำ เขาจึงซ่อนเสื้อผ้าของเทพธิดาเอาไว้ นับแต่นั้นมาเทพธิดาก็กลับขึ้นไปบนสวรรค์ไม่ได้อีก นางจึงจำต้องแต่งงานกับเขาแล้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

เมื่อก่อนตอนที่ได้ยินนิทานทำนองนี้ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เช่น การที่เด็กเลี้ยงวัวซ่อนเสื้อผ้าของเทพธิดาเอาไว้เป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรมหรือเปล่า ทำไมเด็กเลี้ยงวัวถึงต้องเก็บเสื้อผ้าของเทพธิดาเอาไว้ แต่ตอนนี้ เมื่อเขายึดกระเป๋าของกู้จิ้งมาเก็บเอาไว้ จู่ๆ นิทานเรื่องนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมอง

ชั่วขณะนี้ เขาเข้าใจเด็กเลี้ยงวัวคนนั้นแล้ว

เพราะไม่อาจสูญเสีย ไม่กล้าสูญเสีย ดังนั้นจึงตัดสินใจเก็บปีกของนางเอาไว้ เพื่อให้นางรั้งอยู่ข้างกายต่อไป

“ยังมีอีกเรื่อง” ตัดปีกเทพธิดาแล้ว เซียวเถี่ยเฟิงค่อยสบายใจขึ้นบ้าง เขาจึงเอ่ยถามต่อ “วาฮาฮาอะไรนั่น คืออะไรกันแน่?”

กู้จิ้งคิดไม่ถึงว่าเขายังจำเรื่องนี้ได้ เธอจึงยิ้มแห้งๆ พลางเลิกคิ้วขึ้น “นายทายดูสิ?”

เซียวเถี่ยเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ทายว่า “เป็นของอร่อยใช่ไหม? แต่ลูกหลานในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้าของข้า หรือก็คือยายของเจ้าคงควบคุมเจ้า ไม่ยอมให้เจ้ากินสินะ”

กู้จิ้งมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “นายสมเป็นท่านบรรพบุรุษของฉันจริงๆ แม้กระทั่งเรื่องนี้ก็ทายได้! นาย…”

เธออดกอดเขาไม่ได้ “ท่านบรรพบุรุษ!”

เซียวเถี่ยเฟิงจับหัวไหล่ของเธอเอาไว้แล้วดันร่างเธอให้ถอยห่างไปเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเลื่อนมือขึ้นมาประคองใบหน้าของเธอพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กู้จิ้ง นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามเรียกข้าว่าท่านบรรพบุรุษอีก”

“ทำไมล่ะ?”

“ข้าไม่ต้องการลูกหลาน แล้วก็ไม่อยากมีความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมกับเด็กที่ลูกหลานของข้าเก็บมาเลี้ยงด้วย”

เมื่อก่อนไม่รู้ ยังคิดว่าเป็นคำเรียกขานแสดงความรักของพวกนางเสียอีก แต่ตอนนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง

Status: Ongoing
ในถุงหนังนั่นมีอะไร? เขาคิดจะเปิด แต่จู่ ๆ ปากถุงก็คลี่ออกเองเสียอย่างนั้น จากนั้นศีรษะของใครบางคนก็โผล่ขึ้นมา ถึงตอนนี้ เซียวเถี่ยเฟิงถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วบนโลกนี้มีปีศาจอยู่จริง ที่แท้ปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องงามหยาดเยิ้มเหมือนชุนเถาเอ๋อผู้งามล้ำในหมู่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมากรักเหมือนแม่ม่ายซิ่วเฟิน นางเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น แล้วมองมาด้วยสายตาเรียบเฉยก็สามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้แล้ว เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียการควบคุม ตรงหน้าคือหุบเหวลึก หากยังคงก้าวเดินต่อคงไม่เหลือแม้แต่ซาก ดังนั้นเขาจะต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ทว่าจู่ ๆ นางก็เลียริมฝีปาก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท