ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม ตอนที่ 99 การทดสอบประจำปีเริ่มขึ้นแล้ว!
ตอนที่ 99 การทดสอบประจำปีเริ่มขึ้นแล้ว!
การทดสอบประจำปีของนักเรียนใหม่ปีหนึ่งในครั้งนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก
ในรั้วสำนักมีประโยคพูดติดปากกันมานานแล้วว่า
‘นักเรียนปีหนึ่งปีสองทักทายสัตว์ป่า’
‘นักเรียนปีสามปีสี่ทักทายยุง’
‘นักเรียนปีห้าทักทายหญิงงาม’
สัตว์ป่าย่อมหมายถึง พื้นที่ป่าทางตอนใต้ของแคว้นจิ่วโจว
ที่นั่นมีสัตว์อสูรเพ่นพ่าน มีฝูงสัตว์บุกรุกแคว้นสือหลงที่อยู่ทางใต้สุดของแคว้นจิ่วโจวบ่อยครั้ง
เหล่านักพรตมนุษย์ก็ไม่ใช่ลูกพลับที่บีบเค้นได้ง่าย มักจะรวมกลุ่มกันยกโขยงเข้าป่าล่าสัตว์
สัตว์ประหลาดบางชนิดเลอค่าทั้งตัว เป็นวัตถุดิบชั้นดีของการปรุงยาและหลอมศาสตรา
ทั้งช่วยกำจัดทุกข์เพื่อชาวประชา ซ้ำยังได้ผลประโยชน์ไม่น้อย ไยต้องไม่ทำด้วยเล่า
ส่วนการทักทายยุงนั้น ไม่ใช่ยุงธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นฉายาติดตลกที่เหล่านักเรียกใช้เรียกเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด…
เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดอาศัยอยู่ในกาฬทวีปแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินบรรพกาล
พวกเขาชื่นชอบการดูดเลือดของเหล่านักพรตเป็นชีวิตจิตใจ เหล่านักพรตจะทนได้หรือ
แน่นอนว่าเลือกตบพวกมันให้ตาย!
เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดเป็นจำพวกสร้างศัตรูรอบด้าน พวกเขาอยากดูดเลือดทุกชนิด
ไม่ใช่เพียงนักพรตมนุษย์ นักบวชแดนสุขาวดีแห่งประจิม และเผ่าพันธุ์ปีกปัณฑูรแห่งสวนสนุกแดนศักดิ์สิทธิ์ ล้วนเป็นอาหารหลักของพวกเขา…
หากไม่ใช่เพราะกาฬทวีปเป็นสถานที่เป็นมลพิษ ไม่แน่ว่าเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดอาจถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปหลายคราแล้วก็ได้
นักเรียนปีห้าทักทายหญิงงาม หญิงงามที่ว่านี้ร้ายแรงยิ่งกว่า
แม้พวกนางจะไม่กินมนุษย์ แต่ทำให้นักพรตกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งอันน่ารัก จากนั้นเก็บสะสมได้
หญิงงามเหล่านี้ถูกขนานนามว่าสาวหิมะ เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เหน็บหนาวทางตอนเหนือของแผ่นดินบรรพกาล
อันที่จริงประชากรของแดนศักดิ์สิทธิ์เหน็บหนาวนั้นไม่น้อยเลย ทว่าเป็นหญิงทั้งหมด ไม่รู้ว่าพวกนางแพร่พันธุ์อย่างไร
สงครามระหว่างพวกนางกับมนุษย์ยืดเยื้อนานร่วมพันปี ทุกปีสรวงสวรรค์จะส่งกองกำลังออกไปตั้งมั่นรักษาการณ์ทางตอนเหนือของแคว้นเฟิงหยวนเป็นจำนวนมาก
พวกอันหลินเป็นแค่นักเรียนใหม่ของชั้นปีที่หนึ่ง ไม่ต้องคิดไปไกลปานนั้น ตอนนี้เพียงใคร่ครวญให้ดีว่าจะทักทายเหล่าสัตว์ป่าก็เพียงพอแล้ว
การทดสอบประจำปีของพวกเขา นำโดยเซียนกระบี่หลิงเซียวผู้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา มุ่งหน้าสู่เมืองติ้งอันของเขตฉู่เหอ แคว้นสือหลง
เขตฉู่เหอนับว่าเป็นหนึ่งในเขตที่อันตรายที่สุดของแคว้นสือหลง มักมีสัตว์ประหลาดที่ยิ่งใหญ่โผล่มาเป็นประจำ
เนื่องด้วยเป็นนักเรียนห้องหนึ่ง พลังมวลรวมแก่กล้า ย่อมต้องแบกภาระที่หนักอึ้งที่สุด
การทดสอบประจำปีในครั้งนี้ เป้าหมายของพวกเขาคือ ฆ่าสัตว์ร้ายทุกชนิดทั้งสิ้นสามพันตัว ภายในเวลาครึ่งเดือน
ทำไมดูคล้ายจะเยอะ แต่เมื่อเฉลี่ยกับนักเรียนทุกคนแล้ว แค่คนละสามสิบตัวเท่านั้น
ได้ยินว่าเป้าหมายทั้งหมดของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งและสองรวมกัน ก็มีทั้งสิ้นห้าแสนตัวแล้ว
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า การทดสอบประจำปีของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนในแต่ละครั้ง สำหรับเหล่าสัตว์ร้ายแห่งเขตหมื่นป่าแล้ว เป็นการสั่นเทือนที่น่าเวทนาเพียงใด…
คำจำกัดความของสัตว์ร้ายคือ สัตว์ป่าที่สามารถใช้พลังปราณฟ้าดินเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายได้ อีกทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์อย่างมหันต์ พวกมันมักจะเป็นกำลังสำคัญในการรวมตัวกันรุกรานแคว้นสือหลง
โดยปกติแล้วเซียนกระบี่หลิงเซียวจะไม่ลงมือ เขามีหน้าที่เพียงบันทึกพฤติกรรมของเหล่านักเรียนเท่านั้น
หากว่าประพฤติตนดี สำนักจะประทานรางวัลให้
แต่รางวัลเหล่านั้น จะว่าอย่างไรดีล่ะ…
เศรษฐีอันหลินไม่แยแสหรอก…
ค่ายกลเคลื่อนย้ายของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนแห่งสวรรค์ สามารถส่งไปยังแต่ละแคว้นของแดนจิ่วโจวได้
เมื่อสมาชิกของห้องหนึ่งรวมตัวกันบนค่ายกลครบแล้ว เซียนกระบี่หลิงเซียวก็เริ่มกระตุ้นค่ายกล
แสงสีขาวสาดส่อง ปกคลุมสมาชิกทั้งหมดไว้
จากนั้นก็เกิดอาการโลกหมุนขึ้นชั่วขณะ
ร่างของนักเรียนร่วมร้อยชีวิต ปรากฏตัวบนจัตุรัสเคลื่อนย้ายอีกแห่ง
เมื่อมาถึงจัตุรัสเคลื่อนย้ายของแคว้นสือหลงแล้ว อันหลินก็เบิกตากว้างอันเปี่ยมด้วยความสงสัย กวาดมองไปรอบทิศ
ที่นี่มีศาลาพลับพลา ถนนหินศิลา รถม้านานาชนิดวิ่งกันขวักไขว่
สวีเสี่ยวหลานกลอกตา “ฉากโบราณอะไรกัน นี่มันยุคปัจจุบันนะ!”
“เพียงแค่ผู้คนในแดนจิ่วโจว ไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีก็เท่านั้น”
“แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระเช่นเดียวกัน”
ในยุคสมัยที่การบำเพ็ญเพียรรุ่งเรือง ไม่มีใครลุ่มหลงในการบุกเบิกวิทยาศาสตร์
นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่มีบทเรียนจากอารยธรรมดาวม่วงแล้ว ราชนิกุลของบางแคว้นถึงขั้นว่ากำหนดนโยบายระงับการพัฒนาวิทยาศาสตร์
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ เป็นเขตหลวงของแคว้นสือหลง สถานที่พำนักของราชวงศ์ผานหลง
ผู้มีอิทธิพลของแดนจิ่วโจว ถูกผู้คนขนานนามว่า เก้าราชวงศ์สี่สำนักแห่งสวรรค์
ราชนิกุลของแต่ละแคว้น ต่างก็เป็นผู้มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแดนบำเพ็ญเซียน ควบคุมทรัพยากรของแคว้นนั้นๆ
อันหลินจำได้ว่า ซูเฉี่ยนอวิ๋นเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ชิงมู่ แคว้นจื่อชิง สถานะเรียกได้ว่าสูงส่งอย่างยิ่ง
เขาทอดมองไปยังภูเขาที่มีเมฆหมอกปกคลุมแห่งหนึ่ง
เบื้องหลังของม่านหมอก สามารถเห็นราชวังที่ตั้งตระหง่านยึดครองศูนย์กลางอยู่รำไร นั่นคงจะเป็นพระราชวังของราชวงศ์ผานหลง
หากว่าเป็นไปได้ อันหลินอยากจะเข้าไปดูเหลือเกินว่าวังของแดนบำเพ็ญเซียนหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว เพราะระยะทางจากเขตหลวงไปถึงเมืองติ้งอันของเขตฉู่เหอ ยังเหลืออีกนับพันลี้ ทุกคนไม่มีเวลาให้เอ้อระเหย
พวกเขาต้องเดินทางพันลี้ต่อวัน!
คุณฟังไม่ผิดหรอก พวกเขาต้องเดินทางนับพันลี้ต่อวันจริงๆ
อาจารย์ที่ปรึกษาบอกแล้วว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญเพียร จำต้องทำให้สำเร็จ!
หนึ่งพันลี้ก็คือห้าร้อยกิโลเมตร นักเรียนทั้งหลายใช้เวลาเพียงสิบสองชั่วโมงเท่านั้น นั่นหมายความว่า ความเร็วของนักเรียนทุกคนต้องบรรลุสี่ร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นวิ่งอย่างบ้าคลั่งต่ออีกสิบสองชั่วโมง!
คุณจินตนาการภาพที่นักเรียนกลุ่มหนึ่ง วิ่งข้ามภูเขาอย่างบ้าระห่ำออกไหม นี่มันมาราธอนแห่งแดนบำเพ็ญเซียนชัดๆ…
ในห้องหนึ่ง นักเรียนที่มีระดับพลังยุทธ์ต่ำที่สุดคือกายแห่งมรรคขั้นเก้า
แต่ระหว่างการเดินทางมาราธอนร่วมพันลี้ ก็มีนักเรียนหลายคนเหนื่อยล้าจนหกล้ม หมดสติไปแล้ว…
อันหลินมีวรยุทธ์เสริมสร้างความแข็งแกร่งอย่างพลังบงกชพสุธา แต่ก็เหงื่อโซมกาย แข้งขาอ่อนแรงเช่นกัน
เมื่อเขาเห็นหลายคนที่เหาะเหินบนท้องนภาอย่างเป็นอิสระ ก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ
ใช่แล้ว ในเวลานี้ ความแตกต่างระหว่างนักพรตกายแห่งมรรคและนักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณก็ปรากฏให้เห็นแล้ว
คนอื่นโบยบินอย่างสบายอุรา ส่วนพวกเขากลับวิ่งบนพื้นแทบเป็นแทบตาย…
ตอนนี้ นักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณในห้องเพิ่มมาถึงสี่คนแล้ว
นอกจากเซวียนหยวนเฉิงกับซูเฉี่ยนอวิ๋นแล้ว นักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณคนใหม่ก็คือสวีเสี่ยวหลานและลู่จ้าน
นักเรียนบางส่วนพากันจ้องมองนักเรียนทั้งสี่คนบนเวหาด้วยแววตาอิจฉา
บัดนี้พวกเขาเพิ่งรู้ซึ้งว่า การขี่กระบี่เหาะเหินเป็นเรื่องที่งดงามมากเพียงใด
อันหลินไม่มีทางมองพวกเขาด้วยสายตาอิจฉาเด็ดขาด ขี่กระบี่เหินเวหาสนุกมากเลยเหรอ
ไม่ เนื้อที่ของกระบี่น้อยเกินไป เร็วเกินไป แถมยังไม่มั่นคง รอบกายว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดบดบัง…
ขี่สุนัขเหาะเหินที่ขนปุกปุยและอบอุ่นต่างหากที่สุดยอดที่สุด!
เฮ้อ หากต้าไป๋อยู่ที่นี่คงดี…
อันหลินคิดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
…………………………….
Related