ในจุดพัก ข่วงเร่อกินยาบำรุงกำลังไปหนึ่งเม็ด นั่งไขว่ห้าง กำลังปรับลมหายใจช้าๆ
เหล่าลูกศิษย์กำลังรุมล้อมและพูดอย่างตื่นเต้นรอบตัวเขา
“ศิษย์พี่ข่วงเร่อ เพลงดาบเมื่อครู่นี้ของท่านเท่สุดๆ ไปเลย!” ชายคนหนึ่งชิงพูดก่อนใคร
“นั่นสิ ทำเอาหลูเหรินแห่งยอดเขาจิตวิญญาณพสุธากลายเป็นเต่าหดหัวไปเลย” ชายอีกคนพูดต่อ
“ชิ…” ศิษย์หญิงบางส่วนได้ยินขวัญใจถูกดูหมิ่นก็ปลีกตัวออกห่างทันที
“ศิษย์พี่ข่วงเร่อ หากมองจากสถานการณ์แล้ว ท่าทางครั้งนี้ท่านจะคว้าชัยชนะ คราวนี้ยอดเขาแสงสวรรค์ของเราก็จะเชิดหน้าได้แล้วจริงๆ!” ชายคนหนึ่งมองข่วงเร่อด้วยความนับถือพร้อมกับพูดอย่างตื่นเต้นไปด้วย
ข่วงเร่อนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางไม่ยี่หระ เอียงหัวบ้าง แคะหูบ้างเป็นครั้งคราว
ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มท่าทางสง่างามคนหนึ่งก็เดินเข้ามา “สหายข่วงเร่อ สวัสดี ข้าชื่ออันหลิน”
ข่วงเร่อถลึงตาแดงก่ำพลางหัวเราะหึๆ “ข้าสังเกตเห็นเจ้านานแล้ว สหายของนายน้อยเซวียนหยวน นักรบผู้ขี่สุนัข!”
มุมปากของอันหลินกระตุก นักรบผู้ขี่สุนัขบ้าบออะไรกัน!
ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ ธุระต่างหากที่สำคัญ…
เขาเค้นรอยยิ้มออกมา “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวหน่อย”
ข่วงเร่อยังคงอยู่ในสภาพเอื่อยเฉื่อย ใช้เพียงการส่งกระแสจิตไปแทน “เรื่องอะไร”
อันหลินก็ใช้กระแสจิตเช่นกัน “ประเดี๋ยวตอนแข่งเจ้าช่วยออมมือ ให้ทังหยวนซือชนะได้หรือไม่ ข้าให้เจ้าสี่หมื่นหินวิญญาณ!”
อันหลินคำนวณดูแล้ว หากข่วงเร่อได้ที่สอง เช่นนั้นเขาก็จะได้อาวุธวิเศษขั้นต้นหนึ่งเล่มเช่นกัน และได้สองหมื่นหินวิญญาณเป็นรางวัล บวกกับสี่หมื่นหินวิญญาณที่เขาให้ ก็มีถึงหกหมื่นหินวิญญาณแล้ว มากกว่าสามหมื่นหินวิญญาณของอันดับหนึ่งตั้งเท่าตัว!
ข่วงเร่อตัวสั่นและถลึงตา “พูดเป็นเล่นไป! ข้าเป็นคนที่ใช้เงินซื้อได้งั้นหรือ ไม่คุยเรื่องนี้!”
อันหลิน “แปดหมื่นหินวิญญาณ!”
ข่วงเร่อตัวสั่นระริก “สิ่งที่ข้าต้องการคือเกียรติและชื่อเสียงของอันดับหนึ่งในการประลอง ข้ารบเพื่อเกียรติยศ ไม่ใช่สิ่งที่เงินจะมาทำให้ด่างพร้อยได้!”
อันหลิน “หนึ่งแสนหินวิญญาณ ห้ามต่อรองแล้ว ไม่เอาก็ยกเลิก!”
ร่างของข่วงเร่อหยุดนิ่ง ใบหน้าเอื่อยเฉื่อย “ตกลง!”
ด้วยเหตุนี้ อันหลินกับข่วงเร่อจึงหาสถานที่ทำการแลกเปลี่ยนลับๆ
เมื่อข่วงเร่อเห็นสิบหินปราณสีหน้าก็เปลี่ยนไป แต่จากนั้นก็ยิ้ม พยักหน้าให้อันหลินอย่างรู้ใจ
“เล่นละครให้สมจริงหน่อย อย่าให้คนอื่นจับพิรุธได้ล่ะ”
“วางใจเถอะ ทักษะการแสดงของข้าไม่มีพิรุธ!”
…
อันหลินกลับมาหาเซวียนหยวนเฉิงด้วยความโล่งใจ ใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่
ใช่แล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่หินวิญญาณจัดการไม่ได้
หากว่ามี…นั่นต้องเป็นเพราะหินวิญญาณของคุณไม่มากพอแน่นอน!
ผ่านไปครู่หนึ่ง การประลองครั้งสุดท้ายที่ทุกคนจับตามองก็มาถึง
ทังซือหยวนสวมชุดขาวโบกพลิ้ว ยืนงามสง่าอยู่บนสังเวียน
ข่วงเร่อชักดาบออกมา เนื้อตัวระเบิดพลังอันน่าตะลึงออกมา
ตูม!
กระบี่เมฆาปะทะดาบ เกิดเสียงดังสนั่นดุจสายฟ้าคำราม สงครามได้ปะทุขึ้นแล้ว!
“กระบี่ทลายเมฆา!” ทังซือหยวนตะโกน ร่างเลื่อนลอยประหนึ่งเมฆา พุ่งไปหาข่วงเร่อ
ข่วงเร่อตวัดดาบปล่อยลำแสงสีแดงที่ทรงอานุภาพออกมาเส้นแล้วเส้นเล่า
นี่เป็นเพลงดาบไม้ตายของเขา ดาบคลั่งสิบแปดคลื่น แต่ละคลื่นสูงขึ้นเรื่อยๆ!
สั่งสมพลังอย่างต่อเนื่อง ลำแสงแต่ละเส้นทรงพลังขึ้นทุกที ต่อให้เป็นทังซือหยวนก็ไม่กล้าเผชิญหน้าเช่นกัน ทำได้เพียงอาศัยท่าร่างถอยหลังไม่หยุด
“รีบใช้เมฆาร่อนรำของเจ้าเร็วเข้า มิเช่นนั้นเจ้าจะเอาชนะข้าไม่ได้!” ข่วงเร่อเบิกตากว้าง แลดูวิปริตและน่ากลัว
เขาคิดบทไว้แต่แรกแล้ว ขอเพียงทังซือหยวนใช้เมฆาร่อนรำ เขาก็จะแสร้งทำเป็นแพ้
กระบี่ร่อนรำของทังซือหยวนมีอานุภาพยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นเขาก็ไม่อาจต้านทานได้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เขาแพ้ก็ไม่ขายหน้า แถมยังทำให้การประลองครั้งนี้สมจริงยิ่งขึ้นอีกด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ดาบคลั่งสิบแปดคลื่นของข่วงเร่อเข้าสู่โค้งสุดท้าย ลำแสงสีเลือดที่เจิดจ้าอย่างยิ่งเส้นหนึ่งปรากฏให้เห็น ฉีกทึ้งปฐพี ทำให้เกิดพายุคลั่งที่มีพลังมหาศาล
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้น ทังซือหยวนไม่ถอย กลับยกกระบี่ขึ้นตอบโต้ ปล่อยลำแสงสีขาวออกไป
โครม!
ลำแสงทั้งสองปะทะกัน คลื่นพลังงานขาวแดงโรมรันพันตู ทำให้สังเวียนแตกทลาย
ร่างสีขาวกระอักเลือดปลิดปลิว ใบหน้างดงามซีดเผือดแต่งามหยาดเยิ้ม กระบี่เมฆาก็หลุดออกจากมือ หล่นลงพื้นดังเคร้ง
ทังซือหยวนนอนหมอบอยู่บนพื้น มือกุมหน้าอก ใบหน้าฉายความเจ็บปวด “ข้ายอมแพ้!”
เสียงใสดังสะท้อนทั่วลานประลอง เข้าสู่โสตประสาทของทุกคน
ข่วงเร่อทำหน้างุนงง ดวงตาที่แดงก่ำเบิกกว้างกว่าเดิม
เดี๋ยวนะ…นี่มันเรื่องอะไรกัน ชนะแล้วงั้นหรือ
ทังซือหยวนไม่ได้อ่อนแอขนาดนี้หรอกกระมัง
ไยจึงแพ้ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่ดาบคลั่งสิบแปดคลื่น มันเป็นไปไม่ได้!
“ผู้ชนะในรอบชิงชนะเลิศของการประลองแห่งสำนักคือ…ข่วงเร่อ!” ผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ตัดสินกล่าว ประกาศผู้ชนะคนสุดท้าย
เสียงโห่ร้องดีใจดังระงมทั่วลานประลอง โดยเฉพาะลูกศิษย์ของยอดเขาแสงสวรรค์ที่ข่วงเร่ออยู่ พากันตะโกนชื่อของเขาอย่างฮึกเหิม
แม้เหล่าบุรุษที่ชื่นชอบทังซือหยวนจะไม่ค่อยชอบใจที่ข่วงเร่อรังแกนางเช่นนี้ แต่ความสามารถปรากฏให้เห็นอยู่ทนโท่ ก็ไม่มีหน้าจะเอ่ยปากพูดอะไรอีก
ภายในลานประลอง คนเดียวที่แสดงอากัปกิริยาเฉกเช่นข่วงเร่อก็คืออันหลิน
เขาจ้องทังซือหยวนที่ล้มบนพื้นเขม็ง ปากอ้ากว้าง ยังไม่ได้สติคืนมาอย่างสิ้นเชิง
‘ติ้งต่อง…ภารกิจพิเศษของโฮสต์ล้มเหลว หักสิบหินปราณ’
เมื่อสิ้นเสียงแจ้งเตือนของระบบ
เก้าสิบหินปราณที่กองอยู่ในแหวนมิติ มีสิบหินปราณเริ่มค่อยๆ สลายหายไปในพริบตา…
อันหลินจึงตระหนักถึงความเป็นจริง เท่ากับว่าเขาแพ้แล้ว!
บนพื้น ทังซือหยวนเช็ดเลือดตรงมุมปาก สายตาสอดประสานกับผู้อาวุโสซุนแห่งยอดเขาแสงสวรรค์
ทั้งสองต่างก็เบือนสายตาหลบหลีกอย่างรู้ใจกัน
ผู้อาวุโสซุนแห่งยอดเขาแสงสวรรค์ให้ทังซือหยวนสองหมื่นหินวิญญาณ บอกให้นางออมมือในการประลองครั้งนี้
ทุกคนเข้าใจความหมายดี…
เดิมทีความมั่นใจที่จะชนะข่วงเร่อของทังซือหยวนก็ไม่เกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสซุนให้นางสองหมื่นหินวิญญาณ บวกกับสองหมื่นหินวิญญาณของอันดับสอง รวมทั้งสิ้นสี่หมื่นหินวิญญาณ
เช่นนี้แล้ว เมื่อรวมกันแล้วได้หินวิญญาณมากกว่ารางวัลชนะเลิศตั้งหนึ่งหมื่นแน่ะ!
เงื่อนไขที่ได้ประโยชน์เช่นนี้ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธ!
เจ้าบอกว่ารบเพื่อเกียรติยศหรือ ไม่มีทาง!
อย่างไรเสียล้วนเป็นลูกศิษย์ของสำนักเหมือนๆ กัน เกียรติยศกินแทนข้าวได้ไหม
ทังซือหยวนยิ้ม ได้สี่หมื่นหินวิญญาณมาครอง บวกกับสามหมื่นกว่าหินวิญญาณทั้งหมดที่ตนมี สามารถซื้ออาวุธคุ้มกันขั้นต้นได้หนึ่งชิ้นบวกกับอาวุธวิเศษขั้นต้นที่เป็นรางวัลอันดับสองแล้ว
รางวัลพวกนี้มัน…ช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกิน!
ผู้อาวุโสซุนแห่งยอดเขาแสงสวรรค์ก็ยิ้มเช่นกัน บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่หินวิญญาณจัดการไม่ได้
หากว่ามี…นั่นต้องเป็นเพราะหินวิญญาณของเจ้าไม่มากพอแน่นอน!
หากอันหลินรู้ความคิดของผู้อาวุโสซุน ต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่นอน!
เพราะว่า…หินวิญญาณที่เขาจ่ายต่างหากที่เยอะไหมเล่า!
………………..