ทังซือหยวนแพ้ เกียรติยศอันดับหนึ่งตกเป็นของข่วงเร่อ
อันหลินหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างๆ เมื่อเซวียนหยวนเฉิงเห็นก็ตบไหล่เขาปุๆ พูดเสียงนุ่มว่า “ยังจะบอกว่าเจ้าไม่สนใจทังซือหยวนอีก ดูท่าทางในตอนนี้ของเจ้าสิ…ช่างเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะแนะนำนางให้เจ้ารู้จัก!”
มุมปากของอันหลินกระตุก ฉันจะไปสนใจนางทำพระแสงอะไร! สิ่งที่ฉันสนใจคือหนึ่งแสนหินวิญญาณนั่นต่างหาก!
เอ๊ะ…ไม่สิ เราให้ข่วงเร่อไปสิบหินปราณต่างหาก
ให้ตายสิ ขาดทุนยับเลย!
ไม่ได้การ ต้องทวงหินปราณส่วนนี้กลับมาให้ได้
ด้วยเหตุนี้ อันหลินจึงมาหาข่วงเร่อ
อันหลิน “คืนเงินมา!”
ข่วงเร่อ “ไม่คืน”
อันหลินตกตะลึง “ภารกิจล้มเหลวไปแล้ว เจ้ายังมีหน้าเอาเงินก้อนนี้ไปอีกหรือ!”
ข่วงเร่อทำหน้าเอื่อยเฉื่อย “ข้าตั้งใจเล่นละครมากแล้วจริงๆ อีกอย่างข้าคิดว่าทังซือหยวนไม่น่าจะแพ้ง่ายดายปานนั้น เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่ๆ!”
อันหลิน “ข้าไม่สนว่าจะมีเงื่อนงำหรือไม่ เจ้าชนะการประลองเป็นความจริงที่ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!”
ข่วงเร่อ “แต่ข้าก็พยายามแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้พูดเสียหน่อยว่าภารกิจล้มเหลวต้องคืนเงิน อีกอย่างตอนแรกข้าต้องได้หนึ่งแสนสองหมื่นหินวิญญาณ ตอนนี้ถ้าคืนเจ้าอีกสิบหินปราณ เท่ากับว่าข้าขาดทุนไปเก้าหมื่นหินวิญญาณ มันทำให้ข้าปวดใจจนอยากฆ่าตัวตายได้นะ!”
ไม่พูดถึงยังดี เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อันหลินก็โมโหจนควันออกหู “ขาดทุนไปเก้าหมื่นหินวิญญาณ เจ้าทำเช่นนี้ เจ้ารู้ไหมว่าข้าขาดทุนกี่หมื่นหินวิญญาณ!”
ข่วงเร่อเบิกตากว้าง “เท่าใด”
อันหลินหายใจถี่กระชั้น “หากเจ้าแพ้การแข่งขัน ข้าจะได้สามแสนหินวิญญาณ! ถึงจะให้เจ้าหนึ่งแสนหินวิญญาณ แต่ก็ได้กำไรสองแสน ทว่าเจ้าชนะการแข่งขัน ข้าจึงถูกหักไปหนึ่งแสนหินวิญญาณ แล้วเจ้าก็ไม่ยอมคืนหนึ่งแสนหินวิญญาณให้ข้า ตามหลักการแล้ว…เท่ากับว่าข้าขาดทุนสี่แสนหินวิญญาณ!”
ข่วงเร่อยกมือขึ้นเกาหน้า นัยน์ตาแดงก่ำ ร่างกายสั่นเทิ้ม “สหาย เจ้าเดิมพันเยอะไปหน่อยนะ หากข้าเป็นเจ้า ขาดทุนมากมายปานนี้ คงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว!”
อันหลินกุมอก ให้ตายสิ พอพูดแบบนี้ ก็รู้สึกคิดสั้นขึ้นมาแล้วจริงๆ…
ช่วงเร่อ “เห็นเจ้าอนาถเช่นนี้ งั้นข้าจะคืนให้ห้าหินปราณก็แล้วกัน”
อันหลิน “คืนข้ามาให้หมด!”
ข่วงเร่อ “งั้นก็ไม่มีปัญหา จากนั้นข้าก็จะบอกเรื่องที่เจ้าติดสินบนข้าให้นายน้อยเซวียนหยวน”
อันหลินหน้ามืด “พับผ่าสิ!”
ด้วยประการละฉะนี้
อันหลินน้ำตาอาบหน้ากลับมาหาเซวียนหยวนเฉิง ลูบแหวนมิติของตนด้วยความปวดใจ
ขาดทุนไปหนึ่งแสนห้าหมื่นหินวิญญาณเชียวนะ…
ไม่สิ…สามแสนห้าหมื่นต่างหาก!
เมื่อเห็นท่าทางของอันหลิน เซวียนหยวนเฉิงกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน “สหายอันหลิน เจ้าลองเดาสิว่าข้าเตรียมอะไรให้เจ้า”
อันหลินสงบสติอารมณ์ ถามอย่างสงสัยว่า “อะไรหรือ”
ในตอนนั้นเอง หญิงที่มีทรวดทรงองค์เอวก็ก้าวออกมาจากด้านหลังเซวียนหยวนเฉิง ใบหน้างดงามยังซีดเซียวอยู่บ้าง แต่กลับดูเย้ายวนใจ ชวนให้หลงใหลยิ่งขึ้น
“สหายอันหลิน ได้ยินว่า…เจ้าอยากรู้จักข้างั้นหรือ” ใบหน้าของหญิงชุดขาวประดับรอยยิ้ม โบกมือให้อันหลินเล็กน้อย
หญิงคนนี้ก็คือรองชนะเลิศของการประลองครั้งนี้ ทังซือหยวน…
รู้จักงั้นหรือ จะให้รู้จักผู้หญิงพิลึกที่แพ้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จากนั้นทำให้ฉันเสียเงินไปสามแสนห้าหมื่นหินวิญญาณงั้นเหรอ!
อันหลินรู้สึกว่าตัวเองได้รับแรงกระทบกระเทือนอีกครั้ง แน่นหน้าอกหายใจติดขัด เลือดลมเดินไม่สะดวกขึ้นมาชั่วขณะ
ผลข้างเคียงจากการที่เขาใช้พลังปราณอนธการยังไม่หายไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้แค่ได้รับแรงกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวง กลับหน้ามืดแล้วหมดสติไปเสียอย่างนั้น…
เซวียนหยวนเฉิง “…”
ทังซือหยวน “…”
ต้าไป๋และวานรตัวหนึ่ง “…”
“จิตใจของสหายอันหลินมั่นคงไม่พอนี่นา ก็แค่ได้เจอกับหญิงที่ตัวเองชื่นชมไม่ใช่หรือ ตื่นเต้นปานนี้เชียว” เซวียนหยวนเฉิงส่ายหน้า บ่นอย่างระอาใจ
ริมฝีปากแดงอ่อนนุ่มของทังซือหยวนเผยอเล็กน้อย ใบหน้างดงามแดงระเรื่อ
นางไม่คิดเลยว่าสหายอันหลินจะสนใจนางเช่นนี้ น้ำใจนี้…นางได้รับแล้ว!
…
ท่ามกลางความมืดมิด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน
อันหลินค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือใบหน้าที่น่ารักและน่าเกรงขามของต้าไป๋
“ข้าสลบไปนานแค่ไหน” เขาขยี้ตาแล้วเอ่ยถาม
“แค่หนึ่งชั่วยาม โฮ่ง!” ต้าไป๋เกาหัวสุนัขของมันแล้วพูดต่อว่า “พี่อัน เหมือนไม่ใช่เจ้าเลย ก็แค่เจอนักพรตหญิงที่หน้าตาสะสวยมากคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ไยถึงตื่นเต้นจนหมดสติไปล่ะ รักจริงงั้นหรือ”
รักจริงเหรอ รักจริงกับป้าแกสิ! ไม่สิ รักจริงกับชิงหัวแกเหรอ!
ตอนนี้ หัวใจที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบลงของอันหลินเริ่มปวดหนึบอีกครั้ง “ต้าไป๋ อย่าพูดถึงเรื่องนี้ เรายังเป็นเพื่อนรักกัน”
เมื่อต้าไป๋ได้ยินคำพูดของอันหลิน กลับพูดต่อว่า “ไม่ได้สิ ก่อนไปเซวียนหยวนเฉิงกำชับข้าว่า พอเจ้าฟื้น ให้พาเจ้าไปพบนางสักหน่อย”
อันหลินเบิกตากว้าง “ทำไมต้องไปพบนางด้วย”
ต้าไป๋ยิ้มแบบมีเลศนัย “เจ้าสนใจนางไม่ใช่หรือ อย่างน้อยเซวียนหยวนเฉินก็คิดเช่นนี้ ทังซือหยวนก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน…”
อันหลินกุมหน้าอก ไม่ไหวแล้ว…ปวดใจอีกแล้ว
…
ภายในป่าไผ่แห่งหนึ่ง ณ ยอดเขาเมฆสี
ทังซือหยวนกำลังชงชา มือคู่งามคล่องแคล่วและนุ่มนวล กิริยาถวัดถวัน แลดูสบายตาน่าชม
ตรงข้ามนางเป็นอันหลินที่เริ่มนั่งไม่ติดอยู่บนเก้าอี้
เมื่อเห็นภาพนี้ ทังซือหยวนก็อดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
ไม่คิดจริงๆ ว่า…สหายอันหลินคนนี้ จะเป็นเด็กผู้ชายขี้อายไร้เดียงสา
ความจริงที่อันหลินอยู่ไม่สุข เพราะกำลังคิดว่าจะบอกเรื่องที่ตนไม่ได้สนใจนางสักนิดกับทังซือหยวนอย่างไร
เถรตรงเกินไปไม่ได้ แบบนี้จะทำร้ายความรู้สึก
เช่นนั้นก็มีปัญหาแล้ว จะบอกเรื่องนี้ให้รื่นหูได้อย่างไร
ทังซือหยวน “สหายอันหลิน เจ้าชอบดื่มชาไหม”
อันหลินส่ายหน้า พูดเสียงขึงขังว่า “ไม่ชอบ”
เขารู้วิธีแก้สถานการณ์แล้ว ใช้วิธีที่ความชอบแตกต่างกันนี่แหละ!
มีความชอบไม่เหมือนกัน คุยกันไม่ถูกคอ อึดอัดตลอดการสนทนา แบบนี้ทังซือหยวนก็จะไม่สนใจตน เขาก็จะสามารถถอนตัวออกจากเรื่องนี้ได้
เยี่ยมไปเลย!
ขณะที่อันหลินกำลังลอบดีใจกับไอเดียของตนนั้น
ทังซือหยวนได้ยินดวงตาก็เป็นประกาย สหายอันหลินคนนี้…เถรตรงจังเลย!
ไม่ประจบชาที่นางชง ตรงไปตรงมา ช่างเป็นคนที่ซื่อตรงอะไรปานนี้…
ทังซือหยวนไม่โกรธเลยสักนิด กลับกันถามอย่างฉงนใจด้วยซ้ำว่า “เช่นนั้นแล้วสหายอันหลิน ปกติเจ้าชอบอะไรหรือ”
อันหลินพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ขี่สุนัข” (หึ ความชอบที่แปลกประหลาดแบบนี้ นางต้องตกใจ จากนั้นก็ไม่สนใจเราเลยสักนิดแน่ๆ)
ทังซือหยวนได้ฟังก็ชะงัก
แต่ทว่าไม่นาน นางก็ได้สติ กล่าวยิ้มๆ ว่า “สุนัขสีขาวน่ารักตัวนั้นหรือ ท่าทางสหายอันหลินจะรักสัตว์มากนะ” (ได้ยินว่าผู้ชายที่รักสัตว์มักจะอบอุ่นมาก สหายอันหลินก็คงเป็นเหมือนกันสินะ)
เมื่อเห็นทังซือหยวนเบิกบานใจขึ้นทุกที มุมปากของอันหลินก็กระตุก อึดอัดใจว่าทำไมถึงยังคุยต่อไปได้โดยที่ไม่โมโหเลยแม้แต่นิด
ความกระอักกระอ่วนที่ว่าไปไหนเสียล่ะ หรือวิธีการพูดจะมีปัญหา
…………………