“สมบูรณ์แบบเหลือเกิน!”
ศาสตราจารย์หยางอุทาน กอดหุ่นจักรกลบนพื้นแน่น
ราวกับกอดหญิงงามอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าเปี่ยมสุขและเคลิบเคลิ้ม
อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ แสดงอาการงงงัน ศาสตราจารย์หยางผู้สุขุมลุ่มลึกในคราแรกหายไปไหนแล้ว ทำไมแลดูเหมือนคนวิปริตเลยล่ะ
หลังจากที่กอดหุ่นจักรกลตัวนั้นไว้เนิ่นนานแล้ว ศาตราจารย์หยางก็เริ่มได้สติ เงยหน้าขึ้นมองอันหลิน พูดอย่างตื่นเต้นว่า “สหายอันหลิน หุ่นยนต์ที่ยอดเยี่ยมปานนี้ เจ้าได้มาได้อย่างไร”
อันหลินเกาหัวเล็กน้อย พูดอย่างลำบากใจว่า “เรื่องนี้ข้าไม่บอกได้หรือไม่”
ศาสตราจารย์ได้ฟังก็พยักหน้า ไม่ซักไซ้ประเด็นนี้ต่ออีกเลย
สิ่งประดิษฐ์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ผู้ที่ประดิษฐ์ของสิ่งนี้ขึ้นมา เทคโนโลยีที่ยึดกุม ต้องบรรลุระดับเกินจินตนาการแน่นอน ความจริงในใจเขามีข้อสันนิษฐานประการหนึ่งแล้ว
“รู้สึกว่าหุ่นยนต์ของเจ้าจะไม่มีแหล่งพลังงานนะ” ศาสตราจารย์หยางพูดขณะที่มองวัตถุทรงกลมที่อยู่ใจกลางของกันดั้ม
อันหลินพยักหน้า พูดเสียงตื่นเต้นว่า “ใช่แล้วขอรับ จุดศูนย์กลางของหุ่นยนต์เป็นตันร้อยสัตว์ ทำให้พลังเทคโนโลยีและพลังแห่งสายเลือดหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่จะสร้างแหล่งพลังงานศูนย์กลางอย่างไรนั้น ข้าเองก็จนปัญญา”
ในข้อมูลที่เขาได้มาจากโบราณสถาน ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการสร้างแหล่งพลังงานของหุ่นยนต์ ฉะนั้นแม้มีหุ่นจักรกลตัวนี้ ก็ใช้การไม่ได้
และเพราะเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจหยิบของออกมาต่อหน้าศาสตราจารย์หยาง ลองดูว่ายอดนักวิทยาศาสตร์ที่เคยศึกษาเรื่องนี้จะมีหนทางแก้ไขหรือไม่
ศาสตราจารย์หยางดันแว่นที่สะท้อนแสงเล็กน้อย พูดด้วยสายตาที่กระเหี้ยนกระหือรือว่า “จุดสำคัญของการสร้างแหล่งพลังงานคือ การดูดซึมและเปลี่ยนถ่ายพลังงาน รวมถึงการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับจิตใจของเจ้านาย…เจ้ามาหาข้านับว่ามาถูกที่แล้ว ในแดนจิ่วโจวอันกว้างใหญ่แห่งนี้ เกรงว่าคงจะมีเพียงข้าที่ช่วยสร้างแหล่งพลังงานที่ได้มาตรฐานให้เจ้าได้”
“จริงหรือ เช่นนั้นข้าควรจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร!” อันหลินดีใจเมื่อได้ยิน จึงพูดเหมือนกระดี่ได้น้ำ
เขารู้ว่าแหล่งพลังงานของหุ่นจักรกลไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป การประดิษฐ์จำต้องทุ่มเทมหาศาล เขาเตรียมใจไว้แล้ว
ศาสตราจารย์หยางชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว
อันหลินลังเลไม่แน่ใจ “สามแสนหินวิญญาณหรือ”
ศาสตราจารย์หยางส่ายหน้า ยิ้มบางๆ “ไม่คิดเงิน ข้าเพียงต้องการให้เจ้าทิ้งหุ่นยนต์ไว้ให้ข้าศึกษาเป็นเวลาสามวัน พอพ้นสามวัน ข้าจะคืนหุ่นยนต์พร้อมกับแหล่งพลังงานให้เจ้า!”
อันหลินกะพริบตาปริบๆ “สิ่งที่ท่านต้องการคือเทคโนโลยี?”
“ไม่โง่นี่นา…” ศาสตราจารย์หยางยิ้มละมุนแล้วพูดต่อว่า “ใช่แล้ว แม้ข้าจะมีการวิจัยศึกษาสิ่งประดิษฐ์จักรกลที่ลึกซึ้งมากแล้ว แต่ก็เพิ่งเคยเห็นหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แบบนี้เช่นนี้ ข้าหวังว่าจะได้ความรู้ใหม่จากการศึกษาภายในสามวันนี้”
“ก็ได้ แต่ท่านต้องประดิษฐ์แหล่งพลังงานให้ข้าสองอัน” อันหลินพยักหน้า ยื่นข้อเสนอเพิ่มอีกหนึ่งข้อ
อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรเสียหายสำหรับเขา แถมยังประหยัดเงินก้อนใหญ่ ความจริงแล้วก็นับว่าไม่เลวสำหรับเขาเลย
ศาสตราจารย์หยางชะงักไป “ทำไมกัน เจ้าจะเอาอีกอันไปไว้ใช้สำรองหรือ”
อันหลินส่ายหน้า “ไม่ใช่ เพราะข้ามีหุ่นยนต์แบบนี้สองตัว แต่เมื่อท่านพูดเช่นนี้ ข้าขอแหล่งพลังงานสี่อันก็แล้วกัน กันไว้ดีกว่าแก้”
ศาสตราจารย์หยางได้ฟังก็แทบจะกระอักเลือด “เจ้าคิดว่าการสร้างแหล่งพลังงานไม่ใช้เงินหรือ พูดราคาออกไปเจ้าอาจจะตกใจตายได้เลยนะ! ให้แค่สองอัน ห้ามต่อรองแล้ว!”
อันหลินกับศาสตราจารย์หยางจึงตกลงกันตามนี้
เขาทิ้งเลือดส่วนหนึ่งไว้ที่ห้องวิจัย เพื่อเป็นวัสดุในการทำเครือข่ายจิตใจเชื่อมแหล่งพลังงาน จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับซูเฉี่ยนอวิ๋นอย่างพออกพอใจ เที่ยวเล่นต่อไป
“สมกับเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ สุดยอดจริงๆ สร้างได้แม้กระทั่งแหล่งพลังงาน” อันหลินอารมณ์ดี เดินเตร่พลางเอ่ยชมไปด้วย
ซูเฉี่ยนอวิ๋นยิ้มบางๆ “สหายอันหลินก็สุดยอดมากเช่นกัน ถึงได้มีหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ท่าทางลืมตัวของศาสตราจารย์หยาง ข้าเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก”
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า อันหลินคิดว่าซูเฉี่ยนอวิ๋นพูดเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อน ซ้ำยังใส่ใจขึ้นมากโข ดูสิ ชื่นชมเขายังมีระดับขนาดนี้!
ทั้งคู่เดินเที่ยวรอบๆ นอกจากไม่ได้เข้าไปในเขตหวงห้ามของราชวงศ์บางส่วน สถานที่ที่น่าสนใจอื่นๆ ก็ไปมาแทบจะทั้งหมดแล้ว
ยามรัตติกาล อันหลินและพวกต้าไป๋ก็ได้กินอาหารเลิศรสของราชวังชิงมู่อย่างอิ่มหนำสำราญ
อาหารอันโอชะในวังไม่ใช่แค่เพียงรูปรสกลิ่นสีดีเลิศเท่านั้น แต่ยังมีของวิเศษของป่าถูกเติมลงไปไม่น้อย ทั้งอร่อยและเป็นการบำรุงร่างกาย เพิ่มพลังยุทธ์โดยไม่รู้ตัว
อันหลินจึงชื่นชมไม่ขาดปาก สวาปามจนพุงป่องออกมา
ต้าไป๋เป็นสุนัขตัวจิ๋วมาตลอดทั้งวัน เมื่อเห็นอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ ก็กลับร่างเป็นสุนัขตัวใหญ่อีกครั้ง ไม่มีจุดประสงค์อื่นใด เพียงแค่อยากกินให้ได้มากขึ้นเท่านั้น
หนึ่งวันที่เต็มไปด้วยความสุขก็ได้ผ่านไปด้วยประการละฉะนี้
วันต่อมา อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นก็กลับมาที่ห้องวิจัยของศาสตราจารย์หยางอีกครั้ง
อันหลินเห็นกันดั้มของตัวเองถูกศาสตราจารย์หยางชำแหละออกเป็นชิ้นๆ ฉับพลันตกตะลึง
“ศาสตราจารย์หยาง ท่านทำอะไรน่ะ!” อันหลินลนลานแล้ว ราวกับเห็นของรักของหวงของตนถูกเด็กน้อยกระแทกจนแหลกอย่างไรอย่างนั้น
ศาสตราจารย์หยางช้อนตาขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่มันเห็นอยู่ทนโท่ไม่ใช่หรือ ข้ากำลังศึกษาอยู่อย่างไรเล่า”
อันหลินเบิกตามองชิ้นส่วนอะไหล่นับร้อยนับพันชิ้นที่กองเต็มพื้น สูดลมหายใจเข้าลึก “ท่านแน่ใจนะว่าจะกลับสู่สภาพเดิมได้”
ศาสตราจารย์หยางยิ้มอ่อนโยน พูดเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าเป็นมืออาชีพ!”
อันหลินทนมองต่อไปไม่ได้แล้ว จึงลากซูเฉี่ยนอวิ๋นออกไปข้างนอก ทนดูลูกรักของตัวเองถูกแกะออกเป็นชิ้นส่วน เจ็บปวดใจและไม่สบายใจเอาเสียเลย!
ตอนนี้ทำได้เพียงภาวนาให้ศาสตราจารย์หยางแห่งวงการบำเพ็ญเซียนท่านนี้ ช่วยมีความรับผิดชอบหน่อย อย่าเป็นเหมือนศาสตราจารย์บางคนในประเทศ
เมื่อเขาเดินออกมาแล้ว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานดังขึ้นข้างหู “เจ้า…มือ…”
อันหลินกะพริบตา เมื่อเห็นว่าใบหน้างามหยาดเยิ้มของหญิงตรงหน้าแดงก่ำ และรู้สึกได้ว่ามือของตนกำลังกุมมือเล็กที่อ่อนนุ่มปวกเปียกราวกับไร้กระดูก ก็ตกใจจนรีบปล่อยมือเป็นพัลวัน “อา ขอโทษนะ หุนหันชั่วขณะน่ะ…”
“ไม่…ไม่เป็นไร” ซูเฉี่ยนอวิ๋นส่ายหน้าเล็กน้อย เมื่อสงบสติอารมณ์แล้วก็พูดเสียงเบาว่า “พี่ฉางเอ๋อบอกว่า จับมือกับชายอื่นไม่ตั้งท้อง จูบจึงจะท้อง”
อันหลินชะงักอยู่กับที่ ในใจเหมือนมีฝูงสัตว์นับหมื่นวิ่งห้อผ่านไป
จูบจึงจะท้องงั้นเหรอ
พี่ฉางเอ๋อคนนี้สอนน้องซูเฉี่ยนอวิ๋นแบบนี้มันดีจริงๆ เหรอ!
แต่ว่านะ เขาไม่กล้าพูดเรื่องความรู้ทางสรีรวิทยาที่ถูกต้องกับซูเฉี่ยนอวิ๋นหรอก
การรนหาที่ตายแบบนี้ อาจถูกพี่ฉางเอ๋อตบจนตายได้!
ระหว่างทางกลับ อันหลินก็พบกับบุรุษที่แต่งตัวหรูหรา รูปโฉมงดงามยิ่งนักคนหนึ่ง
“พี่รอง ท่านจะไปไหนหรือ” ซูเฉี่ยนอวิ๋นทักทายชายคนนั้นยิ้มๆ
อันหลินนึกขึ้นได้ว่า ซูเฉี่ยนอวิ๋นมีพี่ชายสองคนคือ ซูกู่กับซูซิ่น ดูท่าทางชายคนนี้จะเป็นซูซิ่น พี่รองของนาง
ซูซิ่นมีผิวขาวหยวกงามละเอียด ใบหน้างามสะคราญเป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่อันหลินได้พบเขา ก็เกิดความรู้สึกตะลึง ใช้คำว่างดงามมานิยามตัวเขา มันช่างเหมาะสมเสียนี่กระไร!
ควรจะพูดว่าสมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน กรรมพันธุ์ดีได้ไหม…
ซูซิ่นหันกลับมา เมื่อเห็นผู้มาเยือน ดวงหน้าที่งดงามมีรอยยิ้มรักใคร่เอ็นดูปรากฏให้เห็นทันที “วันนี้ไต้ซือกระบี่เจียงหย่าหนานจะมาถ่ายทอดวิชาความรู้ที่วัง ข้ากำลังจะไป เจ้าสนใจอยากไปด้วยกันไหม”
ซูเฉี่ยนอวิ๋นได้ฟังตาก็เป็นประกาย “ได้เลย ความจริงข้าก็สนใจการฝึกกระบี่มากอยู่เหมือนกัน”
ซูซิ่นพยักหน้า จากนั้นก็เบนสายตามองอันหลิน ถามอย่างสงสัยว่า “สหายท่านนี้คือ…”
ซูเฉี่ยนอวิ๋นตบหน้าผากอย่างมึนงง พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “อ้อ เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของข้า ชื่ออันหลิน ท่านนี้เป็นพี่ชายข้า ซูซิ่น”
หลังผ่านการแนะนำของซูเฉี่ยนอวิ๋น อันหลินกับซูซิ่นก็ทักทายกันและกัน จากนั้นทั้งสามก็เดินไปพร้อมกัน
ต่อมา ซูซิ่นมักจดจ้องอันหลินอยู่บ่อยครั้ง มันช่างน่าสงสัยเหลือเกิน
สายตานั้นทำเอาอันหลินอึดอัดเล็กน้อย เขาที่มีประสบการณ์โชกโชน จึงเกิดการคาดเดาไม่ดีบางประการขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หรือว่า…ซูซิ่นคนนี้จะสนใจเขา