ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม – ตอนที่ 178 พี่เป็นเพียงแค่ตำนาน

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ภาคเรียนใหม่มาถึง

อาคารเรียนของอันหลิน ย้ายมายังสถานที่ซึ่งมีชื่อว่า เขตปีกปัณฑูร มันเป็นเขตเฉพาะของนักเรียนชั้นปีที่สอง

เหล่าหนุ่มสาวของรุ่นใหม่ พากันเดินเข้ามายังประตูของสำนักอย่างไม่ขาดสาย ใบหน้าของแต่ละคนล้วนมีประกายของความสดใส

หนึ่งวันก่อนเปิดเทอมอย่างเป็นทางการ อันหลินกลับมาที่ประตูสำนักอีกครั้ง พลันก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมานิดหน่อย

ยังไม่ทันไร หนึ่งปีก็ผ่านไปแล้ว…

ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่รู้อะไรอยู่เลย

ตรงหน้าประตูนี่แหละ ที่เขาพบเจอกับเพื่อนบำเพ็ญเซียนคนแรกในชีวิต สวีเสี่ยวหลาน

นึกถึงเหตุการณ์ที่ทั้งคู่หัววัวไม่ตรงปากม้า[1]ในคราแรก คนหนึ่งพูดภาษาจีนกลาง อีกคนพูดภาษาบรรพกาลที่พิลึกหายาก เขาก็อดขำไม่ได้

เขาเดินหน้าต่อ มาถึงจัตุรัสเล็กๆ แห่งหนึ่ง พื้นที่ของมันไม่ใหญ่ แต่กลับมีนักเรียนร่วมพันกำลังล้อมมุงดู

ศิลาสีดำขนาดมหึมาตั้งตระหง่านท่ามกลางฝูงชน มีแสงสีขาวผุดออกมาเป็นระยะๆ

อืม…นี่เป็นศิลาตรวจสอบระดับพลังยุทธ์

จำได้ว่าตอนนั้น ฉายา ‘เด็กเส้นที่เส้นใหญ่ที่สุด’ ซึ่งลือเลื่องไปทั่วสำนักได้มาจากที่นี่

อันหลินยิ้มบางๆ ตอนนี้เขาเป็นนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว แม้เทคนิคจะเบี้ยวไปบ้าง สิ่งที่ก่อตัวเป็นขุมพลังสัตว์ แต่อย่างน้อยก็นับว่าปลาเค็มลืมตาอ้าปากได้แล้ว

น่าเสียดาย…ตอนนั้นไม่มีใครกระโดดออกมาเหยียบย่ำซ้ำเติมเขา ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงฟาดหน้าสักฉาดได้

ศิลาสีดำส่องแสงสีขาวสว่างไสว ตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น : [กายแห่งมรรคขั้นสิบ!]

ผู้คนเริ่มแตกตื่นขึ้นมาชั่วขณะ คำวิจารณ์ต่างๆ นานาก็บังเกิดขึ้นอย่างเกรียวกราว ไม่ว่าจะเป็น ‘โอ้โห สุดยอดเลย!’ หรือ ‘โอ้โห อัจฉริยะชัดๆ!’

“เหยาซิ่ว ห้องหนึ่ง!” เสียงหนักแน่นดังขึ้น

“เย่!”

หญิงชุดเขียวคนหนึ่งโห่ร้องด้วยความดีใจ

ทั้งๆ ที่นางรู้อยู่แล้วว่าตัวเองได้เข้าห้องหนึ่งแน่ๆ แล้ว แต่ก็ควบคุมจิตใจของตัวเองไม่ได้อยู่ดี ใช้วิธีกู่ร้องตะโกนก้องระบายออกมาตามใจตน

หญิงสาวมีผิวขาวดุจหยวก จิ้มลิ้มน่ารัก มัดผมแกละสองขาวยาวระหัวไหล่ แลดูร่าเริงสดใส

บอกตามตรง ในบรรดานักพรตหญิง การมัดผมแกละสองข้างนั้นหายากยิ่ง อันหลินจึงจ้องนางอยู่หลายหน

ขณะนั้นเอง ศิลาสีนิลก็ส่องแสงสีขาวโชติช่วงอีกระลอก จากนั้นฝูงชนที่ล้อมมุงดูก็แตกฮือ ก่อให้เกิดความฮือฮาอย่างใหญ่หลวง

มันเป็นเพียงเพราะอักษรบนศิลาระบุว่า : [ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้น!]

“เหยาหมิงซี ห้องหนึ่ง!” เสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง

“ที่แท้เขาก็คือเหยาหมิงซี อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักหยินหยางนี่เอง!”

“เหยาซิ่วกับเหยาหมิงซีเป็นพี่น้องกันสินะ พรสวรรค์วิปริตเกินไปแล้ว เป็นกรรมพันธุ์กระมัง”

“ความจริงพวกเขามีชื่อทั่วแคว้นหลิงเจี้ยนแล้ว ต่างก็เป็นอัจฉริยะที่สื่อสารกับศิลากระบี่โบราณได้”

“ทดสอบมาถึงช่วงสุดท้าย ข้าคิดว่ารุ่นเราจะล้มเหลวถึงขั้นไม่มีระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเลยสักคน ยังดีที่มีเหยาหมิงซี…”

“กริ๊ด เหยาหมิงซีหล่อจังเลย!”

มีแฟนคลับเริ่มตะโกนกรีดร้องอย่างทนไม่ไหว

เหยาหมิงซีสวมชุดสีดำ รูปโฉมหล่อเหลา สีหน้าเย็นชา ชวนให้รู้สึกเข้าถึงได้ยาก

เขาเดินออกจากฝูงชนอย่างนิ่งเฉย

เหยาซิ่ววิ่งเหยาะๆ เข้ามา คล้องแขนเขาไว้อย่างยิ้มแย้ม พูดเสียงหวานว่า “สมกับเป็นพี่ชายของข้า อันดับหนึ่งในรุ่นนักเรียนใหม่เป็นท่านแน่นอน!”

เหยาหมิงซียิ้มละมุน แต่ดวงตากลับทอดมองไปไกล เอ่ยเสียงเรียบว่า “ซิ่วเอ๋อร์ สายตาของเราไม่ควรอยู่แค่ในหมู่นักเรียนใหม่ของรุ่นนี้ ต้องวางเป้าหมายไว้ทั้งสำนัก!”

นัยน์ตาสุกใสน่ามองของเหยาซิ่วเป็นประกายวาบ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพี่พูดถูก หวังเสวียนจ้านที่หนึ่งของอันดับเซียน บรรลุระดับแปลงจิตในชั้นปีที่ห้า คนที่มีพรสวรรค์แบบนี้ต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่เราควรสู้ด้วย”

เหยาหมิงซีขำเบาๆ ไม่สะทกสะท้านมากนัก “หวังเสวียนจ้านเก่งกาจมากก็จริง แต่เจ้ารู้ไหม ในสำนักมีบุคคลระดับตำนานอยู่คนหนึ่ง เจ้าเพิ่งมาจึงยังไม่รู้ เขาต่างหากที่เป็นคนที่ข้าเลื่อมใสศรัทธา…”

เหยาซิ่วได้ฟังก็เผยอปาก “ใครกันน่ะ”

ในสำนักนอกจากหวังเสวียนจ้านที่อยู่ในระดับแปลงจิต เหมือนจะไม่มีใครอยู่ในระดับนี้แล้ว ใครกันแน่ที่ทำให้เหยาหมิงซีผู้ทะนงตนนับถือด้วยใจได้ นางสงสัยมากจริงๆ

“ข้าจะเล่าวีรกรรมของเขาให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” แววตาของเหยาหมิงซีร้อนระอุ ใบหน้าเฉยชาปรากฏปฏิกิริยาใฝ่ฝันอย่างเห็นได้ยาก “ไอดอลของข้า ตอนที่เพิ่งเข้าเรียนมีระดับแค่กายแห่งมรรคขั้นศูนย์”

เหยาซิ่วได้ฟังก็ชะงัก ดวงตาโตสดใสกะพริบปริบๆ

“ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งปี เจ้าเดาสิว่าตอนนี้ระดับพลังยุทธ์ของเขาคืออะไร” เหยาหมิงซีถาม

ใบหน้างดงามของเหยาซิ่วตื่นจากภวังค์ความตกใจ เริ่มคาดเดาจากระดับสุดยอดที่สุดที่คิดไว้ในใจ “กายแห่งมรรคขั้นสิบหรือ”

เหยาหมิงซีส่ายหน้า “ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณต่างหาก!”

“หล่อ…หล่อเลี้ยงวิญญาณหรือ” เหยาซิ่วนิ่งเฉยไม่ได้แล้ว หน้าอกน้อยๆ กระเพื่อมอย่างรุนแรง

เวลาแค่เพียงหนึ่งปี ก็เลื่อนจากกายแห่งมรรคขั้นศูนย์เป็นหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วหรือ

เมื่อเทียบกันแล้ว…นางที่ทึกทักว่าตนเป็นอัจฉริยะกระบี่แห่งแคว้นหลิงเจี้ยน ตลอดสิบแปดปีนี้ใช้ชีวิตสูญเปล่าแล้วหรือ!

“แต่นี่เป็นเพียงหนึ่งในวีรกรรมของเขาเท่านั้น…เจ้ารู้ไหมในศึกแห่งอิสรภาพ ทั้งๆ ที่มีระดับเพียงกายแห่งมรรค แต่กลับเอาชนะหวังเสวียนจ้านผู้เป็นที่หนึ่งของอันดับเซียนในตอนนั้นด้วยนิ้วเดียว!” เหยาหมิงซีพูดต่อ

“เอาชนะหวังเสวียนจ้านด้วยนิ้วเดียวหรือ” เหยาซิ่วพึมพำ ใบหน้ามีแต่ความไม่เชื่อ

“ไม่เพียงเท่านี้ ตอนที่เขาลงไปทำภารกิจยังแดนมนุษย์ จู่ๆ ราชินีอ้านเย่แห่งเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดก็มาปรากฏตัว แต่กลับถูกเขาสังหารภายในหนึ่งกระบี่!” เหยาหมิงซียิ่งพูดก็ยิ่งเหิมฮึก

“ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าราชินีในเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดได้นั้น ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่า…คุณพระ!” เหยาซิ่วตกใจจนสะดุ้งโหยง ตัวแข็งทื่อไปแล้ว

หากว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ออกมาจากปากของพี่ชายผู้ซึ่งไม่เคยพูดเล่น นางไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

“ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าว่าศิษย์พี่คนนี้เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจใช่ไหม ควรค่าให้นับถือชื่นชมหรือไม่!” เหยาหมิงซีนัยน์ตาแวววาว ลมหายใจถี่กระชั้น

เหยาซิ่วยับยั้งความยกย่องเทิดทูนของตนไม่ไหวแล้ว “ท่านพี่ เขาคือใคร”

เหยาหมิงซี “เขาชื่ออันหลิน เป็นศิษย์พี่ปีสอง!”

เหยาซิ่วออกอาการตื่นเต้น “ศิษย์พี่อันหลินใช่ไหม เราไปหาเขาวันนี้กันเลยดีกว่า! ไปทำความรู้จักไว้!”

เหยาหมิงซีพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่จะบุ่มบ่ามเกินไปไม่ได้ เราต้องสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้แก่ศิษย์พี่!”

“หรือเราสองคนจะรำกระบี่ให้เขาดูดี” เหยาซิ่วเสนอแนะหลังจากที่ขบคิดชั่วครู่

“ปัญหาอยู่ที่เขาชอบชมการรำกระบี่หรือไม่ ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าร้องเพลงเพราะ เจ้าร้องเพลงให้เขาสักเพลง ข้าจะรำกระบี่เอง เช่นนั้นขอเพียงเขาชอบสักอย่าง เราก็ทำสำเร็จแล้ว!” เหยาหมิงซีกล่าว

“หากเขาไม่ชอบเลยล่ะ” เหยาซิ่วกังวลใจ

“ไม่ชอบเลยหรือ…เช่นนั้นเราก็ใช้ไม้แข็ง!” ดวงตาของเหยาหมิงซีลุกวาว

“ไม้แข็งอย่างไร” ดวงหน้าผุดผ่องราวหิมะของเหยาซิ่วตื่นเต้นจนขึ้นสีแดงเรื่อ

เหยาหมิงซีกัดฟันพูดว่า “แม้จะเป็นเพื่อนไม่ได้ ก็ต้องทำให้เขาจดจำพวกเรา…”

“เราถามเขาก่อนได้ว่าเขาชอบอะไร จากนั้นพยายามสนองความต้องการของเขา หากว่าเขายังปฏิเสธ เช่นนั้นเราก็ตามตอแย เกาะเขาแจไม่ไปไหน จนกว่าเขาจะยอมรับเรา!”

นัยน์ตาของเหยาซิ่วทอประกาย “พวกเราต้องขอลายเซ็น ถ่ายรูปรวม แลกวิธีการติดต่อทางยันต์สื่อจิตด้วย!”

“ถูกต้อง เช่นนี้แหละ! เราไปกันเถอะ ไปเขตปีกปัณฑูรกัน!” เหยาหมิงซีพยักหน้ารัวๆ

“ได้เลยท่านพี่!” เหยาซิ่วอดรนทนไม่ไหวแล้ว

ด้วยเหตุนี้ สองพี่น้องคู่นี้จึงตรงดิ่งไปที่เขตปีกปัณฑูรด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น อารมณ์พลุ่งพล่าน

ในบริเวณเดิมที่พวกเขาเคยยืนอยู่ มุมปากของอันหลินกระตุก ใบหน้าถมึงทึง

บทสนทนาเมื่อครู่นี้ เขาได้ยินครบถ้วนทุกคำ

อารมณ์แปรเปลี่ยนจากภาคภูมิใจในตอนแรกเป็นปวดตับในตอนนี้

เขาเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจวิ่งไปฝั่งตรงข้ามกับทิศทางที่สองพี่น้องไป…

…………

[1] หัววัวไม่ตรงปากม้า หมายถึง ตอบไม่ตรงคำถามหรือเรื่องราวไม่สอดคล้องกัน

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

Status: Ongoing
ในโลกมนุษย์ อันหลินดูเหมือนจะถูกพระเจ้าทอดทิ้งเมื่อจู่ๆ พ่อของเขาก็หายตัวไปพร้อมทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้ ทำให้ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตรายหลังจากถูกเจ้าหนี้บีบจนต้องขึ้นไปถึงดาดฟ้าตึก อันหลินกลับถูกลมประหลาดพัดออกจากดาดฟ้าและดิ่งลงพื้นแต่เขากลับไม่ตาย แถมยังรอดพ้นจากเจ้าหนี้ จากนั้นจึงพบว่าผู้ที่ช่วยตนไว้คือท่านเซียนคนหนึ่งท่านเซียนยังได้มอบของขวัญที่ดูเหมือนมาจากความเมตตาอันบริสุทธิ์ให้กับเขานั่นคือ ‘ระบบเทพสงคราม’ พร้อมกับจดหมายรับรองเพื่อมุ่งหน้าไปบำเพ็ญเพียรบนสวรรค์!?มาร่วมเดินทางในโลกอันเป็นตำนานใบใหม่ไปพร้อมกับอันหลินพบปะเพื่อนใหม่มากมาย ได้รับอาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือในตำนานและเริ่มต้นเส้นทางการกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งที่สุด…ชีวิตใหม่ของอันหลินพร้อมกับระบบที่ ‘ยอดเยี่ยม’ ของเขาจะไม่มีช่วงเวลาให้เงียบเหงาอย่างแน่นอน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท