“เสี่ยวเสีย ให้เกียรติข้าหน่อย” อันหลินพูดขอร้อง
กระบี่พิชิตมารไม่กระดิกกระเดี้ยประหนึ่งเศษเหล็ก
อันหลินกวาดตามองทุกคนที่กำลังอึ้งแล้วหน้าแดง
พับผ่าสิ น่าอายจังเลย!
“ฮ่าๆ ๆ ไม่เป็นไร กระบี่ของเจ้าอาจจะเหนื่อยเกินไป จึงไม่อยากขยับ” สวีเสี่ยวหลานเห็นท่าทางของอันหลิน จึงรีบพูดปลอบโยนทันที
นางก็ไม่รู้ว่ากระบี่พิชิตมารของอันหลินมีปราณกระบี่หรือไม่ แต่เหตุการณ์ที่กระอักกระอ่วนปานนี้ นางคิดว่าไม่ดำเนินต่อไปจะดีกว่า จึงเป็นฝ่ายแก้ตัวแทนอันหลิน
อันหลินพยักหน้า เก็บกระบี่ขึ้นอย่างผิดหวัง
จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มันคือภารกิจของระบบ
‘ขุมพลังอาวุธวิเศษขั้นหนึ่ง บรรลุภารกิจ : ทำให้อาวุธกำเนิดปราณ’
ทั้งๆ ที่กระบี่พิชิตมารของเขามีปราณแล้วแท้ๆ แถมยังโจมตีเจ้านายด้วย ทำไมถึงไม่แสดงผลว่าภารกิจสำเร็จแล้ว
“เสี่ยวหลาน ข้าอยากถามหน่อยว่า กระบี่พิชิตมารของข้าพูดได้แล้ว ถือว่ามีปราณหรือไม่” อันหลินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
สวีเสี่ยวหลานส่ายหน้า “ไม่นับน่ะสิ การกำเนิดปราณของกระบี่เซียนคือ ปราณกระบี่สามารถหลุดออกจากกระบี่ก่อตัวเป็นรูปร่าง กระบี่เซียนพูดได้ บ่งบอกเพียงว่าอาวุธชิ้นนี้มีสติปัญญา อยู่ในระดับก่อปราณ!”
อันหลินได้ฟังก็ผิดหวัง เขาย่อมเคยได้ยินวิธีกำเนิดปราณมานับไม่ถ้วน แต่มันก็แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกระบี่ ใครจะรู้ว่ากระบี่พิชิตมารชอบอะไร
“เสี่ยวเสียๆ…ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะกำเนิดปราณ” อันหลินซักไซ้อย่างไม่ลดละ
กระบี่พิชิตมารไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีการตอบสนอง
อันหลิน “…”
เอาเถอะ เขายอมแล้ว
นี่เป็นกระบี่เย็นชาหนึ่งเล่ม เจ้านายขี้เล่นไม่เหมาะจะคุยกับมัน
ทุกคนพักผ่อนระยะหนึ่งแล้วมุ่งหน้าสู่ตำหนักสุดท้าย
ตำหนักสวรรค์ สถานที่ที่ลึกลับที่สุดและน่ากลัวที่สุดของสุสานมังกรเหมันต์!
นักพรตสองกลุ่มแรกที่เข้าสุสานมังกร ไม่ได้ออกมาตลอดการหลังเข้าไปในตำหนักสวรรค์
อันหลินจ้องตำหนักที่ส่องประกายสีขาว ในใจระส่ำระสาย
ราวกับแสงสว่างกำลังบอกเล่าความงดงามของโลกใบนี้กับเขา มันเป็นมนต์เสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้ หากจ้องนาน จะเกิดความปรารถนาอยากจะเข้าไปสำรวจตำหนักทันทีทันใดขึ้นในใจ
ตำหนักสวรรค์ใหญ่มาก ใหญ่กว่าตำหนักทั่วไปนับสิบเท่า เมื่อทอดมองจากท้องฟ้า ก้อนหินที่แบกตำหนักสวรรค์ก็เหมือนหัวมังกรที่สมจริง เผยความน่าเกรงขามที่สูงส่งรำไร
“กฎเดิม ให้ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์นำ หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไป พวกเราก็หนีเลย” อันหลินพูดกับทุกคน
ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ผลักประตูเข้าไป พวกอันหลินตามหลังด้วยความตึงเครียด
“เอ๊ะ ทำไมไม่มีใครเลย” อันหลินมองภาพตรงหน้าอึ้งๆ
การตกแต่งภายในตำหนักไม่ถึงกับหรูหรา พูดได้เพียงว่าวิจิตรเรียบง่าย แผ่กลิ่นไม้หอมบางๆ ไม่มีความอหังการทะนงตน
ตำแหน่งตรงกลางเป็นเสาแสงสีขาวเทียมฟ้า นั่นคงจะเป็นแหล่งที่มาของรัศมีแห่งตำหนักสวรรค์
มองจากภายนอก รัศมีนี้เย้ายวนใจยิ่งนัก แต่มองจากข้างใน มันกลับให้ความรู้สึกสุขสงบ
ทุกคนยังไม่ทันได้สำรวจ ก็มีร่างหนึ่งก่อตัวหน้าเสาแสง
จู่ๆ ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ก็วางค่ายกลป้องกันไอออน ม่านแสงสีน้ำเงินปกคลุมทุกคนไว้
ลำแสงสีขาวดุจกระบี่มาเยือนกะทันหัน
โครม!
ลำแสงสีขาวชนกับค่ายกลป้องกันไอออน พลังงานแผ่ซ่านไปทั่วทิศทางอย่างบ้าคลั่ง
ม่านแสงสีน้ำเงินเกิดสถานการณ์สั่นสะเทือนอย่างแรงเป็นครั้งแรก คล้ายกับจะต้านไม่ไหว
การจู่โจมมาอย่างไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์เป็นหุ่นยนต์ จึงรับมือกับอันตรายได้อย่างรวดเร็วและสุขุม ถึงได้ต้านทานการโจมตีนี้ได้
“เอ๊ะ หุ่นนี่น่าสนใจ สิ่งประดิษฐ์ของดาวม่วงหรือ”
จู่ๆ ก็มีเสียงดุจเสียงสวรรค์เลือนรางห่างไกลดังขึ้น
ร่างหน้าเสาแสงลอยลงพื้น ผู้มาเยือนเป็นสตรีรูปร่างสูงระหง สวมชุดขาวคนหนึ่ง
อันหลินมองหญิงคนนั้น รูปโฉมงดงามสง่าประหนึ่งเทพธิดาโดดเดี่ยวในปฐพี ศีรษะมีเขามังกรสีเงิน วิจิตรจนชวนให้ลุ่มหลงคู่หนึ่ง
อันหลินมองเพียงปราดเดียว ก็รู้สึกละสายตาไม่ได้
ราวกับเขามังกรเป็นงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก!
อืม ดึงดูดใจยิ่งกว่าใบหน้างดงามล่มเมืองของหญิงสาวเสียอีก เขาคิดว่าขืนตนมองต่อไปต้องกลายเป็นคนคลั่งเขาแน่
ไม่ใช่แค่อันหลิน แม้แต่สวีเสี่ยวหลาน ต้าไป๋และเจ้าอัปลักษณ์ก็อดมองเขามังกรคู่นั้นไม่ได้…
ทุกคนถึงขั้นจินตนาการว่า เขามังกรที่สมบูรณ์แบบคู่นั้น ใช่ของรางวัลจากตำหนักสวรรค์หรือไม่
หากว่าเป็นเขามังกรจริง พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าน่าแปลกตรงไหน กลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสมควร!
“จ้องพอหรือยัง” หญิงชุดขาวเห็นทุกคนจดจ้องเขามังกรของนาง ก็ไม่แปลกใจ เพียงแค่ยิ้มบางๆ
“จ้องพอแล้ว ขอบังอาจถามผู้อาวุโส รางวัลของตำหนักนี้ใช่เขามังกรหรือไม่” อันหลินเอ่ยถามอย่างสงบเสงี่ยม
ใช่แล้ว แม้หลงอ้าวเทียนเคยบอกว่ารางวัลคือมรดกและสมบัติของเสิ่นอิงอะไรเทือกนั้น แต่อันหลินก็หวังว่ารางวัลจะเป็นเขามังกรคู่นี้
“ไม่ใช่หรอกนะ” หญิงชุดขาวไม่โมโห กลับตอบยิ้มๆ ว่า “เป็นของดีที่ไม่ด้อยไปกว่าเขามังกรคู่นี้ เพียงแต่ว่าหากต้องการมัน จำต้องผ่านการทดสอบก่อน…”
“การทดสอบอะไรหรือ” อันหลินถามอย่างสงสัย
“การทดสอบที่หนึ่ง การทดสอบพลังต่อสู้” หญิงชุดขาวเรียกลมก่อตัวเป็นกระบี่ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่
แต่รังสีอำมหิตเย็นเยือกที่แผ่ออกจากตัวนางกลับเป็นเหมือนความหนาวเหน็บอันยาวนาน ทำให้ทุกคนสั่นระริกขึ้นมาทันที
“ต๋าอี ต๋าเอ้อร์!” อันหลินตะโกนลั่น
ฟิ้ว!
หญิงชุดขาวย่ำเท้า พุ่งประชิดตัวต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ที่อยู่หน้าสุดในพริบตา กระบี่ลมตวัดฟันลงมา
กันดั้มตัวหนึ่งเพิ่งวางค่ายกลคุ้มกันไอออน กลับถูกกระบี่ของหญิงชุดขาวฟันจนเป็นรูใหญ่
ดาบเลเซอร์ของกันดั้มอีกตัวจะฟันที่บั้นเอวของหญิงสาวแล้ว มันรวดเร็วดุจสายฟ้า ราวกับลำแสงกะพริบวาบ
นิ้วเรียวขาวหยวกกลายเป็นกรงเล็บมังกรแล้วคว้าหมับ พลังมหัศจรรย์อย่างยิ่งแช่แข็งกาลเวลา ขัดขวางทิศทางของดาบเลเซอร์
นางก้าวถอยหลัง มืออีกข้างถือกระบี่ลมฟันกันดั้มตรงหน้าด้วยความเร็วที่รวดเร็วยิ่งกว่า
จากนั้นสิ่งที่ทำให้พวกอันหลินต้องตะลึงก็บังเกิด
ทั้งๆ ที่เป็นกระบี่ที่เกิดจากลม ไม่อาศัยอาวุธมีคมใดเลย แต่เมื่อกระบี่ลมชนกับร่างของกันดั้ม กลับเกิดเสียงโลหะแผดร้องบาดหู
จากที่อันหลินมอง กันดั้มที่ทนทานแทบจะฟันแทงไม่เข้า กลับถูกกระบี่ลมฟันจนเป็นรอยแยกดำสนิทภายในพริบตา!
กันดั้มถูกโจมตีอย่างแรงจนกระเด็นทันที
กันดั้มอีกตัวพุ่งใส่หญิงสาวอีกครั้ง นางหันกลับมาปล่อยหมัดใส่หน้าอกของมัน
ครืน!
แผ่นดินสั่นสะเทือนโดยพลัน อันหลินเห็นมิติตรงทรวงอกของกันดั้มบิดเบี้ยวและแตกระแหง…
ชุดเกราะเหล็กสีเงินของกันดั้มเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน ร่างลอยลิ่วทันใดประหนึ่งขีปนาวุธ
อันหลินตะลึงอ้าปากค้างเมื่อเห็นเช่นนั้น
แม้หญิงชุดขาวตรงหน้าจะเก็บงำพลัง แต่ฝีมือที่ทำให้มิติบิดเบี้ยวและแตกระแหงได้นั้น มีเพียงยอดฝีมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่าเท่านั้นที่ทำได้!
“หนีเร็ว!” อันหลินพูดอย่างไม่ลังเล
สวีเสี่ยวหลาน ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์ถอยไปที่ประตูตำหนักอย่างไม่ยึกยัก
แต่เสี้ยววินาทีต่อมา หญิงสาวก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเจ้าอัปลักษณ์แล้วปล่อยหมัด
แรงหมัดที่น่ากลัวทำให้เจ้าอัปลักษณ์กระอักเลือดลอยกระเด็น จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นกดต้าไป๋ ต้าไป๋รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลปานภูเขาลูกใหญ่กระแทกลงมา ประหนึ่งแม้แต่กระดูกก็จะแตกแล้ว ร่างจมลงในผืนดิน
“เจ้าอัปลักษณ์! ต้าไป๋!” อันหลินตะโกนลั่น ปีกวายุก่อตัวขึ้นข้างหลัง กำลังจะใช้พลังปราณอนธการทุ่มสุดชีวิต แต่ชั่วพริบตา ร่างสีขาวก็ปรากฏกายตรงหน้าเขาแล้วตบเข้าที่หน้าอก
รวดเร็วเหลือเกิน ไม่อาจหลบฝ่ามือนี้ได้เลย
หน้าอกของอันหลินถูกฝ่ามือสะเทือนจนยุบลงไป ทุกอวัยวะภายในพลิกคว่ำแตกละเอียด กระอักเลือดออกมา
“อันหลิน!” เสียงคุ้นเคยแผดร้อง
สวีเสี่ยวหลานถือกระบี่วิหคมังกร ฟันหญิงชุดขาวคนนั้นโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น
เมื่อวิหคมังกรปรากฏ เสียงหงส์คำรนมังกรคำรามดังขึ้นทันที แสงกระบี่สีแดงเจือน้ำเงินลอยออกไปสิบจั้ง พุ่งใส่หญิงชุดขาวด้วยอานุภาพราชันอันสูงส่ง
“วิหคมังกร…” หญิงชุดขาวหน้าถอดสี นัยน์ตาสุกใสฉายความสับสน
ตูม! เปลวไฟและสายฟ้าระเบิด แผดเผาพสุธาในรัศมีสิบจั้งจนราบคาบ ตำหนักทั้งหลังพังถล่มไปส่วนหนึ่งเพราะเหตุนี้
สวีเสี่ยวหลานหันหลังพุ่งไปหาอันหลินโดยที่ไม่มองผลลัพธ์ อยากพาเขาหนีจากที่นี่
แต่จู่ๆ มิติเบื้องหน้าก็ปริแตก หญิงชุดขาวก้าวออกมาจากมิติที่แตกร้าว จ้องสวีเสี่ยวหลานด้วยแววตาพิจารณา
“เจ้าชื่ออะไร” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยเสียงที่เสนาะหู
สวีเสี่ยวหลานกัดริมฝีปาก หายใจหอบมองหญิงตรงหน้า ใบหน้าฉายความสิ้นหวัง ความสามารถแตกต่างกันเหลือเกิน การเผชิญกับความสามารถนี้ แม้แต่การหนียังดูสูญเปล่า…
นางครุ่นคิด สุดท้ายก็เลิกขัดขืน ตอบตามความจริงว่า “ข้าชื่อสวีเสี่ยวหลาน”
หญิงชุดขาวได้ยินก็ขบคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเผยรอยยิ้มงดงาม
“สวัสดี ข้าชื่อเสิ่นอิง”