อันหลินได้ฟังก็ตะลึงงัน สัตว์เทพนับหมื่นกำลังคำรามในใจ
คุณพระ! ฉางเอ๋ออยากมีความรัก
นี่มันข่าวใหญ่เชียวนะ! ข่าวใหญ่ที่สะเทือนทั้งแดนจิ่วโจว!
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหาที่ร้ายแรงอย่างมาก จึงส่งกระแสจิตถามว่า “นางบอกหรือไม่ว่า คนรักที่ต้องการ เป็นชายหรือหญิง”
ใช่แล้ว นี่เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด
อันหลินคิดว่าความสำคัญของปัญหาข้อนี้ เหนือกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเสียอีก
ซูเฉี่ยนอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง ราวกับแปลกใจว่าทำไมอันหลินถึงได้ถามคำถามที่ไม่จำเป็นแบบนี้ แต่นางก็ยังตอบอย่างจริงจังอยู่ดีว่า “ต้องเป็นผู้ชายอยู่แล้วสิ ถ้าเป็นหญิง คบกับข้าสิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”
“ซื้ด!”
อันหลินสูดปาก ข้อมูลในคำพูดของซูเฉี่ยนอวิ๋นรุนแรงเกินไป เขาต้องสงบจิตสงบใจหน่อย
ทำไมซูเฉี่ยนอวิ๋นถึงพูดประโยค ‘หากจะคบผู้หญิง คบกับนางก็สิ้นเรื่อง’ ได้เป็นธรรมชาติปานนี้ ความนัยที่แฝงอยู่ชวนให้คิดลึก หลังจากนั้นก็คือ ฉางเอ๋ออยากมีความรักกับผู้ชาย มันน่าตะลึงพรึงเพริดจริงๆ! หากข่าวนี้แพร่ไปถึงสรวงสวรรค์ ต้องเป็นที่ฮือฮาแน่นอน!
ในตอนนั้นเอง ฉางเอ๋อก็เบนสายตามองอันหลิน
ดวงตาอ่อนโยนทำเอาเขาสั่นไปทั้งตัว
“อันหลิน ไปเดินเล่นกับข้าหน่อย”
เสียงเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง อันหลินตัวแข็งเป็นหินเมื่อได้ยิน
ดวงตาคู่งามของซูเฉี่ยนอวิ๋นเบิกกว้าง มองฉางเอ๋อสลับกับมองอันหลิน
นางย่อมรู้ว่าความนัยที่แฝงอยู่ในประโยคนี้คืออะไร และเพราะเหตุนี้เอง นางถึงได้ทำใจเชื่อไม่ลง
ทางด้านกระต่ายดวงจันทร์ ชัดเจนว่ามันก็ถามซูเฉี่ยนอวิ๋นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จากนั้นมันที่ได้รู้ความจริง ก็แสดงอาการเช่นเดียวกับอันหลิน ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ ราวกับเหม่อลอยไปแล้ว
ล้อกันเล่น ฉางเอ๋อที่ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับผู้ชาย คิดจะคบหากับผู้ชายงั้นหรือ!
อีกอย่าง เรียกอันหลินไปเดินเล่นด้วยหมายความว่าอย่างไร หรือจะคบกับเซียนหนุ่มระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณคนนี้ เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไป เหล่าเทพเซียนแห่งสรวงสวรรค์อาจจะเครียดจนกระอักเลือดได้!
ฉางเอ๋อลุกขึ้นจากเก้าอี้ เยื้องย่างฝีเท้าแผ่วเบาไปหาอันหลิน ทุกการกระทำของนางเป็นธรรมชาติ ปานทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในหล้า ทำให้ละสายตาไปไม่ได้
นางเห็นอันหลินที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ ก็อดขำไม่ได้ “ไม่ต้องตึงเครียดปานนั้นหรอก”
แม้เสียงจะยังเย็นชา แต่กลับมีกลิ่นอายสนิทสนมเพิ่มมา คล้ายกับยามพูดคุยกับซูเฉี่ยนอวิ๋น
อันหลินตื่นจากภวังค์ มองเทพธิดาที่รูปงามเหนือคำบรรยายตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
คำพูดของฉางเอ๋อ…
เขาฟังรู้เรื่องแล้ว!
ฉางเอ๋อเก็บความฮิปสเตอร์ ท่าทางคงเพราะจะสื่อสารกับอันหลินได้อย่างปกติ
เมื่อคิดได้ดังนั้น อันหลินก็ปลาบปลื้มใจ
“มาเถอะ ไปเดินเล่นที่สวนหอมหมื่นลี้กับข้าหน่อย”
ฉางเอ๋อจูงมืออันหลิน เมื่อสะบัดชายกระโปรง มิติก็แปรเปลี่ยน
วินาทีต่อมา ทั้งคู่ก็โผล่มาในป่าหอมหมื่นลี้
นี่เป็นการข้ามมิติเหรอ อันหลินเบิกตากว้าง
ยอดฝีมือที่สามารถข้ามมิติได้อย่างง่ายดายปานนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ปกติแล้ว ยอดฝีมือหวนสู่ความว่างเปล่าข้ามมิติจะแหวกมิติก่อน ค่อยก้าวเข้าไป
วิธีที่สะบัดชายกระโปรงอย่างฉางเอ๋อ เขายังไม่ทันรู้สึกอะไร มิติก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว หากไม่บรรลุขั้นสุดยอดของวิชามิติ ไม่มีทางทำได้เด็ดขาด
ฉางเอ๋อหลับตาพริ้ม สูดลมหายใจเข้าลึก แพขนยาวสั่นระริกภายใต้แสงจันทร์ ปานผีเสื้อเริงระบำ
“อืม…หอมยิ่งนัก! ตอนนี้เป็นช่วงที่ดอกหอมหมื่นลี้บานสะพรั่ง”
นางยิ้มบางๆ จูงมืออันหลินเยื้องย่างภายในสวน
อันหลินสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของฉางเอ๋อ ใบหน้าแดงระเรื่อ
“อันหลิน เพราะเสี่ยวเย่กินขนมขบเคี้ยวที่เจ้าให้ ตลอดทั้งปีนี้อ้วนขึ้นตั้งชั่งกว่าๆ เมื่อก่อนมันเป็นคนที่รักสวยรักงาม ไม่คิดเลยว่าจะถูกขนมขบเคี้ยวของเจ้าขุนจนอ้วน”
อันหลินได้ยินก็ชะงัก จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “แหะๆ วันหลังท่านส่งเสี่ยวเยว่มาให้ข้า ข้าจะช่วยจูงมันเดินเล่นให้เอง”
“ได้จริงหรือ มันติดแหง็กอยู่ในวังจันทราทุกวัน ไม่เคยออกกำลังกายเลย ให้มันไปหาเจ้าที่สำนัก ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ท่านต้องยึดสากหยกของมันก่อนนะ ข้ากลัวเจ้านั่นมาก…”
“ฮ่าๆ ๆ เมื่อก่อนเสี่ยวเยว่ก็เคยพูดถึงเจ้าเหมือนกัน บอกว่าเจ้าทึ่มเกินไป ต้องเคาะหัวบ่อยๆ จึงจะฉลาด”
อันหลิน “…”
ทั้งสองเยื้องย่างอยู่ในป่าหอมหมื่นลี้ สนทนากันอย่างผ่อนคลาย
ความรู้สึกที่เขารู้สึกจากฉางเอ๋อ ไม่ใช่เจ้าแห่งวังจันทราที่สูงส่งอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนพี่สาวข้างบ้านคนหนึ่ง อ่อนโยนเป็นกันเอง งดงามสงบสุข
สายลมพัดโชย ผมดำขลับของฉางเอ๋อปลิวดุจแพรไหม กลิ่นหอมกรุ่นผสานกับกลิ่นหอมหมื่นลี้ เย้ายวนใจมากเป็นพิเศษ
นางยกมือขึ้นเล็กน้อย กลีบดอกสีขาวปลิวตามลมร่วงหล่นลงบนฝ่ามือ
ฉางเอ๋อมองกลีบดอกไม้สีขาวที่แผ่แสงจันทรา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เป็นช่วงที่ดอกหอมหมื่นลี้ดูดซึมแสงจันทร์ได้เต็มเปี่ยมที่สุด เด็ดหอมหมื่นลี้เหล่านี้มาชงชาหรือทำขนมไหว้พระจันทร์หอมหมื่นลี้ ล้วนเป็นตัวเลือกที่ดียิ่ง”
ความสนใจฉายบนใบหน้าของอันหลินทันที “ท่านทำขนมไหว้พระจันทร์หอมหมื่นลี้เป็นด้วยหรือ”
ฉางเอ๋อเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอนสิ ขนมไหว้พระจันทร์ที่ข้าทำเป็นที่หนึ่งในหล้าเชียวนะ อันหลินสนใจไหม วันหลังข้าทำขนมไหว้พระจันทร์หอมหมื่นลี้ส่งไปให้เจ้าเองกับมือเลย”
“เยี่ยมไปเลย!” อันหลินตอบรับทันที
ฉางเอ๋อเป็นถึงเจ้าแห่งวังจันทรา ขนมไหว้พระจันทร์ที่นางลงมือทำเอง มันอาจจะเป็นขนมไหว้พระจันทร์ของแท้ก็ได้!
แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้คนตกใจได้ไม่น้อยแล้ว! แถมยังเอาขนมไหว้พระจันทร์ไปโอ้อวดคนอื่นได้ด้วย ‘พวกเจ้ามองจันทร์ทำขนม แต่ขนมไหว้พระจันทร์ของข้า ท่านนั้นบนดวงจันทร์ทำเองกับมือเชียวนะ!’
หญิงสาวเห็นอันหลินตกปากรับคำฉับไวปานนี้ ก็อดป้องปากขำไม่ได้
เขาคงจะไม่รู้ว่าตัวเองได้เปรียบมากเท่าใดกระมัง…
ต้องรู้ว่าในสรวงสวรรค์ ขนมไหว้พระจันทร์ฝีมือฉางเอ๋อเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ ขนมไหว้พระจันทร์หนึ่งชิ้นเทียบเท่ายาเซียนหนึ่งเม็ด!
แต่ฉางเอ๋อจะไม่พูดเรื่องนี้ให้อันหลินฟังหรอก
ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้คุยกับคนที่ไม่มียางอายขนาดนี้ นางยังอยากจะอยู่อย่างนี้อีกสักพัก
เซียนทุกคนในสรวงสวรรค์เมื่อเห็นนาง ล้วนมีอากัปกิริยาที่ตาเป็นประกาย แววตาเร่าร้อนแบบนั้นทำให้นางหมดอารมณ์จะทำความรู้จักไปอีกขั้นหนึ่ง
ทว่านักพรตหนุ่มระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณคนนี้ แม้จะถูกรูปโฉมของตนดึงดูดใจตั้งแต่แรกเห็นเช่นกัน แต่ครู่เดียวเขาก็ทำตัวเป็นธรรมชาติ ราวกับลืมตัวตนของทั้งคู่ไป สนทนากันตามปกติ เยื้องย่างกันอย่างกลมกลืน
“อยู่กับเจ้าข้าผ่อนคลายมาก แม้จะไม่รู้ว่านี่ใช่ ‘การเดท’ หรือ ‘การคบหาดูใจ’ อย่างที่แดนมนุษย์เรียกกันหรือไม่ แต่บอกตามตรง ข้าไม่รังเกียจความรู้สึกแบบนี้” เสียงเย็นเยียบ แว่วมาประหนึ่งกลิ่นบุปผชาติ
อันหลินพูดหยอกเย้าว่า “ไม่รังเกียจก็เท่ากับชอบน่ะสิ”
ฉางเอ๋อยิ้มบางๆ นัยน์ตาสดใสจ้องชายหนุ่มข้างกาย
รอยยิ้มของนางทำให้สรรพสิ่งหม่นหมอง ทำให้หัวใจอันหลินเต้นช้าลง
อันหลินสูดหายใจดังเฮือก ครู่ใหญ่กว่าจะสงบจิตสงบใจได้
ความงามอันน่าเหลือเชื่อบวกกับรอยยิ้มนั่น มีพลังทำลายล้างสูงเหลือเกิน เขาเกือบจะตายเพราะความงามของฉางเอ๋อแล้ว!
“แดนมนุษย์มีวิจัยกล่าวว่า ผู้ชายมองหญิงงามเพื่อยืดอายุ เมื่อครู่ข้าเห็นรอยยิ้มของท่าน ข้าคิดว่าข้าคงเป็นอมตะไม่มีวันตายแล้ว!” อันหลินอุทาน
“เอ๊ะ ปากเจ้าทาเกสรหอมหมื่นลี้กระมัง หน้าไม่อายจริงๆ!” แม้ฉางเอ๋อจะพูดเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร นางกลับไม่รู้สึกรังเกียจการชมแบบนี้เลยสักนิด
นางคลายมือที่กุมมืออันหลินมาตลอดออก หรี่ตามองอันหลิน พูดทีละคำว่า “สิ้นสุดเกมความรัก! เจ้าเป็นชายคนแรกที่ได้เดทกับข้า และอาจจะเป็นคนสุดท้าย เจ้าควรจะภูมิใจ!”
อันหลินพยักหน้าจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของฉางเอ๋ออย่างยิ่ง “งั้นข้าโอ้อวดเรื่องนี้กับผองเพื่อนได้หรือไม่”
นี่เป็นการเดทกับหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสรวงสวรรค์เชียวนะ แถมได้จับมือด้วย โม้ได้อีกร้อยปีเลย!
ฉางเอ๋อแสยะยิ้ม “เจ้าพูดออกไปได้ แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ หากแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปจริงๆ คนกว่าครึ่งในสรวงสวรรค์อาจกลายเป็นศัตรูหัวใจของเจ้าในพริบตา”
อันหลินชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งใจ
คำพูดนี้ช่าง…มีเหตุผลยิ่งนัก!
หากยังอยากอยู่ในสรวงสวรรค์ต่อไป เรื่องนี้ต้องห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด!
“แม้ข้าจะไม่รังเกียจการอยู่กับเจ้า แต่อยู่กับซูซูตื่นเต้นกว่าจริงๆ ด้วย แถมยังมีความสุขมากกว่า…” ฉางเอ๋อทำหน้าสลด “ท่าทางข้าจะหมดทางเยียวยาแล้ว…”
มุมปากของอันหลินกระตุก เขาไม่ได้ต่อบทสนทนา และไม่กล้าต่อด้วย
เขาคาดเดาไว้อยู่แล้วว่า จู่ๆ ฉางเอ๋อจะมีความรักนั้นมีจุดประสงค์ คงเพราะอยากเปลี่ยนเพศวิถีของตัวเอง หรือไม่ก็อยากจะสัมผัสประสบการณ์รักต่างเพศ
มองจากตอนนี้แล้ว จุดประสงค์ของฉางเอ๋อเป็นอย่างแรก เสียดายที่ล้มเหลว
“จริงสิ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นข้าถึงยอมทุ่มเทมากปานนั้นเพื่อช่วยชีวิตเจ้า” จู่ๆ ฉางเอ๋อก็เปลี่ยนหัวข้อ เอ่ยถึงคำถามที่อันหลินคาใจที่สุด
เรื่องนี้รบกวนอันหลินมาเนิ่นนานแล้ว เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง เรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
ความสนใจของอันหลินถูกปลุกในพริบตา พูดอย่างตื่นเต้นว่า “เพราะอะไรหรือ”