เจ็ดแดนภูตผี บริเวณที่มีหมอกขาวโพลนปกคลุม มีเกาะที่ส่องแสงสีม่วงแห่งหนึ่งตั้งอยู่
ดักแด้ยักษ์สีขาวเหาะทะลุม่านหมอกลงมาบนเกาะอย่างเชื่องช้า
“จักรพรรดิปีศาจว่างฉง ทำไมเจ้ากลับมาแค่ตนเดียว จักรพรรดิปีศาจตนอื่นล่ะ”
ปีศาจหมีขาวที่แผ่ไอเย็นเยียบตั้งแต่หัวจรดเท้าเอ่ยถาม
ดักแด้ยักษ์สีขาวแหวกออก ปีศาจผีเสื้อยักษ์สีขาวบินออกมาจากข้างใน
มันมองปีศาจหมีกับปีศาจมังกรเพลิงตรงหน้า พูดเสียงเย็นว่า “ตายแล้ว พวกมันตายหมดแล้ว”
“ตายทั้งสี่ตนเลยหรือ” ปีศาจมังกรเพลิงสะดุ้งตกใจ “หรือพวกเจ้าจะเจอคนจากหน่วยทหารเทวะของวังมังกร”
ปีศาจผีเสื้อส่ายหน้า “เปล่า พวกเราเจอมังกรที่ยิ่งใหญ่ตนหนึ่ง แต่หากว่ามีแค่นาง พวกเราก็ไม่ปราชัยหรอก สำคัญที่เจอนักพรตมนุษย์คนหนึ่ง…”
ปีศาจผีเสื้อพูดอย่างประหวั่นพรั่นหรึงว่า บอกเล่าความน่าเหลือเชื่อทั้งหลายแหล่ของนักพรตมนุษย์คนนั้น มีหุ่นเหล็กที่มีพลังเทียบเท่าระดับแปลงจิต เพลงกระบี่เหนือชั้น สังหารจักรพรรดิปีศาจสีชาดได้แม้จะมีพลังยุทธ์เพียงระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลาง หลังทะลวงขั้นกะทันหันก็สังหารวาฬจอมอหังการในกระบวนท่าเดียว…
ปีศาจหมีขาวกับปีศาจมังกรเพลิงได้ฟังก็ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบงัน มีนักพรตมนุษย์เช่นนี้ด้วยหรือ!
เงียบไปครู่หนึ่ง ปีศาจหมีขาวถึงได้พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ค่ายกลสังเวยเลือดสิบวิญญาณขาดไปอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์มุกดา…”
บนพื้นมีค่ายกลที่ก่อตัวจากเลือดหลายทางที่ตัดสลับกัน กำลังเปล่งแสงพิลึก
ค่ายกลนี้แผ่คลุมไปทั่วทั้งเกาะ เลือดประหนึ่งตาข่ายที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ไหลเอื่อยๆ พวกมันไม่มีวันแห้งเหือด หลั่งไหลบนพสุธาที่กำลังส่องแสงสีม่วงอย่างไม่ขาดสาย
ปีศาจผีเสื้อถอนหายใจ “จักรพรรดิปีศาจสีชาดอยากดึงพวกเรามา เพื่อดำเนินขั้นสุดท้ายของค่ายกลสังเวยเลือดสิบวิญญาณให้เสร็จสิ้น ไม่คิดว่าจะเจอกับเรื่องแบบนี้…หรือว่านี่จะเป็นโชคชะตา”
“นี่เป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น มีเวลาอีกสิบห้าวันก่อนถึงวันที่ท่านผู้วิเศษจะคืนชีพ พวกเรายังมีโอกาส” ปีศาจมังกรเพลิงกล่าวเสียงทุ้ม “ครั้งนี้ข้าจะออกโรงด้วยตัวเอง นำประคำกักเก็บ หาเมืองใหญ่ของจักรวรรดิมุกดา แล้วดูดชาวไข่มุกหมื่นตัวไป ข้าไม่เชื่อว่าจะเคราะห์ร้ายเช่นนี้!”
ปีศาจผีเสื้อกับปีศาจหมีขาวโล่งใจเล็กน้อย ปีศาจมังกรเพลิงเป็นจักรพรรดิปีศาจที่รวดเร็วที่สุดในบรรดาเจ็ดปีศาจ ใช้ประคำกักเก็บดูดสิ่งมีชีวิตชาวไข่มุกหมื่นตัว เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก
ในเมืองริ้วคลื่น สงครามใหญ่สะเทือนฟ้าที่ควรค่าให้บันทึกในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิมุกดาได้สิ้นสุดลงแล้ว
เป่ยเหลียนกลับมาที่จวนของราชามุกดา ก่อนหน้านี้นางบีบยันต์หยกจนแหลก ขอกำลังเสริมจากหน่วยทหารเทวะของวังมังกร แต่เมื่อเห็นศึกปิดฉากลงแล้ว นางจึงใช้ยันต์ส่งสาร รายงานสถานการณ์ของที่นี่แก่หน่วยทหารเทวะ และขอให้พวกเขาเดินทางมาที่เจ็ดแดนภูตผี เพื่อค้นหาร่องรอยของจักรพรรดิปีศาจว่านฉงต่อไป
จันทราลาลับตะวันลอยขึ้น แค่วันเดียว ข่าวที่จักรพรรดิปีศาจสี่ตนถูกบั่นคอก็กระจายออกนอกเมืองริ้วคลื่น กระฉ่อนทั่วจักรวรรดิมุกดา จากนั้นจักรวรรดิมุกดาก็ตะลึงพรึงเพริด
ไม่ทันรู้ตัวอันหลินกลายเป็นวีรบุรุษของจักรวรรดิมุกดาอีกครั้ง
เขากับธิดามังกรน้อยถูกเหล่าไข่มุกขนานนามว่า ‘ดาวคู่มุกดา’
อันหลินคิดว่าฉายานี้ฟังดูไม่เลวทีเดียว เทียบกับเจ้าแห่งพิษ ดีกว่าเด็กเส้นที่เส้นใหญ่ที่สุดอะไรพวกนั้นเป็นไหนๆ เป็นรองแค่สมญานามอย่างเซียนกระบี่อันหลิน
ในสวนดอกไม้ของราชามุกดา อันหลินเห็นเป่ยเหลียนที่นั่งเล่นกับปลาริมธารอีกครา
“สวัสดี ดาวมุกดา!”
อันหลินเดินเข้าไปทักทายยิ้มๆ
เป่ยเหลียนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่เดินเข้าด้วยรอยยิ้มแวบหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลง ใช้กิ่งไม้เขี่ยปลาทองริมธารต่อ แต่ริมฝีปากจิ้มลิ้มชุ่มชื่นกลับเผยอออกเล็กน้อย เป่าลมใส่ปลาทองในบ่อน้ำจนเกิดริ้วคลื่นเป็นระลอกๆ
ไหนเล่าจะรู้ว่าปลาทองเหล่านี้ไม่ตกใจหนีไม่พอ กลับดึงดูดปลาให้แหวกว่ายมายิ่งขึ้น
“ท่าทางเจ้าจะเป็นที่รักใคร่นะ ปลาชอบเจ้ากันหมดเลย” อันหลินเดินเข้าไปหานางแล้วพูดอย่างประหลาดใจ
เป่ยเหลียนไม่สนใจ ใช้กิ่งไม้เขี่ยผิวน้ำต่อไป
อันหลินก็เป่าลมใส่ปลาในบ่อน้ำเช่นกัน จากนั้นปลาเหล่านั้นก็ว่ายหนี “เอ๊ะ…ทำไมข้าถูกรังเกียจเล่า มีกลิ่นปากหรือ เพิ่งแปรงฟันเมื่อครู่นี้นี่เอง!”
เป่ยเหลียนยกมุมปากขึ้น ในที่สุดก็ปริปาก “ปลามีความคุ้นเคยกับเผ่าพันธุ์มังกรแต่กำเนิด ย่อมไม่เหมือนกัน จริงสิ…ไยเมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าดาวมุกดา”
“ข้างนอกลือกันสนั่นว่า พวกเราเป็นดาวคู่มุกดาแห่งจักรวรรดิมุกดา ข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่าดาวมุกดาน่ะสิ” อันหลินทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง มีความรู้สึกเหมือนชื่อดังลือเลื่อง
เป่ยเหลียนพยักหน้า “เผ่าพันธุ์ไข่มุกเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใจดียิ่งนัก ได้รับความซาบซึ้งและคำนึงถึงจากพวกมันเช่นนี้ สิ่งที่พวกเราทุ่มเทต่อสู้เมื่อวานก็คุ้มค่าแล้ว…”
“ได้ยินว่าองค์กษัตริย์มอบของดีให้พวกเราเป็นก่ายเป็นกอง คิดว่าอีกวันสองวันจะขนมาถึงที่นี่” อันหลินหันมองหญิงสาวข้างกาย
สีหน้าของหญิงสาวเรียบเฉย เดาอารมณ์ไม่ออก
อันหลินพูดต่อว่า “เมื่อคืนเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ครั้งหน้าข้ามีของขวัญจะให้เจ้า”
เป่ยเหลียนส่ายหน้าเมื่อได้ฟัง ปฏิเสธว่า “ไม่ต้องหรอก ตอนนั้นเจ้ากับข้าเป็นสหายร่วมรบ ช่วยเหลือกันในสนามรบ เป็นเรื่องที่ปกติมากไม่ใช่หรือ”
เหมือนว่าอันหลินจะคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็ไม่ดึงดัน เพียงแค่ล้วงยันต์ออกจากสาบเสื้อ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นขอช่องทางติดต่อหน่อยสิ!”
เป่ยเหลียนมองอันหลินด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาสดใสฉายคลื่นอารมณ์ อดถามไม่ได้ว่า “เพราะอะไร”
“เอ่อ วันหน้าจะได้พบกันง่าย”
“ก็ได้…”
เป่ยเหลียนไม่เคยแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับชายคนไหนเลย นางลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ประทับตราของตัวเองลงไปในยันต์ส่งสารของอันหลินอย่างไม่รู้ตัว
อันหลินที่แลกเบอร์ได้อย่างราบรื่นแล้วก็โล่งอก เตรียมจะดำเนินการแผนต่อไป
เมื่อกลับมาถึงห้อง เขาเขียนวัตถุที่ต้องรวบรวมออกมา
“ไม้จันทร์หลับใหลพันปี เถาวัลย์ม่วง เลือดอิงหลง ผลึกหินน้ำแข็ง กระดูกไฟรกร้าง หญ้าขาว…”
อันหลิน ต้าไป๋และเจ้าอัปลักษณ์มองสิ่งของบนใบรายชื่อ ย้อนคิดถึงตำแหน่งของพวกมัน
ต้าไป๋กลุ้มใจ “พวกเราเคยเห็นประสบการณ์ของเสิ่นอิง แต่มันเป็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ การกระตุ้นเลือดให้กลับมาบริสุทธิ์ เป็นเรื่องที่สำคัญกับเสิ่นอิงอย่างยิ่ง ภาพจึงค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้ หลายอย่างคงถูกฝังกลบไปนานแล้วกระมัง”
อันหลินสูดหายใจเข้าลึก “อย่างไรเสียก็รู้พิกัดแล้ว คงต้องไปลองดูหน่อย หากไม่เจอก็ไปซื้อ หากว่าอับจนหนทางจริงๆ ก็นำใบรายชื่อให้เป่ยเหลียน ให้นางช่วยพวกเราค้นหา…”
เป่ยเหลียนยอมเสียสละเพื่อช่วยชีวิตเขา อันหลินอยากจะชดใช้ด้วยความพยายามของตัวเองจากใจจริง ไม่ใช่การพึ่งพาพลังของนาง
หลายอย่างในนี้เป็นวัตถุล้ำค่าหายากอย่างยิ่ง ต่อให้มีของเหล่านี้ในร้านประมูลหรือหอสมบัติ ราคาต้องแพงระยับแน่นอน กระเป๋าเงินอันหลินเกรงว่าจะรับไม่ไหว
วันต่อมา ของกำนัลจากองค์กษัตริย์ก็มาถึง
หนึ่งล้านหินวิญญาณ วัตถุล้ำค่าเป็นกอง และมีไข่มุกกับเพชรอีกมากมาย
อันหลินนำของที่ได้รับประทานมา สิ่งใดขายได้ก็ขายให้ราชามุกดา
สุดท้ายก็ขายของกองนั้นได้ทั้งหมดหนึ่งล้านหนึ่งแสนหินวิญญาณ ก็ถือเป็นการเติมเงินในกระเป๋าเงินของเขา
เขาลองคำนวณดู ในแหวนมิติมีเงินทั้งสิ้นสี่ล้านเจ็ดแสนหินวิญญาณแล้ว นับว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ตระการตายิ่งแล้ว
เป่ยเหลียนรักษาตัวอยู่ระยะหนึ่งแล้วอำลาอันหลิน
“ข้าไม่ไปทัศนาจรแล้ว ขอตัวกลับวังมังกรก่อน”
“ได้เลย อีกสักระยะข้าจะไปหาเจ้าที่วังมังกร”
อันหลินเข้าใจสาเหตุที่นางไม่ไปทัศนาจร ยามนี้จึงกล่าวลานางด้วยรอยยิ้ม
เป่ยเหลียนส่ายหน้า ใบหน้าเย็นชาขาวผุดผ่องมีรอยยิ้มดึงดูดใจปรากฏให้เห็น ประหนึ่งดอกเหมยที่ผลิบานยามวสันต์ “เจ้าอย่ามาที่วังมังกรเลยดีกว่า อายเขา”
อันหลิน “…”
ทั้งคู่บอกลากัน
อันหลินเริ่มออกเดินทางล่าขุมทรัพย์