งานขุดสุสานใช่ว่าพูดปุ๊บจะทำปั๊บได้ โดยเฉพาะสุสานของยอดฝีมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่า
อยากไปขุด ก็ต้องรู้ก่อนสิว่าสุสานอยู่ที่ไหน!
แผนที่สุสานมังกรเหมันต์ครั้งก่อนก็ได้มาจากวัตถุโบราณบรรพกาล
จำต้องรอโอกาส ยิ่งไปกว่านั้นคือพรหมลิขิต!
อันหลินคิดๆ ดูแล้ว การขุดสุสานเมื่อดำเนินการก็ยากเย็นอย่างยิ่งอยู่เหมือนกัน ไม่ง่ายไปกว่าการที่เขาทะลวงขั้นด้วยตัวเอง ฉะนั้นจำต้องวางแผนระยะยาว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
มองจากตอนนี้แล้ว เป็นชายหนุ่มที่ตั้งใจเล่าเรียนมุมานะบำเพ็ญเพียรดีกว่า
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
ต้าไป๋กินยาเซียนบำรุงปราณที่สวีเสี่ยวหลานให้มาก่อนหน้านี้ อาศัยพื้นฐานพลังยุทธ์ที่แข็งแรงทะลวงจนบรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย ตามอันหลินทันแล้ว
เจ้าอัปลักษณ์ผ่านการบำเพ็ญเพียรระยะหนึ่ง กินยาเทวะปุราณที่อันหลินให้ ก้าวข้ามครึ่งก้าวสุดท้ายของระดับกึ่งแปลงจิต กลายเป็นสัตว์ปราณระดับแปลงจิตขั้นต้น
วันนั้น เมฆดำหนาแน่นปกคลุมทั่วเขาชมจันทร์ ลมคลั่งพัดกระโชก สายฟ้าคำราม
พลังอำนาจของมันยิ่งใหญ่ ถึงขั้นทำให้ผู้นำมากมายในรั้วสำนักแตกตื่น
ทว่าเมื่อพวกเขารู้ว่า ผู้ที่บรรลุระดับแปลงจิตเป็นสัตว์เลี้ยงของอันหลิน ก็พากันจากไปด้วยความผิดหวัง
“อะไรกัน ที่แท้ก็สัตว์เลี้ยงของคนแปลกอันดับหนึ่งแห่งสำนักทะลวงขั้นนี่เอง ทำเอาข้าดีใจเสียเปล่า”
“สัตว์เลี้ยงของสหายอันหลินบรรลุระดับแปลงจิตแล้ว นักเรียนของสำนักเรายังไม่มีใครอยู่ในระดับแปลงจิตสักคน น่าอายจริงๆ”
“หลิวเชียนฮ่วนไม่เอาการเอางาน ไม่อย่างนั้นคงรับไม้ต่อจากหวังเสวียนจ้านไปนานแล้ว”
“เฮ้อ ลูกศิษย์สอนยากนัก…”
ผู้บริหารสำนักมีแรงกดดันมหาศาลไม่พอ แม้แต่อันหลินที่เป็นนายเองก็กดดันอย่างยิ่งเช่นกัน
อันหลินคร่ำครวญว่า “เจ้าอัปลักษณ์ ไยเจ้าไม่รอข้าหน่อย นี่เจ้าจะขัดบัญชาสวรรค์หรือ”
“พี่อัน ไม่เป็นไร ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เจ้าอัปลักษณ์พูดอย่างจริงใจ
ประโยคนี้ทำร้ายจิตใจอันหลินอีกแล้ว เขาตกอับถึงขั้นต้องให้สัตว์เลี้ยงของตัวเองมาปกป้องแล้วหรือ
ไม่ได้การ เขาต้องมุมานะบากบั่น เขาจะไล่กวดอย่างกล้าหาญ!
เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน เสี่ยวหงที่สังเคราะห์แสงเงียบๆ ทะลวงเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง
อันหลิน “…”
“นายท่าน ท่านควรจะตากแดดให้มาก ไม่อย่างนั้นพลังยุทธ์จะขึ้นราเอาได้” เสี่ยวหงพูดเสียงหวานหยดย้อย
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเจ้าหรือไง ต่อให้ข้าจะตากแดด พลังยุทธ์ก็ขึ้นเราได้เหมือนกันนั่นแหละ!” อันหลินน้ำตาอาบหน้า
ตอนนี้พลังยุทธ์ของเขามาถึงช่วงคอขวดแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญเพียรมาได้เดือนกว่าแล้ว กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดเลย เมื่อก่อนหากตั้งใจบำเพ็ญเพียร แม้ระดับพลังยุทธ์จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็จะรู้สึกว่าตนเก่งกาจขึ้นนิดหน่อย
ทว่าตอนนี้ ไม่ว่าจะขัดเกลาจิตใจ ฝึกกายอย่างไร ก็รู้สึกว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สิ่งสำคัญคือการหยั่งรู้ ทำให้วิชาของตนให้บังเกิด!
นี่เป็นขั้นที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนผ่านจากระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายสู่กึ่งแปลงจิต
อันหลินคิดว่าพรสวรรค์ของตนก็ใช้ได้ทีเดียว ใช่ว่าจะไม่เคยอาศัยความสามารถของตัวเองทะลวงขั้นเสียหน่อย
ค่อยๆ คลำหา ย่อมมีสักวันที่จะเจอวิชาของตน
แต่สัตว์เลี้ยงที่มีพรสวรรค์เหนือชั้นหลายตัวของเขา สร้างความกดดันให้เขามากเหลือเกิน ระดับพลังยุทธ์พุ่งทะยานไม่หยุด
สัตว์เลี้ยงข้างกายมีระดับพลังยุทธ์สูงกว่าเขาอีกจะทำอย่างไร
คนอื่นจะว่าเขากินข้าวนิ่มหรือเปล่า[1]
ถุย! กินข้าวสัตว์ต่างหาก!
อา…จะให้เซียนกระบี่อันหลินผู้องอาจอย่างเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
แต่ทว่าการพลิกผันของเหตุการณ์ มักจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
จู่ๆ อาจารย์ที่ปรึกษาของอันหลินอย่างเซียนกระบี่หลิงเซียวก็แจ้งข่าวบางอย่าง
“แดนมนุษย์ส่งข่าวมาว่า เขตอาคมสุสานเซียนสวรรค์โส่วหยางแห่งสระสวรรค์เขาฉางไป๋จะเปิดในอีกสิบข้างหน้า ถึงตอนนั้นนักพรตที่มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าระดับหวนสู่ความว่างเปล่า สามารถถือป้ายหยกที่จัดทำโดยสรวงสวรรค์เข้าสู่เขตอาคม เพื่อค้นหาสมบัติได้”
“นี่เป็นคำสัญญาที่เซียนสวรรค์โส่วหยางให้ไว้กับสรวงสวรรค์ก่อนตาย หนึ่งพันปีให้หลัง เขาต้อนรับอัจฉริยะต่ำกว่าระดับแปลงจิตของสรวงสวรรค์ ให้มุ่งหน้าไปสุสานโส่วหยาง ช่วงชิงสมบัติของเขา และตอนนี้ โอกาสนี้มาถึงแล้ว!”
“ป้ายหยกมีทั้งสิ้นสิบชิ้น แดนมนุษย์มีสองชิ้น สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนของเรามีแปดชิ้น นักเรียนที่ต้องการเดินทางไปแดนมนุษย์มาลงทะเบียนกับข้าได้ ถึงตอนนั้นทั่วสำนักจะร่วมลงคะแนนเลือกนักเรียนแปดอันดับแรกเข้าสู่แดนมนุษย์!”
“และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ภายในสุสานของเซียนสวรรค์โส่วหยางมีอะไรกันแน่นั้น พวกเราไม่เคยทราบเลย”
“แม้แต่สาเหตุที่เขาตั้งสุสานในแดนมนุษย์ พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกัน”
“ทุกอย่างล้วนไม่รู้ สรวงสวรรค์ไม่อาจประมาณความอันตรายได้ รวมถึงอันตรายที่เป็นภัยถึงชีวิตของพวกเจ้า ฉะนั้นจะคว้าโอกาสนี้หรือไม่ สิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่ในมือของพวกเจ้า เริ่มลงทะเบียนได้!”
สุสานของเซียนสวรรค์งั้นเหรอ มีแต่คนโง่ที่จะปฏิเสธ!
นี่มันสุสานของยอดฝีมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่าที่อันหลินปรารถนา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ เขาตัดสินใจลงชื่อเข้าร่วมโดยแทบจะไม่คิดเลยด้วยซ้ำ
ผู้ที่ลงชื่อในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนในวันนั้นมีหกร้อยกว่าคน ผู้แข็งแกร่งร้อยอับดันแรกในอันดับเซียนลงชื่อแทบจะทุกคน
วันต่อมาได้เวลาทั้งสำนักร่วมลงคะแนนแล้ว อันหลินได้คะแนนสูงส่งจากทั้งสำนักอย่างไร้ข้อกังขา
อีกเจ็ดคนที่เหลือคือ หลิวเชียนฮ่วน ถังซีเหมิน ซูเฉี่ยนอวิ๋น เซวียนหยวนเฉิง สวีเสี่ยวหลาน เหยาหมิงซีและหูก้วน
หลิวเชียนฮ่วน ถังซีเหมิน ซูเฉี่ยนอวิ๋น เซวียนหยวนเฉิงกับสวีเสี่ยวหลานล้วนเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งระดับแนวหน้าของอันดับเซียน ความสามารถและความโด่งดังไม่ต้องพูดถึง เหยาหมิงซีกับหูก้วนเป็นตัวแทนจากปีหนึ่งและปีสอง นับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นปีแล้ว จึงได้เปรียบทางด้านชื่อเสียง และถูกเลือกด้วยคะแนนที่ค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน
สิ่งที่จำต้องกล่าวถึงก็คือ นอกจากเหยาหมิงซีแล้ว หูก้วนก็เป็นแฟนคลับตัวยงของอันหลินเหมือนกัน
อันหลินมีแต่ถอนหายใจยาวอย่างอิดหนาระอาใจกับเรื่องนี้ เป็นเพราะตำนานรั้วสำนักบ้าๆ นั่นแท้ๆ!
เมื่อยืนยันสมาชิกแล้ว อันหลินก็ได้รับหน้าที่เป็นกัปตันอีกครั้ง
ทำไมหลิวเชียนฮ่วนถึงไม่ได้เป็นกัปตันทีมน่ะเหรอ
เพราะเธอมีประวัติน่ะสิ
ทุกคนมีเวลาหนึ่งวันในการเตรียมตัว เรื่องแรกที่อันหลินทำก็คือ ไปที่ราชวังดุสิต ให้ปรุงยาวิเศษยี่สิบกว่าเม็ดที่เหมาะสมกับพ่อ และให้หยินสี่ปรุงยาเซียนหยินหยางให้อีกหนึ่งเม็ด
ยาหยินหยางเป็นยาเซียนขั้นเจ็ด เขาใช้บัตรกำนัลยาเซียนใบสุดท้ายของเขาแลกยาเม็ดนี้
หลังเตรียมตัวพร้อมแล้ว เขาก็เอ่ยถามความเห็นจากเหล่าสัตว์เลี้ยง
“อืม…เข้าสุสานเซียนสวรรค์โส่วหยางไม่ได้ ไปเป็นตัวประกอบ เปิดโลกทัศน์เฉยๆ”
เสี่ยวหงโคลงศีรษะแดงก่ำไปมา พูดเสียงหวานว่า “ข้าเคยไปครั้งหนึ่งแล้ว สังเคราะห์แสงในแดนมนุษย์ร่วมร้อยปีแล้ว มีอะไรบ้างที่ไม่เคยพบเคยเห็น ไม่ไปแล้วดีกว่า”
เจ้าอัปลักษณ์ก็ส่ายหน้าเช่นกัน “ข้าเพิ่งบรรลุระดับแปลงจิตได้ไม่นาน อยากอาศัยพลังปราณที่เข้มข้นในละแวกเขาชมจันทร์ เสริมสร้างพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งก่อน ขอไม่ไปกับเจ้าดีกว่า”
อันหลินพยักหน้า หากพูดถึงสภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญเพียรแล้ว น้อยนักที่สู้สำนักของเขาได้ จึงเข้าใจการตัดสินใจของเจ้าอัปลักษณ์
ส่วนต้าไป๋กลับตาลุกวาว ถามขึ้นมาว่า “สาวๆ ของแดนมนุษย์สวยกว่าแดนจิ่วโจวหรือไม่ โฮ่ง!”
“แดนจิ่วโจวบำเพ็ญเซียนกันแทบจะทุกคน ถ้าจะเทียบกับที่คุณภาพโดยรวมแล้ว ย่อมดีกว่าแดนมนุษย์อยู่แล้ว แต่แดนมนุษย์ก็มีนักพรตสาวสวยเยอะเหมือนกันนะ ข้าแนะนำให้เจ้ารู้จักได้” อันหลินยิ้มอย่างมีเลศนัย หลอกล่อต้าไป๋
เขากำลังอยากขี่สัตว์พาหนะกลับไปอวดอยู่พอดี จะปล่อยต้าไป๋ไปได้อย่างไร
เมื่อเห็นต้าไป๋หวั่นไหว อันหลินจึงปลุกปั่นต่อว่า “ข้าทำให้เห็นภาพของหญิงสาวหลายอีกหลายร้อยคนที่ไม่ใส่เสื้อผ้าได้อีกด้วยนะ”
“พี่อัน ข้าจะไป! โฮ่ง!”
พอต้าไป๋ได้ยินประโยคนี้ก็ถูกโจมตีอย่างสิ้นเชิง ตกปากรับคำด้วยความตื่นเต้น
อันหลินพยักหน้าด้วยความพอใจ
ผ่านมาสองปี ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้กลับบ้านอีกครั้งแล้ว!
พ่อ บำเพ็ญเพียรถึงไหนแล้ว
เหล่าเพื่อนพ้องนักพรตทั้งหลายบนโลก ทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง
พรุ่งนี้ เซียนกระบี่อันหลินจะกลับมาอีกแล้ว!
[1] กินข้าวนิ่ม หมายถึง เกาะผู้หญิงกิน