ภายในความมืด อันหลินสัมผัสได้ว่า มีมือเล็กๆ อบอุ่นกำลังแตะหน้าผากของตน
ร่างของเขาโอนเอนไปตามแผ่นไม้ใต้ฝ่าเท้า ได้ยินเสียงล้อกลิ้งและเสียงเกือกม้า
พิลึกชะมัด!
อันหลินได้สติ ลืมตาโดยพลันแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง
“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องนิ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้นข้างกาย จากนั้นมือชักกลับไปราวกับถูกไฟช็อต ดวงตาเบิกกว้างจ้องอันหลินไม่วางตา
“คนเฝ้าสุสานเหรอ” อันหลินก็เห็นหญิงชุดขาวคนนั้นเช่นกัน จึงเอ่ยถาม
“เจ้า…พูดอะไรน่ะ” หญิงสาวพูดอย่างตื่นตระหนก
อันหลินได้สติทันใด เมื่อครู่เขาใช้ภาษาบรรพกาล แต่หญิงสาวคนนี้ใช้ภาษาจีนกลาง
“เจ้าเป็นคนเฝ้าสุสานเหรอ” อันหลินถามอีกครั้งด้วยภาษาจีนกลาง
หญิงสาวชะงักเมื่อได้ฟัง “เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ ข้าเป็นหมอ!”
“ฮะ” อันหลินกะพริบตาปริบๆ
เขากวาดสายตามองรอบข้าง มันเป็นทะเลทรายเวิ้งว้าง กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สามารถมองเห็นอินทรีโบยบินบนฟากฟ้า พระอาทิตย์ลอยเด่นกลางนภา แสงแดดเจิดจ้าอย่างยิ่ง
เบนสายตากลับมาที่เดิม เขากำลังนั่งอยู่บนรถม้าเปิดประทุน
รอบข้างมีฝูงม้าที่รูปร่างค่อนข้างกำยำ พวกมันกำลังลากสินค้าหลายลำรถ และมีคนที่เหน็บกระบี่ไว้ข้างเอวหลายสิบคนขี่ม้าขนาบข้าง
ทิวทัศน์แบบนี้…สุสานเหรอ
อันหลิน “…”
เขาหายใจดังเฮือก เอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดว่า “แม่นาง ไม่ทราบว่าที่นี่ที่ไหน”
“อ้อ ที่นี่คือทะเลทรายเมฆลอย!” หญิงชุดขาวตอบ
มุมปากของอันหลินกระตุกยิกๆ “แผ่นดินบรรพกาลเหรอ”
หญิงชุดขาวขมวดคิ้วมุ่น มองอันหลินอย่างขึงขัง “เจ้าดูแปลกๆ นะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ ดินแดนของเราชื่อว่าแผ่นดินปราณสงคราม แผ่นดินบรรพกาลคืออะไร”
อันหลินมองหญิงคนนั้นแล้วหัวเราะเฝื่อนๆ
แผ่นดินปราณสงครามงั้นเหรอ
ความฝันมันช่างสมจริงอะไรขนาดนี้ ภาพลวงตาสินะ
ของปลอม ของปลอมแน่ๆ!
แหวนมิติของเขาสว่างวาบ กระบี่พิชิตมารปรากฏในมือ
“ในเมื่อเป็นความฝัน งั้นก็ตื่นเดี๋ยวนี้!”
อันหลินตะโกนลั่น เงื้อกระบี่พิชิตมารฟันแขนของตนทันที!
“กรี๊ด! เจ้าทำอะไรน่ะ!” หญิงชุดขาวเบิกตากว้าง กรีดร้องเสียงหลง
จากนั้นเลือดก็สาดกระจายเต็มใบหน้านาง
“ซี๊ด!”
อันหลินกัดฟันกร่อด มองรอยแผลบนแขนแล้วหายใจดังเฮือก ความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นริ้วไปทั่วร่าง
“บัดซบ! ไม่ใช่ความฝันเหรอ!”
เขามองแขนตัวเองด้วยความงุนงง สมองลืมครุ่นคิดไปชั่วขณะ
“ไป๋ซูเยี่ยน เจ้าเป็นอะไร” ชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามา เห็นเลือดบนใบหน้าของหญิงสาว กำลังจะเดือดดาล แต่เมื่อเห็นรอยแผลบนท่อนแขนของอันหลินก็อดชะงักไม่ได้
“ไม่เป็นไร เพียงแค่อารมณ์ของชายคนนี้ไม่ค่อยคงที่ เมื่อครู่ชักกระบี่ฟันตัวเอง” หญิงสาวรีบชี้แจงเป็นพัลวัน
ชายหนุ่ม “…นี่น่ะหรือไม่เป็นไร เกิดเจ้าบ้านี่ใช้กระบี่ฟันเจ้าจะทำอย่างไร”
ไป๋ซูเยี่ยน “…”
จู่ๆ นางก็เถียงไม่ออก แถมยังเบนสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับเห็นด้วยเป็นอย่างมาก
อันหลินก็มองนางเช่นกัน ยื่นแขนที่เลือดออกพลั่กไปตรงหน้านาง พูดอย่างจริงจังว่า “ได้ยินว่าเจ้าเป็นหมอ ช่วยจัดการให้ข้าหน่อยสิ”
ไป๋ซูเยี่ยน “…”
ชายหนุ่มแปลกหน้าเริ่มตวาดขึ้นมาอีกแล้วว่า “บอกแล้วว่าอย่าช่วยคนที่ไม่รู้ที่มาสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เจ้าก็ไม่ฟัง เพิ่มภาระให้คณะพ่อค้าอย่างเราไม่ใช่หรือไง ตัวถ่วงทั้งเปลืองอาหาร เปลืองยา…”
“พอได้แล้ว! ถ้าเจ้าไม่พอใจ ก็โยนข้าลงจากรถม้าไปเลยดีกว่า!”
ไป๋ซูเยี่ยนทำหน้านิ่ง ตะคอกแทรกออกไป
ชายหนุ่มแปลกหน้าชะงัก มองอันหลินด้วยใบหน้าที่ถมึงทึง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ใบหน้าบูดบึ้งผละออกไป
คณะพ่อค้ามีหมอแค่คนเดียว เป็นสายอาชีพที่หายาก หากทิ้งนางไว้ที่นี่จริง ถ้าคณะพ่อค้าถูกสัตว์ประหลาดในทะเลทรายทำร้ายจนบาดเจ็บ จะไม่มีใครรักษา
มิหนำซ้ำ ด้วยฐานะของหญิงสาวคนนั้น เขาก็ไม่กล้าทำอยู่ดี
“ชายคนเมื่อครู่ชื่อเฉินเหมิง เป็นหัวหน้าคณะพ่อค้า เขาพูดจาน่ารำคาญยิ่งนัก เจ้าอย่าถือสาเลย” ไป๋ซูเยี่ยนใช้น้ำสะอาดล้างหน้า ชะล้างคราบเลือดบนใบหน้า เผยให้เห็นดวงหน้างามลอออีกครั้ง
จากนั้นนางก็ทำความสะอาดบาดแผลบนแขนอันหลิน ป้ายยาแล้วพันแผลอย่างแผ่วเบา
ใบหน้าของอันหลินเรียบเฉย เพียงแค่กวาดตามองรอบข้างอย่างเลื่อนลอย ปากบ่นอุบอิบ
เขายื่นยันต์ส่งสารออกมา พบว่าไม่มีพลังใดเชื่อมต่อได้เลย
หยิบมือถือออกมาก็ไร้สัญญาณ
ตลอดระยะเวลานี้ ไป๋ซูเยี่ยนตั้งใจทำแผลเป็นอย่างยิ่ง
หลังทำแผลเสร็จแล้ว มือขาวปลอดคู่นั้นของนางก็สัมผัสบริเวณบาดแผลของอันหลินอย่างอ่อนโยน ลำแสงสีขาวเริ่มกระเพื่อม
สีหน้าของอันหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงพลังประหลาดบางอย่าง
“แสงสีขาวนี่คืออะไรหรือ” เขาถามอย่างแปลกใจ
“ปราณสงครามอย่างไรเล่า! ปราณสงครามของข้าเป็นประเภทรักษา เจ้าคงไม่ได้สูญเสียความทรงจำหรอกนะ แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่รู้” ไป๋ซูเยี่ยนจ้องอันหลินอย่างฉงนใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ถามคำถามที่เด็กสามขวบยังรู้
“เหอะๆ แผ่นดินปราณสงครามเล่นปราณสงครามงั้นหรือ เช่นนั้นก็มีนักรบ พลสงคราม จอมพล ภูตสงคราม ราชันสงคราม กษัตริย์สงคราม ปรมาจารย์สงคราม ปฐมาจารย์สงคราม อริยะสงคราม จักรพรรดิสงครามงั้นหรือ” อันหลินยิ้มแสยะ ไม่รู้ว่าเยาะเย้ยตัวเอง หรือเย้ยหยันโลกใบนี้
“เอ๊ะ ไยเจ้ามีระดับพลังยุทธ์มากมายปานนี้ล่ะ มีแค่พลรบ ภูตสงคราม ราชันสงคราม กษัตริย์สงคราม อริยะสงครามกับจักรพรรดิสงครามไม่ใช่หรือ” ไป๋ซูเยี่ยนกล่าวอย่างแปลกใจ
อันหลินกระตุกมุมปาก “เหอะๆ”
เขามีคำหยาบที่ต้องสบถให้ได้ ไปสุสานโส่วหยางไม่ใช่หรือไง ทะลุมิติมาโผล่แผ่นดินปราณสงครามมันเรื่องอะไรกัน สติจะฟั่นเฟือนหรืออย่างไร!
ถ้าเป็นปลาเค็มทะลุมิติก็ว่าไปอย่าง แต่เขาเป็นถึงคนที่มีพัฒนาการเลิศล้ำในด้านโปรแกรมโกงเชียวนะ
มอบดันเจี้ยนแผ่นดินปราณสงครามให้เขาในเวลานี้ มันทรมานกันเห็นๆ เลยนี่นา!
อดพูดไม่ได้ว่า อันหลินใกล้จะสติแตกแล้ว
เขายอมจำนนไม่ได้ และไม่อยากยอมจำนนแบบนี้
เขายังมีเพื่อน มีครอบครัว ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังตัดไม่ขาด…
ครืน…
ทันใดนั้น จู่ๆ ผิวดินก็สั่นสะเทือน
“มีสัตว์ประหลาดบุกรุก ทุกคนระวัง!” เฉินหมิงตะเบ็งเสียงดังลั่น
คนหลายสิบชีวิตพากันชักกระบี่ที่เหน็บข้างเอวออกมา จ้องการเคลื่อนไหวบนเนินเขาสูงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จู่ๆ หมาป่าตัวเขื่องสีน้ำตาลร่วมสิบกว่าตัวก็ปรากฏตัวบนเนินสูง
หมาป่าเหล่านี้มีขนาดหนึ่งจั้ง แววตาแผ่กลิ่นอายอันตราย
“แย่แล้ว! นี่มันราชาหมาป่าทะเลทราย ทุกตัวล้วนมีความสามารถระดับภูตสงคราม…” ไป๋ซูเยี่ยนหน้าถอดสี ทำหน้าพรั่นพรึง
อันหลินมองหมาป่าเหล่านั้นแล้วถามว่า “ระดับภูตสงคราม แข็งแกร่งมากหรือ”
ดูเหมือนไป๋ซูเยี่ยนจะชินกับความไม่รู้ของอันหลินแล้ว จึงอธิบายว่า “คณะพ่อค้าของเรามีเพียงข้ากับเฉินเหมิงที่อยู่ในระดับภูตสงคราม คนที่เหลือเป็นแค่พลรบ และปราณสงครามของข้าเป็นประเภทรักษาอีก อย่างมากก็รับมือหมาป่าทะเลทรายได้แค่ตัวเดียว…”
“พวกเจ้าจะจบเห่สินะ” อันหลินพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
ไป๋ซูเยี่ยนพูดอย่างมีน้ำโหว่า “เจ้าแสดงท่าทางแบบนี้หมายความว่าอย่างไร พวกเราตายเจ้าก็ต้องตาย! เจ้าทำตัวให้ปกติหน่อยได้ไหม ช่วยคนอกตัญญูมาชัดๆ”
“พี่สาวอย่ากังวลไป ข้าเป็นบุรุษที่ทลายดวงตะวัน แค่หมาป่าทะเลทรายสิบกว่าตัว แค่ข้าดีดนิ้วก็ตายเรียบแล้ว” อันหลินพูดอย่างเคร่งขรึม
มุมปากของไป๋ซูเยี่ยนกระตุกยิกๆ คิดในใจว่าช่วยคนบ้ามาจริงๆ ด้วย
นางไม่สนอันหลินอีกต่อไป วิ่งไปหาเฉินเหมิงกับสมาชิกคณะพ่อค้าหลายสิบชีวิต ร่วมประจันหน้ากับฝูงหมาป่าทะเลทราย หวังจะทำให้พวกมันล่าถอย
ทว่าไม่เป็นดั่งหวัง หมาป่าทะเลทรายยิ่งฮึกเหิมไปกันใหญ่
หมาป่าทะเลทรายสิบกว่าตัวแผ่กลิ่นอายกระหายเลือด กระโจนใส่คณะพ่อค้าแล้วอ้าปากเผยเขี้ยวแหลมคม
เหล่าลูกคณะตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทา แม้แต่เฉินเหมิงกับไป๋ซูเยี่ยนก็หน้าถอดสี แต่พวกเขาจำต้องหิ้วกระบี่สู้ศึก สถานการณ์ในตอนนี้ หากเลือกจะหลบหนี ต้องตายเป็นแน่แท้!
ซิ่ว!
ปราณกระบี่สว่างเจิดจ้าพาดผ่านท้องนภา พุ่งหวีดหวิวไปด้วยความทรงพลัง บดขยี้หมาป่าทะเลทรายสิบกว่าตัวจนแหลกลาญ
ครืน พลังงานที่น่ากลัวยังไม่หยุดยั้ง แม้แต่เนินเขาก็ถูกหั่นเป็นสองท่อน ประหนึ่งดินแดนที่ถูกตัดแบ่ง
ทุกคนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน
ไป๋ซูเยี่ยนเหลียวมองด้านหลังราวกับสัมผัสอะไรบางอย่างได้
ลูกคณะพ่อค้าที่เหลือ รวมถึงเฉินเหมิงก็เสตามองด้านหลัง พลันก็เบิกตากว้าง
ชายหนุ่มที่แต่งตัวพิลึกพิลั่นกำลังเก็บกระบี่ใส่แหวนมิติอย่างไม่ยี่หระ พูดอย่างเริงร่าว่า
“เรียบร้อย!”