เมื่อเพลิงจันทร์ภฤษฏ์ถูกกิน มังกรเพลิงที่เหลือก็พากันแตกสลาย
อันหลินกลับมาพร้อมกับความสำเร็จ จักรพรรดิจื่อหยางตามหลัง ในใจยังคงตะลึงไม่หาย
ประการแรกตกใจกับทักษะการแสดงอันน่าตะลึงของอันหลิน ประการที่สองตกใจกับความน่ากลัวของเคล็ดวิชาเผาไหม้ ไม่คิดเลยว่าเพลิงเทวะที่ขับกล่อมได้ยากอย่างเพลิงจันทร์ภฤษฏ์จะถูกจัดการในคำเดียว ประการที่สามคือตกใจกับความเร็วของอันหลิน เขาไม่เคยพบเคยเจอบุรุษที่รวดเร็วเช่นนี้มาก่อน!
“จื่อหยาง เดี๋ยวเจ้าช่วยแบกข้ากลับที ข้าขอย่อยก่อน แน่นท้องไปหน่อย” อันหลินโพล่งขึ้นมา
มุมปากของจักรพรรดิจื่อหยางกระตุกเมื่อได้ฟัง เพลิงเทวะทำให้อิ่มท้องได้จริงหรือ
แต่เขาก็ไม่ถามให้มากความ เพียงแค่แบกอันหลินมุ่งหน้ากลับจักรวรรดิทีฆชาติเงียบๆ
แน่นอนว่าอันหลินไม่ได้แน่นท้อง แต่ผลข้างเคียงจากการใช้พลังปราณอนธการกำเริบอีกแล้ว
แม้จะใช้เพียงระยะเวลาอันสั้น ซ้ำยังกินยาบำรุงเลือดลมแล้วด้วย แต่ผลข้างเคียงยังคงรุนแรงมากอยู่ดี อย่างไรเสียอันหลินก็คร้านจะขยับตัว ให้จื่อหยางขยับเอง
ณ บ่อสรรพสิ่ง ราชวังจักรวรรดิทีฆชาติ
เถียนหลิงหลิงกับหลิวเชียนฮ่วนใช้มือถือที่ผ่านการดัดแปลงด้วยเวทมนตร์ ต่อสู้กันอย่างดุเดือดในโลกของลีคออฟคิง
อุณหภูมิของบ่อกำลังดี พวกนางช่อบ่อน้ำร้อนพร้อมกับเล่นมือถือไปด้วย ช่างเป็นการเสพสุขที่งดงามยิ่งนัก
จักรพรรดินีปี้ฉงกลายร่างเป็นมนุษย์ ชั่วขณะที่หมอกขาวโพลนลอยล่อง สามารถมองเห็นเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติของนางได้
นางเขยิบเข้าใกล้ทั้งสอง บนใบหน้าที่ดูน่ายำเกรงเต็มไปด้วยความสงสัย
“ไยมนุษย์ที่เจ้าควบคุมกับมนุษย์ที่นางควบคุมเหมือนกัน แต่ความสามารถกลับแตกต่างกันปานนี้เล่า” นางเพิ่งเคยเห็นทั้งสองคนประมือกันครั้งแรก จึงอดถามหลิวเชียนฮ่วนไม่ได้
“เพราะตัวละครของข้าเป็นระดับแปลงจิต ของนางแค่กายแห่งมรรค ระดับไม่ถึง จึงแตกต่างกันมาก!” หลิวเชียนฮ่วนพูดอย่างจริงจัง
เถียนหลิงหลิง “…”
อีกด้านหนึ่ง ในเขตบ่อน้ำร้อนชายที่ถูกหยกมรกตขวางกั้น
เซวียนหยวนเฉิงกับเหยาหมิงซีกำลังวิเคราะห์อาวุธเทวะในมืออย่างตื่นเต้น หูก้วนกับถังซีเหมินทำได้เพียงเหม่อมองเท่านั้น เกิดความรู้สึกอึดอัดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
จักรพรรดิจื่อหยางพาอันหลินกลับมาถึงวังแล้ว
อันหลินก็กระโดดลงบ่อสรรพสิ่งดังจ๋อมเช่นกัน เพื่อฟื้นฟูพลังที่เขาสูญเสียไป
“ภารกิจเพลิงเทวะสำเร็จไปสามส่วนสี่แล้ว ลำดับต่อไปขอแค่ได้เพลิงอนัตตา เราก็จะได้พลัง เป็นใหญ่ในหล้า!” อันหลินพูดอย่างฮึกเหิม สะเทือนใจหูก้วนกับถังซีเหมินอีกครั้ง
คนอื่นทั้งเก็บเกี่ยวอาวุธเทวะ ทั้งรวบรวมเพลิงเทวะ พวกเขามาที่นี่ทำไม ท่องเที่ยวหรือ
ไม่ได้การ จำต้องสร้างวีรกรรมอะไรสักอย่าง!
หูก้วนกับถังซีเหมินแอบตั้งปณิธานในใจ
จักรพรรดิจื่อหยางไม่ได้ไปที่บ่อสรรพสิ่ง แต่นั่งจิบชาภายในห้องสงบใจ
ผ่านไปไม่นาน หญิงสวมชุดจักรพรรดิสีมรกตก็เยื้องย่างมา ผมยาวดำขลับถูกเกล้าขึ้น มันยังเปียกชื้น นางงดงามโฉมฉาย ยามปรายตามองมีความน่ายำเกรงอันเป็นธรรมชาติเจือปนอยู่
“จักรพรรดินีปี้ฉง ข้าอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวนานแล้ว” เมื่อเห็นผู้มาเยือน ใบหน้าของจื่อหยางก็ฉายรอยยิ้ม รินชาเพิ่มอีกถ้วยวางลงบนโต๊ะทันที
ปี้ฉงยิ้มบางๆ จิบชาคำหนึ่งแล้วเข้าประเด็นโดยตรง “เจ้าตัดสินใจจะไปจากแผ่นดินนี้แล้วสินะ”
“ใช่แล้ว ข้าไม่เห็นทางออกในโลกใบนี้ ได้เวลาไปพัฒนาในโลกใบใหม่แล้ว” จักรพรรดิจื่อหยางพูดพลางยิ้มอย่างห่อเหี่ยว จากนั้นก็เสมองปี้ฉง “เจ้าก็จะไปจากที่นี่เหมือนกันใช่ไหม”
ปี้ฉงพยักหน้า “นายหญิงไปไหน ข้าก็ไปนั่น”
จักรพรรดิจื่อหยาง “…”
เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด ไยรู้สึกถึงความละมุนละไมอันลึกซึ้ง จนบัดนี้เขายังไม่สามารถมองจักรพรรดินีผู้เย้ยปฐพีกับเสี่ยวชิงสัตว์เลี้ยงของพญางูขาวเป็นบุคคลเดียวกันได้
ปี้ฉงไม่สนใจอากัปกิริยาของจื่อหยาง พูดต่อไปว่า “น่าสนใจมากจริงๆ เพียงชั่วพริบตา สุดยอดผู้แข็งแกร่งทั้งสามของแผ่นดินก็สิ้นไปหนึ่งคน อีกสองคนไปจาก”
จักรพรรดิจื่อหยางทอดถอนใจ “ความจริงข้าอาลัยแผ่นดินนี้ ที่นี่มีวงศ์ตระกูลของข้า มีสหายของข้า… แต่ข้าไม่รู้ว่าพูดเช่นนี้จะถูกหรือไม่ พลังอย่างปราณสงคราม… อาจเป็นความผิดพลาด มันไม่สามารถทำให้พวกเราบรรลุระดับที่สูงกว่านี้ได้ เจ้ามีชีวิตร่วมหมื่นปีแล้ว คงจะรู้ดีกว่าข้า”
ปี้ฉงหัวเราะเบาๆ “นั่นสิ ข้าถือเป็นจักรพรรดิที่เก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินนี้แล้ว ข้าจึงรู้ดีกว่าเจ้า แต่ในเมื่อจะจากไปแล้ว ข้าก็จะขอบอกบางอย่างที่เจ้าไม่รู้กับเจ้าสักหน่อย”
“เอ๊ะ เรื่องอะไรหรือ” จักรพรรดิจื่อหยางได้ฟังก็นึกสนใจขึ้นมาทันที
นัยน์ตาสีมรกตของปี้ฉงลึกล้ำขึ้นทันตา ทอดมองแผ่นดินกว้างใหญ่ด้านนอก เอื้อนเอ่ยเสียงเบาว่า “แผ่นดินนี้กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง กัมมันต์ของปราณสงครามแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน…”
มือขาวปลอดของนางพลิกลง อากาศในรัศมีสามลี้สลัวลงในพริบตา เมฆดำเกลือกกลิ้ง สายฟ้าคำราม ดุจดั่งพระแม่ผู้บงการทุกสรรพสิ่ง
จักรพรรดิจื่อหยางมองท่าทางประหนึ่งเทพเทวาด้วยสติที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย
“นี่เป็นเคล็ดวิชาพายุอัสนี เมื่อหมื่นปีก่อน ข้าสำแดงเคล็ดวิชาพายุอัสนีสุดฤทธิ์ อานุภาพมีเพียงหนึ่งในสามของตอนนี้” จักรพรรดินีปี้ฉงเอ่ยอย่างเนิบนาบ “เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมากมาย แต่เพราะพลังงานที่เราใช้เกิดการเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนจากหยาบเป็นละเอียด เปลี่ยนจากการแตกตัวเป็นผสานกับวิถีสวรรค์ พลังปราณเป็นธาตุแท้ของจักรวาล เป็นพลังงานหนึ่งเดียวที่วิถีสวรรค์ยอมรับ แต่ปราณสงครามก็อยู่บนเส้นทางการหลุดพ้นเช่นกัน ภายใต้การนำพาของเจตจำนงบางอย่าง มันอาจจะบุกเบิกเส้นทางใหม่ก็ได้”
จักรพรรดิจื่อหยางสั่นเทา ข้อมูลนี้มันช่างน่าพรั่นพรึงเหลือเกิน
“ปราณสงครามเป็นพลังงานพื้นฐานของแผ่นดินนี้ มันจะค่อยๆ พัฒนางั้นหรือ”
“ใช่แล้ว”
“มันถูกเจตจำนงบางอย่างนำพาหรือ”
“ในความคิดข้า มันเป็นเช่นนั้น”
“หึ…น่าสนใจ แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี”
ปี้ฉงยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าเรียบเฉย “ไม่ว่าเจตจำนงนั้นจะเป็นบุคคลแบบใด ขอเพียงข้ายังเป็นข้า มันจะเป็นอะไรไป”
จักรพรรดิจื่อหยางเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะผงกศีรษะ “อันนี้มีเหตุผล ต่อไปแผ่นดินนี้อาจมีบุคคลที่มีพลังยุทธ์สูงกว่าจักรพรรดิสงครามปรากฏกาย แต่ข้ารอไม่ได้แล้ว ข้าออกไปดีกว่า!”
“เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรแล้ว” ปี้ฉงวางตำราเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะ
จักรพรรดิจื่อหยางมองตำราเล่มนั้นแล้วเบิกตากว้าง “นี่มัน…”
เห็นอักษรตัวใหญ่เด่นหราบนหน้าปก ‘ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงชีวมวลของพลังงานปราณสงครามและชีวมวลของพลังปราณ’
“เหอะๆ เจ้านี่น่าจะพอมีประโยชน์กับเจ้าหลังออกไป” จักรพรรดินีปี้ฉงดันตำราให้จักรพรรดิจื่อหยางแล้วพูดว่า “เป็นองครักษ์ประจำตัวนายหญิงไป๋ คงไม่ขอมากไปหรอกใช่ไหม”
จักรพรรดิจื่อหยางชะงัก มองตำราตรงหน้าแวบหนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันตกปากรับคำ
เขาหยิบตำราขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
ตนเป็นถึงจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ กลับต้องมาเป็นองครักษ์ให้เด็กผู้หญิงงั้นหรือ
เฮ้อ… ไยตกต่ำขึ้นทุกวันเล่า…
แต่เมื่อคิดในทางกลับกัน จักรพรรดินีปี้ฉงผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งในแผ่นดินยังเป็นสัตว์เลี้ยงของเด็กหญิงเลย เขาเป็นองครักษ์ เหมือนจะไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร
ไม่นานทุกคนก็พักรักษาตัวเสร็จสิ้น
สมาชิกทุกคนในกลุ่มอันหลินพาจักรพรรดิสงครามทั้งสอง เริ่มมุ่งหน้าเหาะเหินสู่แดนโบราณรกร้างทางเหนือของแผ่นดิน เข้าสู่เส้นทางการค้นหาสุสานโส่วหยางอย่างเป็นทางการ