หลังพบสุสานเซียนสวรรค์โส่วหยางแล้ว พวกอันหลินต่างก็ดีใจเหลือเกิน
ผ่านความยากลำบากมามากมายปานนั้น ในที่สุดก็เจอที่นี่สักที!
จักรพรรดิจื่อหยางเป็นผู้นำทาง เดินนำอยู่ด้านหน้าสุด ลอดอุโมงค์มืดมิดมายังโถงที่ใหญ่โต ภายในกว้างขวางเป็นอย่างมาก รอบๆ มีประตูบานใหญ่ปิดแน่นหนา มีแท่นศิลาขาวสะอาดตั้งอยู่ใจกลางห้อง
พวกอันหลินก้าวเข้าไปหยุดลงตรงหน้าหลักศิลา บนศิลามีแผนที่สลักอยู่
“นี่…เป็นแผนที่เส้นทางของสุสานงั้นเหรอ” เถียนหลิงหลิงพูดอย่างแปลกใจ
อันหลินเองก็งุนงง สร้างสุสานให้ตัวเอง หรือสร้างสถานที่ท่องเที่ยวกันแน่ มีแม้กระทั่งแผนที่นำทางด้วยงั้นเหรอ!
ตามที่แผนที่ระบุไว้ ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่เป็นจุดเริ่มต้นที่อยู่ต่ำที่สุด จากนั้นเป็นทางลดเลี้ยวขึ้นไปแยกเป็นสิบทาง ผ่านทางเชื่อมหนึ่งจุด สุดท้ายมาบรรจบกัน ผ่านทางเชื่อมอีกสามจุด ก็จะถึงจุดหมาย
เส้นทางสิบทางถูกขนานนามว่า สิบเผ่าพันธุ์พิทักษ์แดน เผ่าภูตงู เผ่าเต่าสวรรค์ เผ่ามังกร เผ่าจอมศาสตรา เผ่าปีกทมิฬ เผ่าวิหคเพลิง เผ่าพันธุ์ศิลา เผ่าภูตมัจฉา เผ่าจอมมาร เผ่าจิตวิญญาณ
เผ่าพันธุ์เหล่านี้มีทั้งเผ่าพันธุ์ที่อันหลินคุ้นเคยดี และเผ่าพันธุ์ที่แปลกหน้าอย่างยิ่ง
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดก็คือ ในนี้กล่าวถึงเผ่าปีกทมิฬด้วย!
เผ่าปีกทมิฬเป็นสิบเผ่าพันธุ์พิทักษ์แดนงั้นเหรอ พวกมันพิทักษ์ดินแดนไหน คงไม่ใช่ทั้งโลกหรอกนะ
เขาคิดว่าไม่ใช่อิทธิพลพิทักษ์แดนที่เที่ยงตรงแน่ๆ ดูเผ่าพันธุ์จอมมาร เผ่าพันธุ์ปีกทมิฬอะไรนั่นสิ แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี ไม่มีแม้แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยซ้ำ!
“ท่าทางเส้นทางทั้งสิบเส้นจะถูกเตรียมไว้ให้พวกเราทั้งสิบคน ไม่แน่ว่าแต่ละเส้นอาจจะมีโชคให้แสวงก็ได้ ทุกคนเลือกกันเลย” อันหลินขบคิดแล้วเอ่ยออกไป
พญางูขาวไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ ยืนตรงหน้าประตูของเผ่าพันธุ์ภูตงูอย่างยิ้มแย้มทันที ท่อนแขนของนางยังมีเสี่ยวชิงคล้องอยู่ จึงไม่มีใครคิดว่าการฝึกตนคราวนี้จะเป็นปัญหาสำหรับนาง
เถียนหลิงหลิงเลือกเผ่าพันธุ์ภูตมัจฉา ไม่มีเหตุผลอื่น เพียงเพราะดูแล้วจะกำราบได้ง่ายหน่อยก็เท่านั้น…
อันหลินจัดแจงให้ผู้นำทางของทีมอย่างจักรพรรดิจื่อหยางไปกับเถียนหลิงหลิง เพราะเถียนหลิงหลิงเป็นเพียงนักพรตกายแห่งมรรคขั้นสิบเท่านั้น อันหลินไม่วางใจให้นางไปคนเดียว
สวีเสี่ยวหลานลังเลระหว่างเผ่าพันธุ์วิหคเพลิงกับเผ่าพันธุ์มังกรอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกเผ่าพันธุ์วิหคเพลิง
อันหลินเลือกเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ เขาอยากดูว่าเผ่าพันธุ์ที่เคยมีความแค้นต่อกันจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน
หลิวเชียนฮ่วนเลือกเผ่าพันธุ์จิตวิญญาณ แทบจะไม่ลังเลเลยเช่นกัน แววตาประกายแสงวูบหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ลูกทีมลำดับถัดไป ล้วนเลือกส่งๆ ไปตามยถากรรม
ซูเฉี่ยนอวิ๋นเลือกเส้นทางเผ่าพันธุ์เต่าสวรรค์ ถังซีเหมินเลือกเผ่าพันธุ์มังกร เซวียนหยวนเฉิงเลือกเผ่าพันธุ์จอมศาสตรา เหยาหมิงซีเลือกเผ่าพันธุ์จอมมาร หูก้วนเลือกเผ่าพันธุ์ศิลา
ทุกคนเดินไปหยุดตรงหน้าประตู พบว่าบนประตูมีช่องว่าง หลังวางป้ายหยกลงตรงนั้นแล้ว ประตูก็ค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นเส้นทางที่มีริ้วแสงส่องสะท้อน
“ข้าจะรอทุกคนที่เส้นทางบรรจบ แล้วพบกันที่นั่น” อันหลินมองเหล่าสมาชิกที่เตรียมตัวจะก้าวเท้าเข้าสู่เส้นทาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม
พูดจบเขาก็ก้าวเข้าไปในประตูแสงอย่างไม่ลังเล
ภายในอุโมงค์ ริ้วแสงสีทองกระจายตัวอย่างเชื่องช้าดุจเกลียวคลื่น
อันหลินก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด ความรู้สึกประหลาดบางอย่างแผ่ซ่านในร่างกายเขา ราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างกระทบ
หรือนี่จะเป็นการเชื่อมโยงจากโชคชะตา เป็นชะตากรรมหรือ
เขาหวนคิดถึงสงครามที่สะเทือนปฐพีในทิเบตครั้งนั้น ความร้อนรุ่มบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจ มันเป็นสงครามระหว่างเขากับเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ!
ขณะที่อันหลินกำลังจินตนาการอย่างจูนิเบียวอยู่นั้น กระบี่ดำขลับในมือกลับสั่นระริกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
เขาจ้องมองกระบี่พิชิตมารในมืออย่างแปลกใจ ถามกระอึกกระอักว่า “เอ่อ…ที่ข้ามีความรู้สึกแบบนี้ เป็นเพราะเจ้างั้นหรือ”
กระบี่พิชิตมารเย็นชา ไม่พูดไม่จา
อันหลินถอนหายใจ เดินหน้าต่อไป
ขณะเดียวกัน หูก้วนมาถึงดินแดนแห่งใหม่แล้ว ที่นั่นมีเสาดำทะมึนสูงร่วมร้อยเมตรหลายสิบต้น เสาหินเหล่านี้ล้วนเก่าแก่ตระการตา และแฝงด้วยกลิ่นอายอันตรายบางอย่าง
“ตรวจสอบพบว่าผู้ทดสอบอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้น เปิดโหมดทั่วไป”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นในอากาศ จากนั้นเสาหินสีดำก็มีดวงตาสีชาดปรากฏให้เห็น
…
พญางูขาวพาเสี่ยวชิงมุ่งหน้าสู่ปลายทางของเส้นทาง
“เสี่ยวชิง เจ้าว่าข้างในนั่นจะมีสัตว์ประหลาดอะไรโผล่มาไหม ข้ากลัว…”
“ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะเป็นอะไร ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
“จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ มีคนคอยปกป้องตลอดเวลา ทำอะไรไม่ดีเลยสักอย่าง…”
“นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่เติบโต เมื่อเจ้าเติบใหญ่ เจ้าจะปกป้องคนอื่นได้”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน พวกนางก็พ้นเส้นทางมาแล้ว มองเห็นบึงปรากฏตรงเบื้องหน้า
“ตรวจสอบพบว่าผู้ทดสอบอยู่ในระดับกายแห่งมรรค เปิดโหมดง่าย”
จักรพรรดินีปี้ฉงชะงักเมื่อได้ยินประโยคนี้ จากนั้นก็ขำเบาๆ “เหอะๆ น่าสนใจ ไม่คิดว่าจะปรับระดับความยากตามระดับพลังยุทธ์ได้ด้วย แต่ไม่รวมพลังต่อสู้ของข้า ดูถูกกันเกินไปหน่อยแล้ว…”
…
ถังซีเหมินเดินไปจนถึงปลายทาง เห็นขุนเขาดำทะมึนอยู่ไกลโพ้น กระดูกสีขาวกระจัดกระจาย กลิ่นอายความตายแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
“ตรวจสอบพบว่าผู้ทดสอบอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย เปิดโหมดยาก”
“เหอะๆ โหมดยากงั้นหรือ กำลังคิดอยู่เลยว่าชีวิตเรียบง่ายเกินไป มาทันเวลาพอดี” ถังซีเหมินยิ้มบาง ชักกระบี่ออกมา พลังพุ่งทะยานทันที
ข้าเข้ามาในโลกใบนี้เนิ่นนานปานนี้แล้ว แต่ก็ยังมือเปล่า สมบัติในครั้งนี้ ข้าต้องได้มาครอง!
…
ซูเฉี่ยนอวิ๋นก้าวไปข้างหน้าอย่างหวาดวิตก นางชินกับการถูกปกป้อง ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอันไม่ทราบชื่อ ในใจของนางจึงกระวนกระวายและกังวล
นางเยื้องย่างออกจากเส้นทางทีละก้าว จากนั้นต้องตะลึงกับทัศนียภาพด้านนอก
“นี่…นี่มันอะไรกัน ชายหาด ทะเลหรือ” ปากสีระเรื่อจิ้มลิ้มของซูเฉี่ยนอวิ๋นเผยอเล็กน้อย มองทัศนียภาพตรงหน้าอึ้งๆ
ชายหาดสีทอง ท้องทะเลกว้างใหญ่ แสงสว่างเจิดจ้า ให้ความรู้สึกราวกับห้วงความฝัน
“ตรวจสอบพบว่าผู้ทดสอบอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย เปิดโหมดยาก”
ในตอนนั้นเอง เสียงก็ดังก้องท้องนภา
แต่ซูเฉี่ยนอวิ๋นกลับกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง “ฮะ เจ้าพูดอะไรน่ะ”
อืม เสียงแจ้งเตือนเหนือเวหาเป็นภาษาจีนกลาง นักเรียนซูจึงงงเป็นไก่ตาแตก
…
ทว่า คนที่งงมากที่สุดไม่ใช่ซูเฉี่ยนอวิ๋น แต่เป็นหลิวเชียนฮ่วน
หลิวเชียนฮ่วนมาถึงแผ่นดินสีขาวกว้างไกลสุดลูกหูตา ลำแสงสีรุ้งลอยล่องเต็มบริเวณ และมีสิ่งมีชีวิตเจ็ดสีนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวบนพื้น ประหนึ่งศิลปะไร้รูปลักษณ์ เปี่ยมด้วยความบิดเบี้ยวและลวงตา
“ตรวจสอบพบว่าผู้ทดสอบอยู่ในระดับแปลงจิต เปิดโหมดยากระดับนรก”
หลิวเชียนฮ่วนนิ่งงันเมื่อได้ยิน
ระดับแปลงจิต ข้าแปลงจิตงั้นหรือ
ทั้งๆ ที่ข้าอยู่ในระดับกึ่งแปลงจิตแท้ๆ เจ้าเปิดโหมดยากระดับนรกให้ข้ามันเรื่องอะไรกัน!