ล้อเล่นใช่ไหมวะเนี่ย!!?
หลังจากจัดการผึ้งยักษ์ไปได้หนึ่งตัว ทัตที่กำลังดีใจกับชัยชนะกลับต้องรู้สึกเสียวสันหลังวาบอีกครั้งเมื่อมีอีกห้าตัวปรากฏตัวขึ้น
ทัตทำอะไรไม่ถูกจนยืนแข็งทื่อไปสักพักหนึ่ง แต่พอตระหนักว่ามีพิมกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็รู้ตัวว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
“ขึ้นไปบนบันได แต่อย่างเพิ่งออกนอกระยะสายตาของฉันนะ!”
“ขะ เข้าใจแล้ว!” ทางพิมแม้จะตกใจ แต่ก็รีบทำตามที่ทัตบอกอย่างว่าง่าย
แล้วพอเห็นว่าพิมขึ้นไปอยู่ขั้นกลางของบันไดระหว่างชั้นปัจจุบันกับชั้นสามเรียบร้อยแล้ว ทัตก็หันไปให้ความสนใจกับพวกผึ้งยักษ์ต่อ
และเพื่อความไม่ประมาทก่อนสู้ ทัตใช้สกิล ‘วิเคราะห์ LV-1’ กับพวกมันเรียงตัว
ผลลัพธ์คือพวกมันทั้งห้าตัวเป็น ‘ผึ้ง’ ประเภท ‘Common’ เหมือนกับตัวที่ทัตจัดการไป แต่ว่า…
ถึงจะเหมือนกับตัวที่ฉันเพิ่งจะจัดการไปก็เถอะ
แต่เลเวลของพวกมัน 5 ตัวนี่แหล่ะที่เป็นปัญหา
เลเวล 3 หนึ่งตัว… เลเวล 5 สองตัว… และเลเวล 7 อีกสองตัว นั่นคือสิ่งที่ถูกแสดงบนหน้าต่างข้อมูลแต่ละแผ่น
ตัวที่เลเวลน้อยสุดอย่างเลเวลสามนั้นอยู่หน้าสุด ถัดไปจากนั้นคือเลเวลห้าทั้งสองตัว และที่อยู่หลังสุดอีกสองตัวคือตัวที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเลเวลเจ็ด
ทัตอยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่พวกนี้จัดกระบวนทัพโดยให้ตัวอ่อนแอสุดเป็นทัพหน้าเพื่อตรวจสอบฝีมือของศัตรู แต่การคิดแบบนั้นคงไม่ต่างจากการขุดหลุมฝังตัวเองด้วยความประมาท เขาจึงคิดในกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนว่าพวกมันมีสติปัญญาที่จะสู้เป็นทีมได้
ไม่ไหว… แบบนี้เสียเปรียบด้านจำนวน
คิดยังไงก็ไม่น่าจะชนะ ยังไงก็ต้องถอยไปตั้งหลัก!
ทัตประเมินสถานการณ์แล้วต้องรีบคิดเร็วทำเร็ว และเมื่อคิดได้ว่าต้องถอนกำลังเขาก็คิดจะโจมตีทิ้งท้าย อย่างน้อยก็เพื่อไล่ให้พวกมันอยู่ห่างจากบันได
เพราะคำนึงจากจุดเกิดเหตุที่พวกมันกรูกันออกมาพร้อมกัน อาจเป็นไปได้ว่ายังมีพวกผึ้งเหลืออยู่อีกที่ห้องในสุดของทางเดินชั้นสอง และข่าวร้ายก็คือห้องของทัตที่ตั้งใจจะใช้เป็นแหล่งกบดานนั้นคือห้องในสุดของทางเดินชั้นสาม
หรือก็คือ ห้องของทัตอยู่บนห้องที่น่าจะมีพวกมันอยู่พอดิบพอดีนั่นเอง… ด้วยเหตุนั้นจึงมีความเสี่ยงที่มันจะโจมตีแบบพังเพดานห้องให้ถล่มลงมา และถ้าเป็นแบบนั้นทัตกับพิมก็จะตกลงไปกลางดงของพวกผึ้งยักษ์ซึ่งคิดยังไงก็มีแต่ตายกับตาย ดังนั้น ทางเลือกที่เหลืออยู่คือต้องหนีลงไปชั้นหนึ่งแล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะไปไหนต่อ
“พิม เราจะลงไปชั้นหนึ่งกัน!”
“เข้าใจแล้ว!”
ได้ยินคำสั่งถัดไป พิมก็เดินลงมาจากบันไดจนอยู่ใกล้ ๆ กับชั้นสอง ให้อยู่ในจุดที่พร้อมจะทำตามที่ทัตบอกได้ตลอดเวลา
เอาล่ะนะ!!!
ทัตเองพอเห็นว่าพิมพร้อมแล้ว เขาก็เริ่มใช้สกิล ‘เวทยิง LV-1’ ด้วยธาตุไฟอีกครั้งหนึ่ง เพราะเห็นแล้วว่ามันได้ผลดีในการเผาปีกของพวกผึ้ง
แต่หนนี้พวกมันบินเข้ามาทางทัตเร็วกว่าครั้งที่แล้วมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันเรียนรู้จากเพื่อนที่ตายไปแล้วหรืออย่างไร แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้ทัตตกที่นั่งลำบาก เพราะเห็นได้ชัดว่ามันจะเข้ามาประชิดตัวของทัตก่อนที่เวทจะชาร์จเสร็จสมบูรณ์
“เวรเอ้ย!”
แต่ทัตไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้น เขาฝืนปล่อยสกิลออกไปทั้งที่ใช้เวลาชาร์จยังไม่ถึง 5 วินาที ไฟที่พุ่งเข้าใส่พวกผึ้งจึงมีขนาดเล็กกว่าหนก่อน และช้ากว่าหนก่อนด้วย
นั่นถึงเป็นเหตุผลที่พวกมันทุกตัวสามารถบินหลบเวทยิงไฟของทัตได้หมด
แม่งเอ้ย! ทีอย่างนี้ล่ะเก่งขึ้นมาเชียวนะไอ้พวกเวรนี่!
ทัตสบถแบบนั้นอยู่ในใจด้วยความหงุดหงิด ถ้าทำได้ก็อยากจะเอามีดกระหน่ำแทงพวกมันเรียงตัวให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถ้าขืนปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวนำก็คงถูกพวกที่เหลือรุมทึ้งจนตายอยู่ดี
แผนการหนีลงไปชั้นล่างถูกบีบอีกครั้งเมื่อพวกมันกดดันทัตเข้ามาใกล้จนไม่สามารถใช้ทางลงบันไดได้เลย
“เปลี่ยนแผน! รีบหนีขึ้นชั้นบนเร็ว!”
“อื้อ!?”
ทัตตะโกนแบบนั้น แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็วิ่งไปจับมือพิมวิ่งนำเธอขึ้นไปก่อนเสียด้วยซ้ำ
ด้วยพละกำลังที่มากกว่า ทัตพยายามรักษาความเร็วไม่ให้มากเกินไปในขณะที่วิ่งนำเธอ
ยังไงก็ตาม เจ้าพวกผึ้งมันยังบินตามขึ้นมาอย่างที่ทัตคิด และมันก็เร็วกว่าด้วยเพราะไม่จำเป็นต้องก้าวขึ้นทุกขั้นของบันได มันเพียงแค่ลอยขึ้นในแนวดิ่งก็เกือบจะตามพวกทัตที่อยู่ชั้นสามทันแล้ว
ตามทันแล้วเรอะ!? บ้าชิบ!
เอาไงดี? ถ้าวิ่งหนีขึ้นไปอย่างงี้ ไม่นานมันตามทันแน่
ทัตมองสลับไปที่บันไดแล้วคิดว่าคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ในตอนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าหอพักนี้มีบันไดหนีไฟอยู่สองฝั่งที่สุดทางเดินทั้งสอง ถ้าใช้การวิ่งตรงทางเดินเพื่อทิ้งระยะห่าง ผึ้งมันน่าจะใช้เวลาในการบินตามมากกว่าบินขึ้น เพราะมันต้องบินในแนวราบ และถ้าผึ้งใช้เวลาในการบินมากขึ้น ก็จะซื้อเวลาให้พวกทัตหนีได้มากขึ้น
ทัตถึงเลือกที่จะวิ่งไปทางหนีบันไดอีกฝั่ง เพราะฝั่งที่ติดกับห้องของเขามันเชื่อมอยู่กับห้องด้านล่างที่มีพวกผึ้งยักษ์กรูกันออกมาและน่าจะเป็นรังของพวกมัน จึงมีความเป็นไปได้ที่จะโดนดักโจมตี
เขาใช้เวลาไม่นานในการวิ่งหนีไปจนถึงบันไดหนีไฟสุดทางเดินอีกฝั่ง แล้วไหน ๆ ก็มีโอกาสใช้บันได ทัตจึงกลับมาใช้แผนเดิมคือการลงไปข้างล่างเพื่อหนีออกจากหอนี้ที่อาจเต็มไปด้วยพวกผึ้ง
ชั้นสองตามด้วยชั้นหนึ่ง… ด้วยการทิ้งระยะห่างขนาดนี้ ถือว่าการหลบหนีประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
แฮ่ก… แฮ่ก…
ทั้งสองคนใช้โอกาสนี้ยืนพักหายใจเฮือกใหญ่ โดยเฉพาะพิม
นี่ขนาดว่าพิมเองก็มีความสามารถทางด้านกีฬาสูงมากคนนึง แต่พอเจอการวิ่งหนีสุดแรงอย่างต่อเนื่องบวกกับสถานการณ์เสี่ยงตายเข้าไปเธอก็รับมือไม่ไหวเหมือนกัน
“ไปหา… ที่หลบกันก่อนดีไหม?” ทัตเสนอแบบนั้น เพราะเขาคิดว่าถึงหนีพ้นแล้วแต่มันก็อาจจะยังตามมาได้ทุกเมื่อ จึงควรหาห้องปิดไว้หลบภัยสักพักหนึ่งก่อน ทางพิมเองก็เห็นด้วยตามนั้น
“นั่นสินะ ลองไปดูพวกห้องเก็บของกันก่อนไหม?”
เธอจึงพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยอ่อน
ตัวเลือกของเธอนั้นถือว่าน่าสนใจ ทัตเลยจับมือพิมแล้วก็เดินพาไปยังจุดที่ว่า แต่ในระหว่างทางที่กำลังจะเดินไปถึง พวกเขาก็เดินผ่านห้องสันทนาการเสียก่อน
แล้วดูเหมือนในห้องดังกล่าวจะมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะเดินถึงห้องที่เป็นจุดหมายทัตเลยหยุดเท้าลงเสียก่อน
“มีอะไรเหรอ?” พิมเอ่ยถาม เพราะเห็นทัตมีท่าทางระวังตัว เธอเลยพูดด้วยเสียงที่เบาที่สุดตาม
“ในห้องนั่นมีคนอยู่น่ะ เอาไงดี?”
ทัตชี้ไปที่ห้องเจ้าปัญหาด้วยเสียงที่เบาพอ ๆ กัน
ในสถานการณ์อย่างนี้ การเจอคนที่ไม่รู้จักนี่มันไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย
ไม่สิ… ถึงเป็นคนรู้จักก็เถอะ แต่ถ้าไม่สนิทด้วยจริง ๆ ก็อาจจะไว้ใจไม่ได้เหมือนกัน
แม้สิ่งที่ทัตคิดจะดูโหดร้ายไปเสียหน่อย แต่มันก็เป็นความจริงที่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองเป็นอันดับแรกเสมอ
เพื่อปกป้องตัวเองแล้ว มนุษย์สามารถทำเรื่องโหดร้ายได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ไม่ควรจะไว้ใจคนอื่นในสถานการณ์แบบนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง… เพราะตอนนี้ทัตมีพิมติดสอบห้อยตามมาด้วย เขาถึงต้องระวังเรื่องนั้นให้มากกว่าปกติ
“ทัตคิดว่าไงดีล่ะ?” ในจังหวะที่คิดแบบนั้น พิมก็เอ่ยถามความเห็นจากทัตเช่นเดียวกับที่ทัตอยากได้ความเห็นจากเธอ
แต่ถ้าดูจากคิ้วที่ขมวดอยู่ของพิม คิดได้ว่าเธอคงอยากมอบสิทธิ์การตัดสินใจให้กับทัต
“งั้นก็อย่าไปยุ่งเลย”
“ฮะฮะ นั่นสินะ”
พิมได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ หลังทัตตอบกลับเกือบจะในทันที
และด้วยเหตุนั้น ตอนนี้พวกทัตเลยต้องเปลี่ยนแผนไปที่อื่นแทน
แต่ก่อนจะจาก ทัตนึกครึ้มอยากลองใช้สกิล ‘วิเคราะห์ LV-1’ กับมนุษย์ด้วยกันดูเพื่อทดสอบว่ามันจะแสดงอะไรออกมาบ้าง แต่เขาไม่อยากลองกับพิมเพราะกลัวว่าจะส่งผลอะไรกับเธอ
และผลลัพธ์จากการที่เขาใช้มันกับหนึ่งในคนที่อยู่ในห้องสันทนาการ คือหน้าต่างข้อมูลแบบเดียวกับที่แสดงจากเจ้าผึ้งยักษ์ แต่ข้อมูลที่แสดงผลออกมามีแค่ชื่อจริงของคน ๆ นั้นกับที่ระบุเลเวล (LV-0) ต่อท้ายชื่อแค่นั้น
ตัวคนที่ถูกใช้สกิลใส่ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร ดูท่าสกิลวิเคราะห์นี้จะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว อย่างน้อยก็สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่ยังไม่เกิด ‘การตื่น’
ทัตเลยสามารถทดลองใช้สกิลนี้กับพิมโดยไร้กังวลเสียที
ณิศรา ศิริการกุล (LV-0)
ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่ทัตคาดเลยไม่ได้แปลกใจอะไร แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าสกิลนี้สามารถใช้ตรวจสอบได้เบื้องต้นว่าใครบ้างที่เกิดการตื่นขึ้นแล้วบ้าง เพราะอย่างน้อยคนที่เกิดการตื่นแล้วจะต้องมีเลเวลอย่างน้อยเลเวล 1 จากการที่ฆ่ามอนสเตอร์ตัวแรก
พอพิสูจน์เรื่องนั้นได้ทัตก็กลับมาโฟกัสเรื่องการเอาตัวรอดต่อ
ตอนนี้ที่หลบของเราถูกจำกัดเหลือแค่ต้องออกไปนอกอาคารจากทางหนีไฟ
แต่พูดตรง ๆ เลยว่ามันเป็นทางเลือกที่เสี่ยงเอามาก ๆ
ทัตคิดได้ดังนั้น แทนที่จะเดินออกไปนอกตัวอาคาร เขากลับเดินเลาะเข้าไปหลบใต้บันไดของชั้นหนึ่งนี้แทน พิมเองก็เห็นด้วยที่จะทำแบบนั้น เพราะเธอเห็นแล้วจากระเบียงห้องของทัตว่าด้านนอกมันโกลาหลขนาดไหน
“กลับห้องไม่ได้แบบนี้แย่เลยนะเนี่ยบอกตรง ๆ”
“นั่นสิ กล่องปฐมพยาบาลรวมถึงเสบียงเกินครึ่งก็อยู่ในห้อง แถมไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าห้องตัวเองอีกแล้วล่ะ”
พิมกับทัตพูดจบแล้วก็มองหน้ากันอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาหย่อนก้นลงตรงมุมในสุดของใต้บันได ก่อนที่จะเริ่มคุยกันก็ต่อว่าจะเอายังไงดี
“ถ้าจะให้ปลอดภัยยังไงก็ต้องกลับห้องสินะ” ทัตเสนอแบบนั้น
จากที่ทัตเล่าให้พิมฟัง… สถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกอันตรายกว่าที่เกิดในอาคารเพราะเป็นพื้นที่เปิดและมีโอกาสที่จะมอนเสอตร์ตัวใหญ่แถมหาที่ซ่อนตัวได้ยาก นอกจากนี้ยังไม่สามารถพึ่งตำรวจหรือทหารได้
ทัตทบทวนแล้วทบทวนอีก ยังไงทางเลือกในตอนนี้ก็คือต้องยึดห้องตัวเองรวมถึงละแวกใกล้เคียงกลับมาให้เป็นที่ปลอดภัยให้ได้ก่อน ซึ่งพิมเองก็เหมือนจะเห็นด้วยเธอถึงไม่ได้คัดค้าน แต่ว่า…
“งั้นก็เลี่ยงที่จะสู้ไม่ได้น่ะสิ”
พิมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบากว่าปกติ สีหน้าของเธอถอดสีจากความกังวลจนเริ่มจะซีดเผือก
แต่ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะว่าเธอกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง… ทัตรู้เรื่องนั้นจากการที่พิมมองมาทางเขาในขณะที่พูดอย่างนั้น หรือก็คือที่พิมรู้สึกกังวลเพราะเป็นห่วงทัตที่ต้องกลับไปสู้กับฝูงผึ้งยักษ์นั่นเอง
แต่คิดแล้วมันก็น่าเป็นห่วงจริง ๆ นั่นแหล่ะ
ไม่รู้พิมคาดหวังแค่ไหนถึงความสามารถที่ฉันได้รับมาหลังจาก ‘การตื่น’
และถึงฉันจะใช้เวทมนตร์ให้เธอเห็นแล้ว และมันก็ทรงพลังจริงอย่างที่คิดนั่นแหล่ะ
แต่พอกลายเป็นศึกที่ศัตรูได้เปรียบด้านจำนวนแล้ว เวทมนตร์ก็เกือบจะกลายเป็นของไร้ประโยชน์ไปเลย
ทัตขมวดคิ้วอย่างกังวลแบบเดียวกับพิม เพราะเข้าใจแล้วว่าเวทมนตร์ไม่ใช่ข้อได้เปรียบในสถานการณ์อย่างนี้
…เผลอ ๆ มันเป็นข้อเสียด้วยซ้ำไป
“พิม ฉันเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหมว่าฉันสามารถอัพเลเวลให้อาชีพที่ต้องการได้จากทั้งหมด 7 คลาสน่ะ”
“ก็ใช่นะ…”
การที่ทัตเปิดประเด็นทำให้พิมขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอเข้าใจความคิดของทัตได้ทันทีว่าทัตต้องการจะเลือกอาชีพอื่นนอกจาก ‘Mage’ และ ‘Supporter’
ตอนแรกก็คิดอยู่… ว่าถ้าอาชีพจอมเวทมันอเนกประสงค์ขนาดนี้ คงไม่มีใครเลือกอาชีพที่ใช้ต่อสู้อาชีพอื่นหรอก
แต่พอได้มาลองใช้แล้วลงศึกเอง ถึงได้ทำให้รู้ข้อจำกัดข้อใหญ่ของจอมเวท
นั่นคือใช้เวลาในการเตรียมพร้อมก่อนโจมตีนานมาก ถึงผลลัพธ์ที่ได้จะน่าพึงพอใจมากก็เถอะ
แต่ถ้าตายก่อนได้พึงพอใจกับผลลัพธ์ มันก็ไม่คุ้มกันล่ะ
ก็จริงที่คลาสนี้มีประโยชน์… แต่ถ้าจะเอาชนะการต่อสู้ที่เสียเปรียบด้านจำนวนก็ต้องพึ่ง 5 อาชีพแรกที่เป็นสายต่อสู้ตรง ๆ นี่แหล่ะ
ทัตว่าแบบนั้นแล้วก็ไล่ดูรายละเอียดของคลาส ‘Knight’ ‘Lancer’ ‘Fighter’ ‘Archer’ และ ‘Assassin’ ตามลำดับ
ถ้าจะให้พูดง่าย ๆ… ก็คือผู้ใช้ดาบ ผู้ใช้หอก นักสู้ นักธนูแล้วก็นักลอบสังหารสินะ
แต่ละคลาสย่อมมีข้อดีข้อเสียของตัวเอง… แต่ที่ฉันอยากอัพคืออาชีพที่สามารถใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองได้ในทุกสถานการณ์
หรือก็คือเป็นอาชีพที่เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์นั่นเอง!
แล้วเราก็ไม่อยากอัพหลายอาชีพมากเกินไปด้วย เพราะมันจะเป็นการปิดโอกาสการที่อาชีพนั้น ๆ จะอยู่ในระดับสูง ๆ
เพราะงั้นนอกเหนือจาก ‘Mage’ และ ‘Supporter’ แล้ว ฉันจะเลือกอีกแค่หนึ่งคลาสจากห้าคลาสที่เหลือเท่านั้น
นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ต้องเลือกดี ๆ อย่างรัดกุม รวมถึงต้องคิดเรื่องความแข็งแกร่งเปรียบเทียบกันในระยะยาวด้วย
ด้วยเหตุนั้น สามารถตัด ‘Archer’ ออกไปได้เลย… เพราะมันเป็นอาชีพที่จะได้เปรียบก็ต่อเมื่ออยู่ระยะไกล
เรามีอาชีพ ‘Mage’ เป็นอีกอาชีพที่โจมตีระยะไกลได้อยู่แล้ว ถ้าอัพ ‘Archer’ ด้วยมันก็จะซ้ำซ้อนกัน
ส่วนอาชีพที่เน้นใช้อาวุธเป็นหลักอย่าง ‘Knight’ กับ ‘Lancer’ ฉันเองก็ตัดออกเหมือนกัน
เหตุผลก็ง่าย ๆ เลย… เพราะมันอาจเกิดสถานการณ์ที่หาอาวุธที่จำเป็นต้องใช้อย่างมีด ดาบหรือหอกไม่ได้ ถ้าเป็นงั้นก็สู้ไม่ได้อยู่ดี
ยังไม่นับกรณีที่อาวุธอาจถูกทำลายอีก… ก็จริงที่การมีอาวุธมันดีกว่า แต่ถ้าในระหว่างต่อสู้กันอาวุธมันเกิดพังขึ้นมาล่ะก็ นั่นคือจังหวะที่ตายได้ง่าย ๆ เลย
อาชีพที่น่าสนใจสำหรับฉันจึงเหลือแค่ ‘Fighter’ กับ ‘Assassin’
แต่จะอัพทั้งสองคลาสไม่ได้… เพราะอย่างที่บอกว่ามันปิดโอกาส และความเชี่ยวชาญคลาสจะน้อยกว่าถ้าทุ่มอัพแค่คลาสใดคลาสหนึ่ง
ปัญหาก็คือจะอัพคลาสไหนดีนี่แหล่ะ
เพราะสองอาชีพนี้น่าจะใช้มือเปล่าในการสู้ได้เหมือนกัน แต่มือสังหารน่าจะใช้อาวุธอื่นได้ด้วย
ซึ่งถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ… ระหว่าง ‘สู้ซึ่งหน้า’ กับ ‘ลอบกัด’ แบบไหนดีกว่าล่ะสินะ
ทัตตัดตัวเลือกที่คิดว่าเกินความจำเป็นออกจนเหลือแค่สองตัวเลือก แต่ก็เป็นทางแยกที่ยากแก่การตัดสินใจเหมือนกัน
เพราะถ้าจะว่ากันตามตรง ทัตเองก็ไม่ใช่พวกที่ชอบสู้กับใครตรง ๆ หรือชอบประจันหน้าอยู่แล้ว และถ้าหากลอบโจมตีแล้วสามารถสร้างข้อได้เปรียบได้ ทัตก็ไม่รู้สึกลังเลหรือละอายใจเพราะมันไม่จำเป็นสำหรับการเอาตัวรอด
ดังนั้น ถ้าหากมันจำเป็น ทัตไม่เกี่ยงทั้งนั้นว่าจะซึ่งหน้าหรือลอบกัด เขาคิดเพียงแค่ว่าวิธีการใดที่จะทำให้ได้เปรียบที่สุดสำหรับสถานการณ์ส่วนใหญ่เท่านั้น
เพื่อการนั้น เขาจึงต้องใช้เวลาคิดไปพักใหญ่ ๆ จนกว่าจะได้คำตอบ
❖❖❖❖❖
หลังทัตได้ผลลัพธ์ของการตัดสินใจ… เขาก็เริ่มแผนการตีโต้ที่คิดขึ้นในทันที
นั่นเป็นเหตุผลที่ตอนนี้ทัตกับพิมยืนเตรียมพร้อมอยู่ตรงทางขึ้นบันไดหนีไฟที่พวกเขาใช้หนีมาในหนแรก
ทัตวางกระเป๋าสะพายของตัวเองลงตรงชั้นกลางของบันไดระหว่างชั้นสองกับชั้นหนึ่งเพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหว ส่วนพิมที่ตามหลังทัตมาติด ๆ เองก็มีท่าทีกระตือรือร้นเหมือนกับจะลงศึกเหมือนกัน
สิ่งที่ยืนยันได้ยิ่งกว่าอะไรก็คือด้ามไม้ถูพื้นที่ถูกถอดหัวส่วนที่เป็นผ้าถูออกไปแล้วในมือของเธอนั่นแหล่ะ
“อย่าลืมนะ เธอเป็นแค่ฝ่ายสนับสนุน ห้ามทำอะไรเสี่ยง ๆ เด็ดขาดเลย”
ทัตย้ำเรื่องสำคัญกับพิม เธอเองก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายเหมือนเคยด้วยท่าทางกระตือรือร้น ช่างขัดกับบุคลิกภาพเรียบร้อยตามสไตล์คุณหนูผู้เพียบพร้อมตามปกติเป็นอย่างยิ่ง
และถ้าถามว่าทำไมพิมถึงได้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในคนที่ต้องต่อสู้ด้วย ก็ต้องย้อนกลับไปตอนที่ทัตวางแผนจะจัดการพวกผึ้งยักษ์พวกนั้นก่อน
หลังจากทัตเลือกอาชีพที่จะอัพได้แล้ว… สิ่งถัดไปคือการคิดแผนเพื่อกำจัดเหล่าผึ้งยักษ์ที่อยู่ในอาคารให้หมด โดยอันดับแรกคือต้องจัดการผึ้งยักษ์ที่ตอนนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่ชั้นสองให้หมดก่อน
อย่างไรก็ดี… ดูเหมือนการที่ทัตจะออกไปลุยคนเดียวมันทำให้พิมเป็นห่วงเขา มากกว่าที่ทัตคิด
ประกอบกับก่อนหน้านี้ที่ทัตเผชิญหน้ากับพวกมันอย่างยากลำบาก พิมประเมินสถานการณ์ด้วยความคิดตัวเองจึงคิดว่าทัตอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือพวกมันทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้ เธอเลยเสนอตัวเองให้เข้าร่วมศึกด้วยอีกคน
แน่นอนว่าตอนแรกทัตปฏิเสธเพราะมันอันตรายเกินไป แต่พิมดื้อดึงมากกว่าที่ทัตคิด เพราะในมุมมองของพิม เธอกลัวมากว่าทัตจะตายในการต่อสู้ต่อหน้าของเธอ และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงเธอคงไม่ยอมให้อภัยตัวเองที่เอาแต่ดูอยู่เฉย ๆ แน่
ทว่าในทางกลับกันหากพิมเข้าร่วมการต่อสู้แล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ทัตก็ไม่ยอมให้อภัยตัวเองเหมือนกัน
แต่คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายทัตเลยต้องยอมให้พิมเข้าร่วมด้วยแต่ให้เธออยู่แนวหลังและจะพยายามไม่ให้ศัตรูผ่านตัวเขาไปได้แทน คิดว่าแบบนี้คงดีที่สุด
ประกอบกับการย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องเชื่อฟังสิ่งที่ทัตบอก และต้องสัญญากับทัตว่าจะไม่พาตัวเองเข้าไปเจอกับอันตรายเกินความจำเป็น ต้องทำถึงขนาดนั้นทัตจึงจะยอมให้พิมเข้าร่วมการต่อสู้
นั่นแหล่ะคือสาเหตุที่ทำให้ทัตกับพิมเตรียมตัวอยู่ตรงทางขึ้นชั้นสองตรงบันไดหนีไฟอยู่ตอนนี้…
“พร้อมรึยังพิม?”
“พร้อมเสมอจ่ะ”
ทัตหันไปถามความสมัครใจจากพิม ได้ยินดังนั้นเธอก็กำด้ามไม้ถูพื้นในมือพร้อมกับพยักหน้าอย่างขะมักเขม้น
ทัตเห็นแล้วก็พยักหน้าตอบ ก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นไปดูทางเดินของชั้นสองผ่านมุมเล็ก ๆ ของบันได
ศัตรูห้าตัวเดิมยังอยู่ครบถ้วน แต่ว่ากระจัดกระจายกันอยู่
กระบวนทัพของมันค่อนข้างเป็นเส้นตรง ระยะห่างจากกันระหว่างแต่ละตัวค่อนข้างมาก ถ้าเป็นงี้น่าจะจัดการตัวที่ใกล้ที่สุดเพื่อลดจำนวนมันได้อยู่
ทัตคิดแผนในหัวแล้วก็เริ่มจัดการทำสิ่งที่วาดไว้ให้เป็นความจริง
เขาเริ่มใช้สกิล ‘เวทยิง LV-1’ ด้วยธาตุไฟเพื่อสร้างลูกไฟขึ้นตรงหน้า เขาเรียนรู้เรื่องที่พวกผึ้งยักษ์มันสัมผัสการโจมตีจากเวทมนตร์ได้ก่อนหากอยู่ในระยะมองเห็น จึงพยายามใช้มุมก่อนพ้นบันไดเป็นจุดบดบังเวทมนตร์ของเขาไม่ให้พวกมันรู้ตัวก่อน
ทัตเรียนรู้แล้วว่าแม้จะไม่สามารถขยับตัวเร็ว ๆ ในขณะร่ายเวท แต่ถ้าทำอย่างระมัดระวังก็สามารถคงรูปของลูกไฟให้คงที่ในขณะเคลื่อนไหวได้อยู่ หนนี้เขาจึงทดลองร่ายเวทในมุมอับของผึ้งยักษ์ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด จากนั้นค่อยเดินออกมาแล้วยิงเวทใส่พวกมันทีหลัง
คราวนี้แหล่ะ! ไอ้ผึ้งเวร!!!
ทัตเพ่งสมาธิไปที่ผึ้งตัวที่ใกล้ที่สุดแล้วจัดการยิงเวทไฟใส่มันจากระยะที่ไกลเกือบสิบเมตร ถ้าเป็นระยะนี้พวกมันสามารถหลบได้ง่าย ๆ เลย แต่ในกรณีที่พวกมันถูกลอบโจมตีอย่างนี้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน กว่าจะรู้ตัวมันก็ช้าไปเสียแล้ว
ซุ่ม!!!!
เจ้าผึ้งเลเวล 5 ถึงถูกเวทยิงธาตุไฟของทัตเข้าเต็ม ๆ จนกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
“เยี่ยม!”
ทัตกำหมัดดีใจ แต่ดีใจฉลองชัยได้ไม่นานพวกผึ้งยักษ์ที่เหลือมันก็รู้ตัว ทั้งที่ผึ้งตัวที่ทัตยิงไฟใส่ยังไม่ตายสนิทดี
ทัตเองก็คิดไว้แล้วว่าจังหวะโจมตีของพวกมันจะต้องต่อเนื่องเอามาก ๆ และคงอาศัยจำนวนที่มากกว่ากรูกันเข้ามาโจมตีอีกแน่นอนในทันทีที่รู้ตัวว่ามีตัวใดตัวหนึ่งถูกจัดการ
ทัตจึงถีบพื้นออกจากมุมบันได อาศัยจังหวะที่พวกผึ้งยังทิ้งระยะห่างกันอยู่เข้าหาตัวที่อยู่ถัดจากตัวที่เพิ่งถูกไฟเผาจนลงไปนอนกับพื้น
ตู้ม!!!
“ว้าว!”
ทัตถีบพื้นด้วยความเร็วที่น่าทึ่งยิ่งกว่านักกรีฑา ความเร็วในการออกตัวนั้นยังกับจรวดอย่างไรอย่างนั้นเลย พิมเองก็ตะลึงจนถึงขนาดกดเสียงที่เกิดจากความประหลาดใจไว้ไม่อยู่
เขาใช้เวลาเพียงแค่ 2 วินาทีเท่านั้นในการร่นระยะห่างสิบเมตรเข้าหาผึ้งยักษ์ที่เป็นเป้าต่อไป
เจ้าผึ้งรู้ตัวแล้วว่าตัวเองถูกเล็งเป็นเป้า มันจึงพยายามลดความเร็วลงแต่สายไปเสียแล้ว
“โอ้ว!!!!”
ทัตย่นระยะเข้ามาจนประชิด แล้วใช้หมัดขวาตรงอัดเข้าใส่กลางร่างของเจ้าผึ้งยักษ์เต็มแรงด้วยสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Fighter) LV-1’ จนร่างของมันสั่นสะเทือน
หน้าสั่นไปดิ!
แต่ยังไม่จบเท่านี้หรอกโว้ย!!!
แม้จะสร้างความเสียหายได้มาก แต่มันก็ยังไม่ยอมล้มตกลงไปกระแทกพื้น
ทัตจึงกระหน่ำรัวหมัดชกเข้าใส่กลางตัวของมัน สลับกับหัวของเจ้าผึ้งไปอีกหลายต่อหลายทีอย่างต่อเนื่อง เสียงกระทบระหว่างหมัดของทัตกับผึ้งยักษ์ราวกับเขากำลังตีกลองชุดยังไงอย่างงั้น
“ย้ากกก!!!”
ปิดท้ายด้วยหมัดตรงเข้าใส่หัวของเจ้าผึ้งสุดแรงเกิด จนหัวของมันหลุดกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงห้องที่อยู่ใกล้ ๆ เลยทีเดียว
ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 5’ แล้ว
ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 2 แต้ม
มี ‘แต้มเลเวล’ ที่ยังไม่ได้อัพ 2 แต้ม
แถมดูเหมือนจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าผึ้งตัวที่ทัตจัดการยิงด้วยเวทไฟตายพอดิบพอดี ค่าประสบการณ์จากการสังหารผึ้งยักษ์ไปสองตัวทำให้ทัตเลื่อนเลเวลขึ้นสองระดับในหนเดียว
…และแน่นอนว่ามันยังไม่จบแค่นี้แน่
เอาล่ะ!
ถึงเวลาโต้กลับแล้ว!!!
❖❖❖❖❖