หลังจากส่งน้องสาวจากหน้าห้องของตัวเองไป ทัตก็กลับเข้าห้องและตั้งใจจะทำสิ่งที่ค้างคาไว้ต่อ นั่นคือการเตรียมตัวสำหรับศึกในวันนี้
แต่ข่าวร้ายก็คือจิตใจของเขารู้สึกกระวนกระวายจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยหลังจากที่ฝ้ายมาเยี่ยม
ทั้งความอึดอัด ความรู้สึกผิดหรือแม้กระทั่งน้อยเนื้อต่ำใจกรูกันเข้ามาสุมในอกจนแน่นทำเอาหายใจลำบาก ทัตเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากทิ้งแผ่นหลังตัวเองนอนลงกับเตียงหงายหน้ามองเพดาน ตาของเขาไม่ได้โฟกัสสิ่งใดเพราะกำลังจมปลักกับความคิดของตัวเอง
ให้ตายสิ… เรานี่มันแย่จริง ๆ เลย
ก็รู้อยู่แล้วแท้ ๆ ว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้พ่อกับแม่ รวมถึงฝ้ายเป็นห่วง
ทัตคิดแล้วก็ยกมือขวาขึ้นก่ายหน้าผาก เขาทำไปเองโดยอัตโนมัติและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำแบบนั้น
ทั้งที่ในสักวันหนึ่ง… ยังไงคนเป็นลูกก็ต้องออกจากบ้านไปสร้างครอบครัวกันทุกคนแท้ ๆ
มันควรจะเป็นเรื่องปกติที่ฉันไม่ควรจะรู้สึกผิดไม่ใช่เหรอ?
ทัตตั้งคำถามกับตัวเอง พยายามสาวหาต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ แต่การทำแบบนั้นมันไม่ง่ายสำหรับเขาที่ไม่ยอมเผชิญกับความรู้สึกของตัวเอง
ไม่ใช่สิ… ที่จริงมันก็ไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้น หากแค่เขายอมรับความรู้สึกไม่พอใจที่กักเก็บอยู่ในอกของตัวเองและเผยมันออกมา เพียงแค่นั้นเขาก็คงไม่มีอะไรคาใจและสามารถออกมาจากบ้านได้อย่างไม่รู้สึกผิดหากมันเป็นความต้องการที่แท้จริงของเขา
…และใช่ ที่ทัตยังรู้สึกคาใจ รวมถึงรู้สึกอึดอัดทั้งที่ออกมาจากบ้านที่เขาไม่อยากจะอยู่แล้ว มันอาจเป็นเพราะนี่ไม่ใช่ความต้องการจริง ๆ ของเขาก็ได้
ก๊อก ๆ!
ระหว่างที่ทัตกำลังจมดิ่งไปกับความคิดของตัวเอง ในตอนนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา
ทัตเองก็ไม่คิดหรอกว่าจะเป็นคนอื่นไปได้นอกจากพิมที่วันนี้นัดกันไว้เหมือนเคยว่าจะเตรียมตัวเก็บเลเวลจากการฆ่าพวกมอนสเตอร์ แต่มันก็เป็นมารยาทที่ควรจะไปรับถึงหน้าห้อง อย่างน้อยสำหรับทัตเขาก็คิดแบบนั้น
เขาจึงชันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงทันที พยายามสลับความคิดต่าง ๆ ออกจากหัวก่อนจะจ้ำอ้าวไปเปิดประตูให้พิม
“ไง?” พอเปิดประตูออกไป ก็เจอพิมในชุดนักเรียนอย่างที่ทัตคาดเลยไม่ทำให้เขาแปลกใจเท่าไหร่
แต่มีสองอย่างที่ทำให้เขาสงสัย
อย่างแรกก็คือสีหน้าท่าทางของเธอที่ดูกังวลอะไรบางอย่างอยู่ เหงื่อที่ผุดบนใบหน้ากับรอยยิ้มแห้ง ๆ ของเธอแทนที่จะเป็นสดใสตามปกติคือสิ่งยืนยันในเรื่องนั้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ทัตเอ่ยถาม เพราะเดาไปก็คงไม่ถูก
และดูเหมือนเรื่องที่เธอกังวลจะเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง เธอถึงได้ลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“…ก็ฉันโดนน้องฝ้ายเจอตัวมาน่ะสิ” พิมพูดแล้วก็ถอนหายใจ น้ำเสียงตอนตอบดูกังวลไม่ต่างจากสีหน้าของเธอเลย
“หืม? แล้วมันมีปัญหาอะไรล่ะ?” ทัตเอียงคอด้วยความสงสัย เพราะไม่เข้าใจว่ามันเป็นปัญหายังไง พิมเองก็แหงนตามองทัตด้วยความรู้สึกผิดในจังหวะเดียวกัน
“ก็แหม… ถ้าน้องเขารู้ว่าฉันมาหานายแล้วรู้ไปถึงพ่อกับแม่ของนาย นายจะไม่ลำบากเอาทีหลังเหรอ?”
“อ๋อ… เรื่องนั้นหรอกเหรอ” พอได้ยินแล้วทัตก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นพิเศษเพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่
“พ่อกับแม่ฉันไม่ว่าอะไรหรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วง” ทัตฉีกยิ้มเล็กน้อยปลอบใจพิม แต่เธอก็ยังมองมาทางทัตอย่างไม่แน่ใจอยู่ ด้วยสายตาออดอ้อนเล็กน้อย
“จริงเหรอ?”
“ก็จริงสิ”
พิมถึงเอ่ยถามย้ำอีกรอบ แต่ทัตก็ยังยืนยันคำเดิมว่ามันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลำบากเลย แต่ทัตก็อายเกินกว่าจะบอกว่า ‘ดีด้วยซ้ำที่เธอมาหา’
“เฮ้อ… อย่างนี้ที่ฉันเป็นกังวลก็เหมือนเป็นคนบ้าไปเลยสิเนี่ย” พิมถอนหายใจเสียยาวเหยียดก่อนจะพูดแบบนั้นออกมา แต่ทัตที่เห็นแบบนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเธอเป็นอย่างที่สบประมาทตัวเธอเองเลย
“เรื่องนั้นไม่จริงหรอกน่า… เพราะเป็นห่วงฉันก็เลยกังวลไม่ใช่เหรอ? ขอบใจนะ” ทัตถึงยิ้มให้พิมอีกรอบ เขาต้องการบอกให้เธอรู้ว่าเขารู้สึกดีใจมากกว่าลำบากใจที่เธอคำนึงถึงเขาจนเป็นกังวลขนาดนั้น
“โถ่… อย่าพูดอย่างนั้นสิ” แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการแสดงออกมากเกินไปหน่อย… พิมถึงเริ่มบิดตัวอย่างเอียงอายแทนแล้ว
เพราะสำหรับเธอ มันคงไม่มีอะไรน่าดีใจไปกว่าการได้รู้ว่าความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยของตัวเองส่งไปถึงทัตอีกแล้ว ทางทัตพอรู้ว่าตัวเองพูดอะไรน่าอายออกมาก็เริ่มจะหน้าแดงตามพิมไปเหมือนเดิม
เขาเลยพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง… ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นถึงสิ่งที่ทำให้ทัตคิดว่าพิมน่าสงสัยเป็นอย่างที่สองเข้า
นั่นคือแถว ๆ หน้าประตู นอกจากพิมแล้วยังมีสิ่งอื่นวางอยู่หน้าห้องของเขาด้วย มันเป็นกล่องสองใบที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก อย่างน้อยก็มีขนาดพอเหมาะที่เด็กผู้หญิงจะแบกขึ้นมาบนชั้นสามได้ด้วยตัวคนเดียวแบบสบาย ๆ
แต่คำถามก็คือ มันเป็นกล่องที่มีไว้ใส่อะไร? ทัตสังเกตกล่องนั้นอีกรอบ พบว่ามีแผ่นกระดาษแปะอยู่บนกล่องทั้งสองจึงเดาได้ว่าน่าจะเป็นพัสดุ
“นั่นอะไรน่ะ?” ทัตเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจพร้อมกับชี้ไปที่กล่องเจ้าปัญหาที่วางอยู่บนพื้น
“อ๋อ… พอดีสั่งของมานิดหน่อยน่ะ”
“แล้วสั่งมาส่งที่หอฉันเนี่ยนะ…” ทัตขมวดคิ้วถาม แต่พิมไม่ได้ตอบกลับอะไรมานอกจากหัวเราะกลบเกลื่อน
ให้ตายสิ… ทัตบ่นอุบแบบนั้น แต่ก็ยังเดินไปแบกพัสดุนั่นให้
สุดท้ายหลังจากที่ใช้เวลาคุยกันอยู่หน้าห้องเสียนาน ก็ได้เวลาเข้ามาในห้องเสียที
แล้วพอทั้งสองคนเข้ามาในห้อง อย่างแรกที่พิมขอจากทัตไม่ใช่เครื่องดื่มดับกระหายหรือที่นั่งพักเหนื่อย แต่เป็นคัตเตอร์ใช้ตัดกล่อง
พลังล้นเหลือจริง ๆ แฮะ… ทัตแอบคิดแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่แกะกล่องให้พิมเองอยู่ดี
ในระหว่างที่รับคำขอบคุณจากเธอไปด้วยและแกะกล่องยาวสุดก่อน ทัตก็ต้องตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
เดี๋ยวนะ…
ตอนแรกที่เห็นแค่ด้ามจับจากตอนที่แกะกล่องได้เพียงครึ่งเดียวก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่พอเปิดกล่องเสร็จแล้วหยิบมันออกมาถือในมือทัตก็รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา
เพราะดูยังไงมันก็คือดาบญี่ปุ่นหรือคาตานะชัด ๆ ปลอกดาบเป็นสีดำลายดอกซากุระสีชมพูสลับแดงดูเป็นเอกลักษณ์และประณีตมาก แถมน้ำหนักของมันก็ไม่ใช่เล่น ๆ และคิดว่าคงมากเกินไปถ้าจะเป็นแค่ของเล่นด้วย
ทัตถึงชักดาบออกจากฝักเพื่อความแน่ใจ… และใช่ มันเป็นดาบคาตานะของจริงไม่ผิดแน่
“นี่เธอ…”
“ก็แหม! เห็นเรื่องเมื่อวานแล้ว ยังไงมันก็ต้องมีของป้องกันตัวไว้บ้างไม่ใช่เหรอ!?”
ทัตยังไม่ทันถามอะไรพิมเธอก็ดันตอบออกมาก่อนอย่างร้อนรน (และร้อนตัว)
และถึงแม้คำตอบของเธอจะอยู่ในการคาดเดาของทัตอยู่แล้วก็ตาม แต่พอรู้ว่ากล่องแรกมีอะไรแล้ว ทัตก็ยิ่งอยากจะรู้เข้าไปอีกว่ากล่องที่สองที่มีน้ำหนักมากกว่าจะมีอะไรรออยู่ ทัตถึงได้รีบชักดาบกลับเข้าฝักก่อนวางมันลง แล้วขยับก้นไปให้ความสนใจกับการเปิดอีกกล่องแทน
แล้วข้างในก็มีของน่าทึ่งมากกว่ากล่องแรกอีก…
ถุงมือสนับเหล็กหนึ่งคู่… สนับศอกและเข่าอย่างละสองคู่… รองเท้าผ้าใบ… ถุงมือครึ่งนิ้ว…
แล้วก็ยังมีชุดเครื่องมืออเนกประสงค์อีกพอสมควร… แล้วยังมีไนท์วิชั่นอีก
ไอ้ของโคตรสุดยอดพวกนี้มันอะไรกันเนี่ย!?
ทัตเห็นของข้างในก็เหงื่อตกขึ้นมา
ไอ้เรื่องที่ว่าของพวกนี้อาจจะมีประโยชน์ในการเอาตัวรอดมันก็อาจจะจริง แต่ประเด็นหลักที่ทำให้ทัตรู้สึกฉงนน่าจะเป็นมูลค่าของพวกมันต่างหาก
“ถามได้ป่ะว่าหมดนี่ราคาเท่าไหร่” ทัตถามออกมาอย่างเกรง ๆ พร้อมกับชี้ไปที่กล่องเจ้าปัญหา
ส่วนพิมที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงของทัตกอดอกหลับตาคิดสักพักถึงจะได้คำตอบ
“ประมาณหมื่นกว่า ๆ น่ะ”
“…บาทเหรอ?”
“ดอลล่าร์ค่ะ”
“…”
กับพิมที่ตอบกลับมาแบบนั้นด้วยท่าทางสบาย ๆ ทำให้ทัตพูดอะไรไม่ออกไปสักพักเหมือนสมองหยุดประมวลผลไปแวบนึง ในจังหวะนั้นพิมยังถามกลับมาอีกว่า “ทำไมเหรอ?” ยิ่งทำให้ทัตใบ้รับประทานนานเข้าไปอีก
พวกคนรวยนี่จริง ๆ เลย
ทัตกุมขมับแต่พิมไม่รู้ว่าเพราะอะไร เนื่องจากสำหรับเธอเงินที่เสียไปคงไม่ใช่ก้อนใหญ่อะไรขนาดนั้น
“ทำไมอ่ะ?” พิมเอียงคอสงสัยอย่างน่ารักน่าชังและใสซื่อบริสุทธิ์… ดูเหมือนการประเมินคุณค่าเงินตราของพิมจะแตกต่างจากชาวบ้านอยู่พอสมควร และถึงทัตจะเห็นมาหลายครั้งแล้วแต่แน่นอนว่าเขาไม่เคยชินเลย
“ก็มันแพงน่ะเซ่! ยังจะมาถามอีก” เพราะคิดว่าต้องทำให้เข้าใจไม่งั้นเดี๋ยวค่านิยมจะแปลกแยกไปจากชาวบ้านเกินไป ทัตก็เลยต้องพูดสิ่งที่ควรพูด แต่ว่า…
“เอ๋? ถึงจะแพง แต่ถ้ามันทำให้รอดชีวิตได้ก็คุ้มไม่ใช่เหรอ?”
“…มันก็ใช่อยู่หรอก” สิ่งที่พิมพูดเป็นสิ่งที่ทัตไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เขาก็ไม่ได้พยักหน้ารับอยู่ดีเพราะไม่อยากให้พิมฟุ่มเฟือย
ทางพิมพอได้ยินทัตเถียงไม่ออกเธอเลยยิ่งเผยยิ้มได้ใจเข้าไปใหญ่
“ใช่มะ? ถึงมัวแต่งกเก็บเงินเอาไว้ แต่ถ้าตายซะก่อนมันก็ไม่ได้ใช้เงินที่เก็บไว้หรอกเนาะ!”
พิมว่าแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนตั้งแต่แรกเธอจะมั่นใจอยู่แล้วว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ใช่ว่าทัตจะบอกว่าสิ่งที่เธอทำมันผิดหรอก เขาก็แค่เตือนพิมตามสมควรเท่านั้นเอง
รวมถึงเรื่องที่พิมซื้ออุปกรณ์มาสองคู่ก็ด้วย
“แต่ที่จริงก็ไม่เห็นต้องซื้อเผื่อของฉันเลยนะ… มันเปลืองออก”
ทัตถึงได้พูดเรื่องที่คิดออกไปตรง ๆ เพราะไม่งั้นขืนคาใจต่อไปก็คงจะรู้สึกผิดทีหลังแน่ ๆ
ทางพิมได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนกับแปลกใจ แต่แล้วก็กลับยิ้มออกมาเสียอย่างนั้นด้วยความยียวนหวังหยอกแกล้งเหมือนอย่างเคย ก่อนที่จะเอ่ยปาก
“เห… แล้วทำไมถึงคิดว่านั่นเป็นของที่ฉันซื้อมาให้นายกันล่ะ?” พิมฝังศอกทั้งสองข้างลงที่ต้นขาตัวเองตอนที่นั่งอยู่ขอบเตียง
“พ่อคนหลงตัวเอง” ตามด้วยการนั่งเท้าคางมองยิ้มกรุ้มกริ่มไปทางทัตที่นั่งแกะกล่องอยู่ตรงพื้น
ถึงสิ่งที่พิมพูดจะเป็นแค่การแกล้งหยอก เพราะทั้งคู่ต่างก็รู้อยู่แล้วว่าอุปกรณ์สองชุดมันเป็นของสำหรับทัตกับพิม แต่พอถูกพิมหยอกแบบนั้นเข้าทัตเองก็อดอายไม่ได้ คงมีแค่การหยอกเย้าของพิมนี่แหล่ะที่ไม่ว่าจะยังไงทัตก็รับมือไม่ถูก
“งั้นฉันไม่เอาก็ได้” และเมื่อรับมือไม่ได้ ก็เลยเล่นลูกแง่งอนใส่ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“โถ่ ๆ! เค้าหยอกเล่นเฉย ๆ เอง อย่าโกรธเลยน้า!”
พิมว่าแบบนั้นด้วยรอยยิ้มพออกพอใจในฐานะผู้ชนะ แถมยังลุกมาลูบหัวทัตเล่นเป็นเด็ก ๆ อีก และถึงทัตจะทำท่าทางไม่พอใจแต่เพราะเขาไม่ได้รังเกียจก็เลยไม่ได้ปฏิเสธออกไปว่าไม่ชอบให้ทำแบบนี้
อย่างไรก็ดี… ไม่รู้ว่าเธอชอบการลูบหัวทัตอะไรนักหนาถึงได้ไม่หยุดมือเสียที ทัตก็เลยจับมือเธอแล้วก็ผละออกไป ไม่งั้นเธอคงไม่ยอมหยุดแน่ ๆ
“แล้วนี่… ที่ซื้อดาบมาอย่างนี้แสดงว่าอยากเป็น ‘Knight’ เหรอ?” บวกกับการเปลี่ยนเรื่องไปยังงานหลักของวันนี้ พิมก็เลยกลับมาจริงจังได้เสียที
“ก็แหม… อย่างฉันคงไม่เหมาะไปต่อยตีแบบนายหรอก แล้วถ้าจะพูดถึงเรื่องแฟนตาซี ๆ แบบนี้ อาวุธที่เหมาะ ๆ มันก็มีแต่ดาบไม่ใช่เหรอ?” ได้ยินคำตอบอันสุดแสนจะร่าเริงของพิมที่กลับไปนั่งขอบเตียงเหมือนเดิมทำให้ทัตเหวอไปแปปนึง
เอาอนิเมกับการ์ตูนมาปนกับชีวิตจริงเฉยเลยนะเธอเนี่ย… ทัตอยากจะพูดแบบนั้น แต่ก็กลืนลงคอไปก่อน เพราะอย่างไรเสียโดยภาพรวมแล้ว ทัตคิดว่าอาชีพ 5 คลาสแรกนั้นเป็นอาชีพสายต่อสู้แท้ แถมถ้ามีความเชี่ยวชาญของคลาสเท่ากัน การต่อสู้ระหว่างคนที่มีอาชีพ 5 คลาสนี้ก็น่าจะสูสีกัน
กล่าวคือ ไม่ว่าจะเลือกคลาสไหนก็แข็งแกร่งพอ ๆ กันทั้ง 5 คลาส ดังนั้น การเลือกคลาสที่ตัวเองชอบและสะดวกใจยังไงก็คงดีกับตัวเองมากกว่า
ส่วนประเด็นที่ว่า ‘ทำไมพิมถึงพูดราวกับว่าตัวเองได้พลังแบบเดียวกับทัตแล้ว’ นั้น…
ความจริงก็คือ หลังจากทัตกับพิมโค่นราชินีผึ้งได้สำเร็จเมื่อคืนวาน ในจังหวะที่ร่างของมันสลายกลายเป็นธุลีสีทองเปล่งแสงเหมือนกับมอนสเตอร์ตัวอื่น ๆ สิ่งที่เหลืออยู่ก็คืออัญมณีสีมรกตทรงหกเหลี่ยม ซึ่งเป็นอันเดียวกันกับที่ทำให้ทัตได้รับพลังและเกิด ‘การตื่น’ ขึ้นมาไม่มีผิด
และเพราะทัตได้คุยกันก่อนหน้านี้แล้วว่าจะยอมรับให้พิมสู้ร่วมกัน พอได้เจอกับของชิ้นนี้ก็เลยไม่อาจปฏิเสธให้พิมเข้าร่วมได้ นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่พิมเองก็เกิด ‘การตื่น’ แล้วเหมือนกัน
ที่จริงตอนนี้ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าความหมายของประเภทมอนสเตอร์แต่ละอย่างคืออะไร
สำหรับที่เคยเจอมามากที่สุดอย่าง ‘Common’ น่าจะหมายถึงมอนสเตอร์ธรรมดาทั่วไป
แต่สำหรับไอ้ราชินีผึ้งเวรที่เราฆ่าไปเมื่อวานมันต่างออกไป…
ประเภทของมันมีทั้ง ‘Boss’ และ ‘Ticket’
ซึ่ง ‘Boss’ เนี่ย… ดูยังไงก็น่าจะหมายถึงมอนสเตอร์ที่เป็นหัวหน้า จ่าฝูงหรือตัวที่แข็งแกร่งกว่าตัวทั่วไปนี่แหล่ะ อย่างตัวราชินีผึ้งนี่ก็คงหมายถึงตัวหัวหน้าของพวกผึ้งยักษ์สมชื่ออยู่แล้วล่ะ
แต่ประเด็นก็คือประเภท ‘Ticket’ นี่แหล่ะที่ไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไง
ถ้าแปลตรงตัวก็คือ ‘ตั๋ว’ สินะ… ก็ถ้าจะให้เดา มอนสเตอร์ประเภทนี้น่าจะเป็นตัวที่ดรอปอัญมณีสีเขียวที่มีพลังทำให้คนเราเกิด ‘การตื่น’ ได้ล่ะมั้ง
แต่เรื่องนั้นก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่… เพราะราชินีผึ้งมันก็เป็นบอสด้วยเหมือนกัน
กล่าวคือ ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วอัญมณีสีเขียวจะดรอปจากมอนสเตอร์ที่เป็นบอสหรือมอนสเตอร์ที่เป็นตั๋วกันแน่
แต่เรื่องนั้นกว่าจะพิสูจน์ได้จริง ๆ ก็คงต้องรอให้เจอมอนเสตอร์ที่มีประเภทเดียว ไม่ ‘Boss’ ก็ ‘Ticket’ ก่อนล่ะนะถึงจะพิสูจน์ได้
อ้อ… แล้วก็มีอีกอย่างที่ได้รับมาตอนโค่นไอ้ราชินีผึ้งได้ล่ะนะ
ทัตนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงเปิดหน้าต่างข้อมูลของตัวเองขึ้นมาเพื่อตรวจสอบบางอย่าง
ทัตเทพ ไกรธนเดช (LV-19)
Fighter LV-7 , Mage LV-7 , Supporter LV-5
ฉายา : ‘Bee Slayer’
สเตตัสพื้นฐาน :
ความสามารถทางกาย: 21 (19+2)
ความเชี่ยวชาญคลาส Fighter : 9 (7+2)
ความเชี่ยวชาญคลาส Mage: 9 (7+2)
ความเชี่ยวชาญคลาส Supporter : 7 (5+2)
สกิล :
Fighter : ทักษะจู่โจม LV-1 , ทักษะตั้งรับ LV-1 , ศิลปะการป้องกันตัว LV-1 , เสริมพลังกายLV-1
Mage (ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า น้ำแข็ง แสง) : เวทยิง LV-1 , เวทเกราะ LV-1 , ผสานเวท LV-1 , เสริมพลังเวท LV-1
Supporter : วิเคราะห์ LV-1 , พรางกาย LV-1 , ช่องเก็บของมิติ LV-1
อันดับแรกก็สิ่งที่เรียกว่า ‘ฉายา’ ที่ได้รับมาหลังจากโค่นบอสราชินีผึ้งลงได้ (ตามคำอธิบายน่ะนะ)
ผลลัพธ์ของมันคือการเพิ่มสเตตัสพื้นฐานทุกอย่างขึ้นอย่างละ 2 แต้ม
ตอนแรกก็คิดไว้ว่าถ้าเจอบอสอีกจะหนีอยู่หรอก… ก็มันโคตรจะอันตรายเลยนี่นา ขนาดแค่ผึ้งยังใช้เวทได้รุนแรงถึงตายในทีเดียวแบบนี้ ไม่อยากจะนึกเลยว่าพวกมังกรกับไซคลอปส์มันจะทำอะไรได้บ้าง
แต่พอรู้ว่ามันจะทำให้สเตตัสพื้นฐานเพิ่มขึ้นแบบนี้ ยังไม่นับเรื่องที่ให้ค่าประสบการณ์โคตรเยอะอีก เห็นทีถ้าได้เจอก็คงต้องจัดซะหน่อย (แต่แน่นอนว่าต้องดูเป็นตัว ๆ ไป)
ส่วนลำดับถัดไปก็คือสกิลที่ได้รับจากการอัพเลเวล
สำหรับคลาส ‘Fighter’ สกิลใหม่ที่ได้มาคือ ‘เสริมพลังกาย LV-1’ นี่แหล่ะ
สามสกิลแรกของคลาสนี้เป็นสกิลติดตัวหมดเลย เพิ่งมีสกิลนี้นี่แหล่ะที่เป็นสกิลใช้งานอย่างเวทยิงหรือเวทเกราะ
ส่วนความสามารถของสกิลนี้ก็คือ เพิ่มสเตตัส ‘ความสามารถทางกาย’ และ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Fighter’ ของตัวเองขึ้น 50% เป็นเวลา 30 วินาที และเมื่อครบกำหนดเวลาแล้วจะต้องรออีก 10 นาทีถึงจะสามารถใช้สกิลนี้ได้อีกครั้ง
มองดูแล้วถือว่าเป็นสกิลที่ดีมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กำลังจะปิดฉากหรือต้องการจะจบศึกโดยเร็ว สกิลนี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกครึ่งหนึ่งในเวลาอันสั้น
ดังนั้น นี่ถือว่าเป็นสกิลที่มีประโยชน์มาก
ต่อไปก็เป็นสกิลของคลาส ‘Mage’ เริ่มจากเวทมนตร์ใหม่ที่ปลดล็อคแล้ว คือธาตุน้ำแข็งกับแสง
เริ่มจากธาตุน้ำแข็งที่มีความรุนแรงในการกระแทกใกล้เคียงกับธาตุดินเพราะคุณสมบัติเป็นของแข็ง แต่จะมีคุณสมบัติทำให้ชะงักหรือช้าลง รวมถึงมีอาการชาจากความเย็นได้ด้วย
ส่วนทางแสงเนี่ย ฟังดูชื่อเหมือนจะเป็นธาตุเจ๋ง ๆ อย่างในเกม… แต่สำหรับความเป็นจริงแล้วมันทำได้แค่สร้างแสงสว่างจ้าเหมือนกับระเบิดแฟลช กับบรรเทาความเจ็บปวดและชะลอการสลายตัวของเซลล์ (แต่ไม่ได้รักษาบาดแผล)
ดังนั้น เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่ใช่ธาตุที่จะเอาไว้ใช้โจมตี น่าจะเอาไว้ใช้สนับสนุนมากกว่า… แต่ถึงจะบอกว่าทำได้แค่ไม่กี่อย่าง แต่ฉันสนใจเรื่องที่มันสามารถช่วยชะลอแผลและอาการบาดเจ็บไม่ให้รุนแรงไปกว่าที่เป็นอยู่ได้นี่แหล่ะ เพราะมันหมายความว่า ต่อให้แขนขาดแต่ถ้าใช้เวทแสงก็จะสามารถหยุดเลือดไม่ให้ไหลจนหมดตัวได้ยังไงล่ะ!
ต่อไปก็เป็นสกิลใหม่ของจอมเวท… เริ่มจาก ‘ผสานเวท LV-1’ อันนี้เป็นสกิลติดตัว ที่จะช่วยให้สามารถผสมผสานธาตุต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อประยุกต์และสร้างความเสียหายได้มากกว่าปกติ
เรื่องนั้นก็เจ๋งดีอยู่หรอก แต่เรื่องที่เจ๋งกว่าก็คือสกิลนี้จะทำให้ฉันสามารถร่ายเวทพร้อมกันได้ด้วยนี่แหล่ะ!
ณ เลเวลปัจจุบันของสกิลนี้ทำให้ฉันสามารถร่ายเวทพร้อมกันได้แค่ 2 อย่าง แต่ในความเป็นจริงแค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้ว เพราะมันจะทำให้การร่ายเวทดูมีความต่อเนื่องมากกว่าการร่ายได้ทีละอย่างแบบก่อนหน้านี้
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ฉันเริ่มร่ายเวทยิงไฟ หลังจากนั้นพอผ่านไป 2.5 วินาที ก็ร่ายเวทยิงไฟอันที่สอง แล้วพอถึงวินาทีที่ 5 ก็ยิงไฟลูกแรกที่ชาร์จเสร็จแล้ว ก่อนจะเริ่มร่ายเวทยิงไฟใหม่อีกครั้ง พอวินาทีที่ 7.5 ก็สามารถยิงเวทไฟอันที่สองแล้วเริ่มร่าย
เป็นอย่างนี้วนไปเรื่อย ๆ… ก็จะกลายเป็นว่าฉันสามารถยิงเวทไฟได้ทุก ๆ 2.5 วินาที เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ต้องใช้เวลา 5 วินาทีกว่าจะยิงได้ทีละลูก
เพราะงั้น ถ้ากะจังหวะใช้ดี ๆ นี่ก็เป็นอีกสกิลหนึ่งที่มีประโยชน์มาก ๆ
สกิลใหม่อันต่อไปของจอมเวทก็คือ ‘เสริมพลังเวท LV-1’
ซึ่งผลลัพธ์มันก็คล้าย ๆ กับ ‘เสริมพลังกาย LV-1’ เลย เพียงแต่ไม่ได้เพิ่มสเตตัสแต่เป็นการเพิ่มความเสียหายหรือพลังป้องกันของเวทมนตร์ รวมถึงความเชี่ยวชาญคลาส Mage ขึ้น 50% เป็นเวลา 30 วินาที และมีคูลดาวน์สกิลอยู่ที่ 10 นาทีเหมือนกันเดะ
ด้วยเหตุนั้น สกิลนี้เองก็มีประโยชน์เหมือนกัน
ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามาคือสกิลใหม่ของคลาสสายต่อสู้ ทั้งที่เป็นสายต่อสู้หลักอย่างนักสู้และสายต่อสู้รองอย่างนักเวท (ที่อ่อนกว่าเพราะช้าในการร่ายเวท) นอกจากนี้ก็เป็นพวกสกิลของคลาส ‘Supporter’ ที่สกิลส่วนใหญ่เป็นสกิลสายสนับสนุนสมชื่อ
เริ่มจาก ‘พรางกาย LV-1’ ที่สามารถใช้งานกับตัวเองและคนอื่นได้ โดยผลของมันคือจะทำให้มอนสเตอร์และมนุษย์ทุกคนมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่นได้ตลอดเวลา แต่จะใช้ไม่ได้ผลกับคนร่ายด้วยกันเอง คือถ้าฉันใช้สกิลนี้กับพิม พิมกับฉันก็จะมองเห็นและได้ยินกันและกันแต่คนอื่นรวมถึงมอนสเตอร์จะรับรู้ไม่ได้นั่นเอง
สกิลนี้จะถูกยกเลิกก็ต่อเมื่อสัมผัสถูกตัวมอนสเตอร์หรือมนุษย์คนอื่นที่ไม่ได้ใช้สกิลนี้อยู่ หรือยกเลิกสกิลนี้ด้วยเจตจำนงของตัวเองเท่านั้น หากสกิลถูกยกเลิกไปแล้วจะใช้สกิลกับคนที่ถูกยกเลิกไม่ได้ไปอีก 10 นาที นับเป็นคูลดาวน์สกิลกราย ๆ นั่นแหล่ะ
แล้วสุดท้ายก็คือสกิล ‘ช่องเก็บของมิติ LV-1’ ที่สามารถเก็บอะไรลงไปก็ได้เหมือนกับไอเทมบ๊อกซ์ในเกม แล้วก็สามารถเรียกออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ แถมของที่ถูกเก็บไว้ในนั้นยังถูกหยุดเวลาเอาไว้ด้วย
ข้อจำกัดมีแค่อย่างเดียว คือพื้นที่ของมิติที่ใช้เก็บของมีขนาด 1 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น
ซึ่งเอาจริงมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ… อย่างน้อยก็มากกว่ากระเป๋าสะพายที่ฉันอุตส่าห์เก็บเงินซื้อมาเยอะเลย
และเพราะแบบนั้นแหล่ะมันจึงมีประโยชน์มากเพราะไม่ต้องสะพายหลังให้เสียความคล่องตัว บวกกับของที่พิมซื้อมาในตอนนี้ ก็น่าจะใช้พื้นที่ของสกิลนี้เก็บได้เหลือเฟือเลย
“ทัต… ทัตเจ้าขา?”
“หืม?”
ดูเหมือนทัตจะใช้เวลาไปกับการคิดทบทวนตัวเองนานไปเสียหน่อย นานถึงขนาดที่ว่าพิมแกะกล่องของทั้งหมดออกมาวางเรียงพร้อมกับตรวจสอบความถูกต้องว่ามีอะไรเสียหายและใช้งานได้ไหมครบจนหมดทุกชิ้นแล้วนั่นแหล่ะ
“โทษที ๆ เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” ทัตที่กลับออกมาจากความคิดของตัวเองแล้วเริ่มถามถึงสิ่งที่ตัวเองพลาดไป
ทางพิมได้ยินแบบนั้นก็บ่นอุบประมาณว่า “ไม่ได้ฟังจริง ๆ สินะเนี่ย” ก่อนจะทำแก้มป่องแล้วค่อยเริ่มพูดกับทัตใหม่อีกครั้ง
“ฉันกำลังถามว่านายมีคำแนะนำอะไรไหมในการอัพเลเวลน่ะสิ”
พิมว่าแบบนั้นจบแล้วก็เดินมานั่งข้าง ๆ ทัต แถมยังเบียดเข้ามาจนชิดเขาอีกรอบเหมือนกับตอนที่เธออยากจะดูหน้าต่างข้อมูลของทัตเมื่อวานไม่มีผิด หากแต่รอบนี้สถานการณ์มันกลับกัน เพราะเป็นพิมเองนั่นแหล่ะที่เปิดหน้าต่างข้อมูลของตัวเองให้ทัตดู
ณิศรา ศิริการกุล (LV-1)
Knight LV-1
ฉายา : ‘Bee Slayer’
สเตตัสพื้นฐาน :
ความสามารถทางกาย: 3 (1+2)
ความเชี่ยวชาญคลาส Knight : 3 (1+2)
สกิล :
Knight : ทักษะจู่โจม LV-1
เนื่องจากพิมเองก็เกิด ‘การตื่น’ แล้ว ทำให้เธอเองก็มีหน้าต่างข้อมูลเป็นของตัวเองเหมือนกัน
แถมดูเหมือนหลังจากกลับบ้านไปเมื่อวานเธอจะไปอัพเลเวลของตัวเองแล้วด้วย เลเวลของคลาส ‘Knight’ ของเธอถึงได้เป็นเลเวล 1
“เธอจะถามอะไรฉันในเมื่ออัพแต้มไปแล้วนี่นา?” นั่นเลยทำให้ทัตสงสัยว่าคำถามของเธอมันหมายความว่ายังไง
“ฉันหมายถึงแบบแผนในอนาคตไง? ทีนายยังอัพเลเวลให้กับตั้ง 3 คลาสเลยไม่ใช่เหรอ?”
“อ๋อ…” ทัตพยักหน้ารับ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
อย่างไรก็ดี… ที่จริงเรื่องแบบแผนในอนาคตว่าควรวางแผนจะอัพเลเวลยังไงมันควรจะคิดด้วยตัวเอง เพราะความแข็งแกร่งในสถานการณ์นี้มันเป็นตัวตัดสินชี้ขาดความเป็นตายได้เลยจึงไม่ควรจะฝากฝังให้คนอื่นช่วยคิด แถมพิมเองก็เป็นคนฉลาดพอตัว เธอย่อมคิดได้เองอยู่แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่สมควรทำและเหมาะสม
กระนั้น เธอก็ยังถามทัตออกมาเพราะคิดว่าทัตคงให้คำแนะนำได้ดีกว่า ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเธอไว้วางใจทัตมากขนาดไหน เขาถึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ (แต่ก็เก็บยิ้มเอาไว้ไม่เผยมันออกมา)
“เธอไม่ต้องทำแบบฉันหรอก… ที่ฉันอัพหลายคลาสก็เพราะไม่รู้ว่าจะเจอศัตรูแบบไหน เลยจำเป็นต้องมีสิ่งที่ใช้รับมือได้ในหลาย ๆ สถานการณ์เผื่อไว้ก่อนน่ะ” ทัตว่าแบบนั้นแล้วก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
“แต่ในระยะยาว… คนที่จะเอาตัวรอดได้ดีที่สุด คือคนที่เลือกอัพเลเวลเพียงคลาสเดียวเท่านั้น”
ทัตกล่าวเสริมแบบนั้นจบก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย… เพราะเขาตระหนักดีว่าตัวเองเสียโอกาสที่จะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของคลาสนั้น ๆ ไปแล้ว
แต่ถึงจะเสียดายเขาก็ไม่ได้เสียใจที่ตัดสินใจแบบนี้ เพราะอย่างไรเสียการมีสกิลที่หลากหลายก็ยังเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตให้เขาได้มากอยู่ดี
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกน่า!”
“โอ้ย!”
ยังไงก็ตาม… ดูเหมือนพิมจะสังเกตเห็นท่าทางเสียดายของทัตได้แม้จะเพียงแวบเดียว เธอเลยคิดจะปลอบใจเขา แต่การตบเข้าไปที่หลังของทัตเต็มแรงแบบนั้นดูท่าจะทำให้เขารู้สึกเจ็บมากกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
“เรื่องนั้นมันไม่ทำให้นายเสียเปรียบขนาดนั้นหรอกน่า! แล้วถ้าอัพเลเวลไปเยอะ ๆ นายอาจจะใช้ท่าหมัดมังกรเพลิงหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอ!? ถ้าอัพแค่คลาสนักสู้อย่างเดียวมันทำไม่ได้ใช่ไหมล่า!”
“…เธอนี่มองโลกในแง่ดีจริง ๆ แฮะ เชื่อเลย”
ได้ยินแบบนั้นทำให้ทัตหลุดหัวเราะ… เธอพยายามจะทำให้ทัตเชื่อว่าการอัพเลเวลหลายคลาสไม่ได้มีแต่เรื่องสูญเปล่าเสมอไป
แต่พิมคงไม่รู้หรอก… ว่าในตอนที่อัพเลเวลของแต่ละคลาสขึ้นมารวมถึงการได้รับสกิลใหม่ ๆ ในแต่ละครั้ง สิ่งที่ได้รับมาด้วยก็คือ ‘ความรู้’ ว่าอะไรสามารถทำได้หรือไม่ได้บ้าง เขาถึงรู้ว่าสิ่งที่พิมพูดอย่างการเอาเวทมนตร์มาผสมผสานกับการต่อสู้แบบใช้หมัดมวยของคลาสนักสู้มันไม่สามารถทำได้จริง
“แต่ก็ ขอบใจนะ”
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ทัตก็ยังรู้สึกดีที่ได้รับการปลอบใจแม้มันจะไม่ได้เปลี่ยนความจริงอะไรก็ตาม
เขาก็ยังมอบรอยยิ้มกลับให้พิมสำหรับความปรารถนาดีของเธอ สุดท้ายยังไงเขาก็ยังรู้สึกดีใจที่มีเธออยู่ด้วยไม่ว่าจะเป็นในสถานะของผู้สนับสนุนหรือสหายร่วมรบ
แต่ว่า… ขืนเป็นแบบนี้ พิมคงจะต้องเป็นแนวหน้าแทนเราแน่ ๆ
กระนั้น… ในส่วนลึกของจิตใจทัตก็ยังตระหนักและกังวลถึงอนาคตที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะต่อให้พูดยังไง คนที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบแบบนี้ก็ยังเป็นคนที่มุ่งเน้นการอัพคลาสใดเพียงคลาสหนึ่งอยู่ดี
ทัตถึงได้รู้สึกกังวลที่อนาคตแบบนั้นกำลังใกล้เข้ามา เพราะเขาไม่อยากให้พิมต้องไปเสี่ยงอยู่คนเดียว ความกังวลนั่นคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจ
…แต่นั่นก็เป็นก่อนที่ทัตจะได้ตระหนักถึง ‘คุณสมบัติ’ ที่ตัวเองมี ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียว
ตัวทัตในตอนนี้… ยังไม่อาจหยั่งรู้ได้ถึงเรื่องนั้น
❖❖❖❖❖
ในช่วงเวลาย่ำค่ำแลขอบฟ้ายามราตรีใกล้จะมาถึง มักเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เดินทางกลับบ้านของตัวเอง แม้จะมีบางส่วนที่ยังให้ความสนใจกับการผ่อนคลายหลังเลิกเรียนหรือทำงานด้วยการไปเที่ยวในเมืองกันต่อ แต่คงจะมีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่กำลังเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ จะด้วยการตระเตรียมวัตถุดิบอาหารเช้า เข้านอนแต่หัวค่ำ หรือตรวจสอบหัวข้อและเนื้อหาที่ต้องนำเสนอในวันรุ่งขึ้นก็ตาม
…ในบรรดาคนส่วนน้อยที่กำลังเตรียมตัวเพื่ออนาคตอย่างวันพรุ่งนี้ ก็ยังมีคนจำนวนน้อยยิ่งกว่าที่กำลังเตรียมตัวสำหรับ ‘คืนนี้’
ณ ตึกร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองไม่มาก สภาพของมันผุพังไปตามกาลเวลา
มันเป็นตึกที่มีชื่อเสียงในหลายแง่ตั้งแต่ตึกที่วัยรุ่นใช้ล่าท้าผี เล่นกีฬา Extreme ผาดโผนไปจนถึงถ่ายทำละครสั้น
ทว่าช่วงหลัง ๆ… ตึกร้างแห่งนี้เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเพราะเป็น ‘ฐานลับ’ ของคนบางจำพวกที่หากเข้าไปยุ่งด้วยแล้วจะลำบากเอา หากจะใช้คำจำกัดความเรียกคนพวกนี้ก็คงไม่พ้น ‘อันธพาลครองถิ่น’ ทว่าในรายละเอียดแล้ว สถานะของพวกเขาต่างกันโดยสิ้นเชิง
“วันนี้ต้องสนุกแหงเลยว่ะ”
“เห็นว่าวันนี้วางแผนจะไปล่าบอสในป่าเลยเชียวนา”
“บอสที่เป็นหมีใช่ป่ะ? โคตรคันไม้คันมืออยากไฟว้เลยฟ่ะ!”
เด็กหนุ่มสองคนในชุดลำลองที่ดูคล่องตัวเอ่ยคุยกันในขณะที่เดินเข้าไปในตึกร้างดังกล่าว
คนหนึ่งผมดำสนิทตามธรรมชาติ แต่อีกคนโกรกผมสีทองอย่างเป็นเอกลักษณ์
พวกเขามีอีกคนตามมาติด ๆ ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ เหมือนไม่คุ้นกับสถานที่น่ากลัวแบบนี้ แถมส่วนสูงยังน้อยกว่าอีกสองคนเหมือนเป็นแค่เด็ก ม.ต้น แตกต่างจากสองคนแรกที่เป็นเด็ก ม.ปลาย จริง ๆ นอกจากนี้เด็กหนุ่มร่างเล็กยังไว้ผมสั้นดูเรียบร้อยแตกต่างจากอีกสองคนที่เดินนำเข้าไปก่อนอีก
และในส่วนของสิ่งที่พวกเขาพูด… หากฟังจากบทสนทนาก็คงเดาเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการคุยเรื่องเกมออนไลน์ แต่แน่นอนว่าสำหรับคนที่เกิด ‘การตื่น’ แล้ว ย่อมไม่เข้าใจไปทางนั้นแน่
“เอ็งนี่มันโชคดีชะมัดเลยนะไอ้หน้าใหม่”
“นั่นสิ… รู้เปล่าว่าถ้าเอาชนะมอนสเตอร์ประเภทบอสได้แล้ว มันจะทำให้ได้ฉายาด้วยน่ะ”
“แล้วฉายามันทำให้ได้สเตตัสเพิ่มด้วยนะ แถมขอแค่มีส่วนในการต่อสู้ก็ได้มาแล้ว ไม่งั้นคงต้องแย่งกันลาสแหง”
“ระ เหรอครับ…”
ทั้งสองคนพยายามตีสนิทด้วย ในขณะที่เด็กใหม่นั้นดูหวาดกลัว ซึ่งถ้ามองจากมุมมองของคนนอกที่เดินถนนผ่านไปมาก็คงคิดว่าเขากำลังถูกบังคับขู่เข็ญ และในความเป็นจริง มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นด้วย
ทั้งสามคนคุยเล่นแบบนั้นไปจนกระทั่งเดินผ่านเข้าตึก และตรงทางเข้าตึกเองก็มีอีกคนรออยู่เหมือนกัน เขาเองก็สวมชุดลำลองที่ดูคล่องตัวเหมือนกับสามคนที่เดินเข้ามา แต่มีจุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือเขาสวมปลอกแขนสีแดงสดที่สามารถสะท้อนแสงได้
แต่นั่นก็เป็นจุดเด่นเพียงชั่วครู่… ทันทีที่เด็กหนุ่มกลุ่มสามคนเดินเข้ามาในตึก สองคนที่ดูกระตือรือร้นมาตลอดก็หยิบปลอกแขนแบบเดียวกันมาสวม
“นายก็ด้วย เด็กใหม่”
“คะ ครับผม!”
พอถูกชายคนที่เฝ้าทางเข้าตึกทักด้วยเสียงเย็นชา เด็กหนุ่มร่างเล็กคนนี้ก็รีบหยิบปลอกแขนแบบเดียวกันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วสวมในตำแหน่งเดียวกันกับพวกรุ่นพี่
พอคนเฝ้าทางเข้าตึกเห็นแบบนั้นแล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจแต่ไม่ได้ยิ้มอะไรออกมาอย่างเย็นชาเหมือนเคย
“ลูกพี่กำลังวางแผนอยู่ที่ชั้นบน ทุกคนก็อยู่นั่นด้วย”
“จะว่าไปนี่มันก็ใกล้จะค่ำแล้วด้วยสินะ”
ได้ยินคำชี้แจงจากคนเฝ้าทางเข้า เด็กหนุ่มสามคนที่มาด้วยกันก็หันไปมองท้องฟ้านอกตึกอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่จะรีบจ้ำอ้าวไปยังชั้นบนสุดของตึก
บันไดแต่ละชั้นที่ก้าวขึ้นไปดูเหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ดูอันตรายไม่เบา แถมสภาพของตึกในแต่ละชั้นเองก็โทรมสมกับที่ถูกทิ้งร้างมานาน
สภาพของที่แห่งนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยหรือเหมาะที่จะใช้เป็นฐานทัพเลย
ทั้งแบบนั้น… ในตอนที่เด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินไปถึงชั้นบนสุดซึ่งเป็นจุดรวมพล ที่แห่งนั้นกลับมีเหล่าชายฉกรรจ์และหญิงสาวอยู่อีกจำนวนหนึ่งรวมแล้วเกือบ 30 คนเห็นจะได้
จำนวนดังกล่าวมากเกินกว่าจะบอกว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะสมในการใช้เป็นฐานที่มั่น ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ที่แห่งนี้นั้นเหมาะยิ่งกว่าอะไร
…หากคำนึงจากเรื่องที่ตอนกลางคืนจะมีมอนสเตอร์บุกมาแล้วทำให้สถานที่ราชการทั้งหลายกลายเป็นเป้าของคนทั่วไปที่จะไปรวมตัว รวมถึงสิ่งปลูกสร้างที่ดูแข็งแรงต่างก็เป็นจุดที่ผู้คนส่วนใหญ่เลือกจะไปหลบซ่อนและใช้เป็นที่กบดาน
ดังนั้น หากต้องการจะหลบจากสายตาผู้คนไม่ให้ใครรู้ถึงการมีอยู่ รวมถึงเป็นจุดที่สามารถเตรียมตัวรับสถานการณ์การบุกของมอนสเตอร์ล่วงหน้าได้ ก็คงต้องเป็นที่ที่ไม่มีใครให้ความสนใจอย่างตึกร้างแห่งนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนพวกนี้เลือกใช้ตึกร้างแห่งนี้เป็นฐานที่มั่น
“อึก…”
เด็กใหม่ร่างเล็กกลืนน้ำลายเสียงดังหลังได้เห็นว่าสมาชิกของกลุ่มคนพวกนี้มีเยอะขนาดไหน
ความคิดที่อยากจะหนีจึงแปรเปลี่ยนเป็นยอมจำนน เขาไม่อยากจะคาดเดาเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากถูกคนพวกนี้ไล่ล่าเอา แถมตัวเขาเองยังมีเลเวลแค่ 10 เรียกว่าถึงอยากจะหนีไปจากคนอันตรายพวกนี้แต่ก็เสียเปรียบทั้งจำนวนและเลเวล
และในบรรดาคนน่ากลัวเหล่านี้… มีอยู่คนนึงที่น่ายำเกรงที่สุด
เขาเป็นชายหนุ่มชาวต่างชาติ ผิวสีดำผมสีเงินทรงสั้นและกรีดลาย ร่างกายกำยำกว่าใครเพื่อนแถมยังมีส่วนสูงถึงสองเมตร แม้จะนั่งอยู่บนโซฟาและเป็นศูนย์กลางของทุกคน เขาก็ยังดูสูงใหญ่ยิ่งกว่าใครยิ่งทำให้เขาโดดเด่นเข้าไปใหญ่
ทั้งรูปลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่ง รวมกับความน่ายำเกรงที่ทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบไม่กล้าปริปากก่อนได้รับคำอนุญาต ทั้งหมดทั้งมวลนั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าชายคนนี้คือหัวหน้าของที่นี่
“หมอนั่นคือเด็กใหม่ที่เข้าร่วมกับเราเมื่อวานครับคุณเจสัน”
“โห…”
ชายหนุ่มสวมแว่นท่าทางดูจริงจังที่ยืนอยู่ข้างโซฟาเอ่ยกับชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้า… เจสัน แล้วเขาก็แสดงท่าทีสนอกสนใจขึ้นมาทันที เขาชันตัวลุกจากโซฟาแล้วก็เดินแหวกวงของลูกน้องที่ล้อมอยู่โดยรอบออกมาหาเด็กหนุ่มร่างเล็กที่เป็นสมาชิกใหม่
“ถือว่าฉลาดมากที่ไม่ปฏิเสธคำชวนของพวกเรา”
“คะ ครับ…”
ด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกแต่กลับฉีกยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย แถมยังมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นคุกคามอยู่ตลอดเวลาทั้งจากความสูงและมวลกล้ามเนื้อของเจสัน
ทำให้เด็กหนุ่มร่างเล็กตอบอะไรกลับไปไม่ได้เลยนอกจากพยักหน้ารับ เขารู้สึกเหมือนกับตอนนี้ตัวเองถูกจับโยนเข้าไปในกรงให้เผชิญหน้ากับสิงโตด้วยมือเปล่ายังไงอย่างงั้นเลย
เด็กหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหวาดกลัวและพยายามวางท่าทีตัวเองไม่ให้ถูกอีกฝ่ายไม่พอใจ จนรู้ตัวอีกทีค่ำคืนก็ได้มาถึงแล้ว
ความมืดมิดอันไร้ซึ่งแสงตะวันปรากฏพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คนที่กำลังถูกพวกมอนสเตอร์เข่นฆ่า อันเป็นสิ่งที่ทุกคนในที่แห่งนี้เกือบจะเคยชินจนไม่แยแสอีกต่อไปแล้ว
นอกเหนือจากเด็กใหม่ที่เพิ่งเกิด ‘การตื่น’ ขึ้นมาเพียงไม่กี่วันนี้จึงยังหวาดกลัวอยู่ จากทั้งสถานการณ์ที่มีมอนสเตอร์จำนวนมากกำลังเข่นฆ่าผู้คนอยู่เบื้องล่าง และจากการที่ถูกข่มขู่ให้เข้าร่วมกับคนน่ากลัวพวกนี้
และในช่วงเริ่มต้นของค่ำคืนซึ่งเป็นเวลาที่มอนเสตอร์ทั้งหลายกำเนิดขึ้นเป็นเรื่องปกติที่จำนวนของมันจะเยอะเป็นพิเศษ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่มันจะอยู่ในทุก ๆ ที่ที่มีคนอยู่ นั่นรวมถึงตึกร้างแห่งนี้ด้วย
ก๊าซซซ!!!!
หนึ่งในมอนสเตอร์ที่ได้กลิ่นเหยื่ออันหอมหวานมาจากชั้นบนสุดของตึกร้างแห่งนี้ คือนกยักษ์ที่มีลำคอและปากยาว ขนาดของมันพอ ๆ กับเครื่องบินเล็ก ๆ ได้เลย และข่าวร้ายก็คือมันกำลังจะบินพุ่งเข้ามาทางพวกคนเหล่านี้ที่อยู่บนตึกร้างชั้นบนสุด
ด้วยสภาพตึกที่ซอมซ่อ ผนังบางส่วนที่ผุพังไปจึงทำให้เห็นร่างของนกยักษ์ที่บินเข้ามาได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มร่างเล็กเห็นแบบนั้นไหล่ก็สั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว แตกต่างจากทุกคนในที่นี้ที่ไม่ได้มีท่าทางยำเกรงต่อนกยักษ์ที่บินเข้ามาเลยสักนิด กลับกัน แทนที่จะกลัว พวกเขากลับรู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ
ตื่นเต้นและคันไม้คันมือ… ที่จะได้ประจันหน้ากับพวกมอนสเตอร์
และในบรรดาคนเหล่านั้น คนที่ตื่นเต้นและกระหายการห้ำหั่นมากที่สุด คือหัวหน้าอย่างเจสัน
“พวกแกไม่ต้อง ฉันจะโชว์ของให้เด็กมันดู”
เจสันว่าแบบนั้นหลังก้มมองเด็กใหม่ร่างเล็กที่ได้แต่ตัวสั่น ก่อนที่จะพลิกตัวไปทางด้านที่นกยักษ์มันกำลังบินพุ่งเข้ามาหวังจะพังตึกแห่งนี้ ไม่สิ… หวังที่จะพุ่งมากินคนพวกนี้ต่างหาก
เขาเริ่มเดินไปทางนั้น ก่อนจะค่อย ๆ ออกวิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
และในระหว่างที่เด็กหนุ่มร่างเล็กกำลังคิดว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร พอเจสันวิ่งไปจนถึงขอบตึกที่ไร้ผนังกั้น เขาก็ถีบพื้นพุ่งทะยานลอยออกจากตึกไปหาเจ้านกยักษ์ด้วยความเร็วสูงราวกับจรวด
ทุกคนเห็นแบบนั้นก็เลยรีบวิ่งตามไปที่ขอบตึกเพราะไม่อยากพลาดช็อตเด็ด เด็กหนุ่มร่างเล็กเองก็อยากจะรู้ความแข็งแกร่งของชายที่ชื่อเจสันคนนี้จึงตามไปด้วยเหมือนกัน
กรูว!!!!!
เจ้านกยักษ์อ้าปากเหมือนทำอะไรสักอย่าง เด็กหนุ่มร่างเล็กไม่อาจรู้เรื่องนั้นได้จนกระทั่งสายลมคมราวใบมีดพุ่งตัดผ่านอากาศเข้าใส่เจสันที่ลอยเข้าหาเจ้านกยักษ์
“กระจอกโว้ย!”
ทว่าคมมีดสายลมที่เจ้านกยักษ์ร่ายใส่กลับกระจายหายไปเมื่อกระทบกับเจสันที่ร่างกายแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า รวมกับความเร็วของเขาที่พุ่งตัวเข้าใส่ทำให้คมมีดสายลมไม่ต่างอะไรจากของเด็กเล่น
เจสันพุ่งตัวต่อไป แล้วพอประชิดตัวของนกยักษ์ที่ชะงักไปแวบนึงได้ เขาก็ยื่นมือออกไปคว้าคอของมันในทันที ก่อนที่จะพลิกตัวกลางอากาศในขณะที่ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดูดลงไปยังพื้นด้านล่างที่มีความสูงกว่าตึกสิบชั้น ถ้าเป็นคนธรรมดาร่างของเขาคงจะเละไปแล้ว หรือต่อให้เป็นคนที่เกิดการตื่นแล้วก็เถอะ เขาก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส
นอกซะจากว่าเลเวลของเขาจะสูงมากจนไม่ต้องกังวลถึงเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น
“โอ้วววววววว!!!!!”
แรงโน้มถ่วงดูดเขาและนกยักษ์ที่เขาจับคออยู่ในมือให้ตกลงสู่พื้น แล้วเจสันก็จับมันทุ่มลงกับพื้นเต็มแรงจนพื้นคอนกรีตตรงนั้นกลายเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดใหญ่ทั้งยังเกิดควันโขมงระเบิดฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ ราวกับมีระเบิดลงจริง ๆ ยังไงอย่างงั้น
เจสันที่ใช้กำลังจัดการสัตว์ประหลาดได้ในครั้งเดียวไม่เพียงบ้าบิ่น แต่เขายังมีความแข็งแกร่งที่ทำให้ความบ้าบิ่นของตัวเองกลายเป็นจุดแข็งอีกด้วย และเพราะเรื่องนั้นแหล่ะทุกคนถึงได้หวาดกลัวความบ้าคลั่งของเขา
“ดูนั่นสิครับ… หัวหน้าของเราเป็นถึง Fighter เลเวล 90 เชียวล่ะนะครับ ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้น” คนที่มาชี้แจงแถลงไขเด็กใหม่ ก็คือชายหนุ่มสวมแว่นที่เป็นมือขวาของเจสัน
เขาเดินเข้ามาทางด้านหลังของเด็กหนุ่มร่างเล็กอย่างเงียบเชียบทำให้เขาเกือบตกใจจนสะดุ้งโหยง แต่ที่ไม่เป็นแบบนั้น มันก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มร่างเล็กกำลังตกใจกับพลังทำลายของเจสันที่อยู่ด้านล่างของตึก
สัตว์ประหลาดชัด ๆ!!!
เด็กหนุ่มเห็นแบบนั้น จึงทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหวาดกลัวและจำต้องยอมสยบแทบเท้าต่อความแข็งแกร่งอันเหนือชั้นของเจสัน
…ผู้ที่น่าจะเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในย่านนี้แล้ว
❖❖❖❖❖