‘Mage Fighter’ เหรอ? นี่มันอะไรกันฟะเนี่ย!?
หลังได้ยินคำประกาศอันกล่าวถึงอาชีพที่ไม่ได้มีอยู่ ทัตก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยความสับสน แต่เพื่อยืนยันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรีบเปิดหน้าต่างข้อมูลของตัวเองขึ้นมาในทันที
และผลลัพธ์ของมันก็คือ…
ทัตเทพ ไกรธนเดช (LV-28)
Fighter LV-11 , Mage LV-11 , Supporter LV-5
Mage Fighter LV-16 (11+5)
ฉายา : ‘Unlock Mage Fighter’ , ‘Bee Slayer’
สเตตัสพื้นฐาน :
ความสามารถทางกาย: 45 (43+2)
ความเชี่ยวชาญคลาส Fighter : 22 (11+11)
ความเชี่ยวชาญคลาส Mage: 22 (11+11)
ความเชี่ยวชาญคลาส Supporter : 7 (5+2)
ความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter : 18 (16+2)
สกิล :
Fighter : ทักษะจู่โจม LV-3, ทักษะตั้งรับ LV-2, ศิลปะการป้องกันตัว LV-2 , เสริมพลังกาย LV-1 , ซิกส์เซนส์ LV-1
Mage (ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า น้ำแข็ง แสง มืด) : เวทยิง LV-3 , เวทเกราะ LV-2 , ผสานเวท LV-2 , เสริมพลังเวท LV-1 , ดัดแปลงเวท LV-1
Supporter : วิเคราะห์ LV-1 , พรางกาย LV-1 , ช่องเก็บของมิติ LV-1
เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ๆ!!!
ทัตตกใจตาแทบถลนจนเกือบตกเก้าอี้หลังได้เห็นสเตตัสใหม่ของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ทัต! จู่ ๆ เป็นอะไรไปน่ะ!” พิมเห็นแบบนั้นก็เลยลุกจากเก้าอี้พุ่งเข้าไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง แต่ทัตก็ยกมือห้ามไว้ก่อน
“ไม่หรอก แต่ก่อนหน้านั้น ดูสเตตัสของฉันก่อนดิ!” ทัตเอ่ยอย่างตื่นเต้นในขณะที่กวักมือให้พิมเข้ามาดูใกล้ ๆ
เห็นแบบนั้นทางพิมก็เอียงคอสงสัยอยู่ไม่น้อยว่ามันเรื่องอะไร แต่พอเอี้ยวตัวไปมองหน้าต่างข้อมูลของทัตใกล้ ๆ แล้ว พิมเองก็…
“หา!!!?————อุ๊บ!”
ตะโกนออกมาดังลั่นด้วยความตกตะลึง เพราะแบบนั้นทัตก็เลยรีบเอามือไปปิดปากเธอไว้ก่อนในทันที เพราะหากไม่ทำอย่างนั้น เสียงเธอคงดังถึงขนาดที่ลอดออกไปนอกตึกได้ง่าย ๆ เลยในสถานการณ์ที่ไร้ผู้คนอย่างนี้
แต่ดูเหมือนจะรุนแรงไปหน่อย พิมก็เลยเริ่มทุบอกทัตแล้ว
“โทษที ๆ” ถูกสายตาที่เหมือนกับจะบอกว่า ‘ปล่อยได้แล้วย่ะ’ เลยทำให้ทัตรีบปล่อยมือ
“ให้ตายสิ นายเนี่ยนะ! มาปิดปากเด็กผู้หญิงทั้งที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองอย่างนี้มันไม่ได้นะรู้ไหม!” พิมโกรธก็จริง แต่เหมือนจะเป็นคนละประเด็นกับที่ทัตคิด
“ก็เธอจะทำเสียงดังนี่นา” ทัตหงอยไปเลยเมื่อถูกขึ้นเสียง ดูท่าไม่ว่าจะยังไงเขาก็คงเอาชนะพิมไม่ได้แม้เธอจะเป็นฝ่ายผิดก่อนก็ตาม
เห็นทัตเป็นแบบนั้นพิมที่หงุดหงิดก่อนหน้านี้เลยเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา และอันที่จริงเธอก็ไม่ได้หงุดหงิดจริง ๆ หรอก เธอทำแบบนั้นไปเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกประหม่าตอนที่อยู่ดี ๆ ทัตก็ยื่นมือเข้ามาปิดปากเธอต่างหาก
“อือ… ฉันเองก็ผิดจริงแหล่ะ แต่ว่าก่อนหน้านั้นไอ้สเตตัสพวกนั้นมันอะไรน่ะ!”
เพราะแบบนั้นแหล่ะเธอเลยรีบขอโทษแล้วเปลี่ยนเรื่องหนีทันที… เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันแปลกประหลาดไปกว่านี้ รวมถึงมีเรื่องที่อยากจะแถลงไขโดยเร็วเกี่ยวกับสเตตัสอันผิดปกติของทัตในตอนนี้ด้วย
ทัตเองก็เข้าใจเจตนาของพิมดี… สำหรับตัวเขาที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไปปิดปากเธอเข้าอย่างสนิทสนมขนาดนั้นก็ทำให้รู้สึกประหม่าเหมือนกัน แต่อย่างไรเสีย ตอนนี้เรื่องสเตตัสและอาชีพใหม่ที่ได้รับการปลดล็อคคงต้องมาก่อน
“จะว่าไปนะทัต… รู้สึกอะไรแปลก ๆ บ้างไหมล่ะหลังได้อาชีพใหม่น่ะ?” หลังเลือกเก้าอี้ตัวนึงแล้วขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ กับตัวที่ทัตนั่ง เธอก็เริ่มตั้งคำถามกับทัตอย่างนั้น
เธอคำนึงจากเรื่องที่ตัวเองจะรู้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้างหลังจากเกิดการตื่นหรืออัพเลเวลอาชีพ จึงคิดว่าในกรณีนี้ทัตเองก็น่าจะรู้เหมือนกัน
แล้วในตอนนั้นทัตก็นึกเรื่องที่พิมเคยพูดเล่นขึ้นมาได้ เขาเลยลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ผนังห้องที่ใกล้ที่สุดก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสมันเหมือนคิดจะทำอะไรสักอย่าง
“นี่… เธอเคยพูดถึงหมัดเพลิงอะไรสักอย่างด้วยใช่มะ”
“ยังอุตส่าห์จำได้อีกนะเนี่ย” พิมยิ้มหลังตอบทัต ดูเหมือนเธอจะดีใจที่ทัตจำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เธอเคยพูดได้
พวกผู้หญิงนี่ดีใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ตลอดสินะ… ทัตได้รู้อย่างนั้นก็เก็บท่าทางดีใจของพิมไว้ในคลังสมองเผื่อจะมีโอกาสทำให้เธอดีใจอีก
ก่อนที่จะเพ่งสติกลับมาที่การทดสอบอะไรบางอย่างที่ค้างคาไว้
ทัตเริ่มกำหมัดขวาแน่นในขณะที่มือซ้ายยังสัมผัสที่กำแพง พริบตานั้นรอบ ๆ หมัดขวาของทัตก็มีละอองเพลิงพวยพุ่งและอาบไปทั่วหมัด เริ่มจากสีเหลืองอ่อนเหมือนสะเก็ดไฟ ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม
ใช้เวลา 3 วินาทีจนสุดท้ายก็กลายเป็นสีแดงเพลิงร้อนระอุแผ่ความร้อนออกไปรอบทิศจนแม้แต่พิมยังรู้สึกเหมือนผิวถูกเผา ทว่าหมัดของทัตที่ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนเลย ไม่แม้แต่จะโดนเผาหรือได้รับความเสียหายด้วยซ้ำ และที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะผลของสเตตัส ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter’ นั่นแหล่ะ
ดูเหมือนการได้รับอาชีพ ‘Mage Fighter’ มา มันจะทำให้เราทำเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้ อย่างการใช้เวทมนตร์มาผสมผสานกับการใช้หมัดมวย
แค่คิดว่ามันจะทำให้ความหลากหลายของการโจมตีเพิ่มมากขึ้นแค่ไหนก็ดีใจจนตัวสั่นแล้ว
แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็คงต้องขอดูความเสียหายที่มันทำได้ก่อนล่ะนะ
“อยู่ข้างหลังฉันไว้ล่ะพิม”
ทัตคิดได้ดังนั้นก็ง้างหมัดขวาที่อาบด้วยเปลวเพลิงของตนไปพร้อม ๆ กับเตือนพิม
ก่อนที่จะอัดเข้าใส่ผนังตรงหน้าเต็มแรง
ตู้ม!!!
เสียงกระทบระหว่างหมัดของทัตกับผนังดังลั่นปานระเบิดปะทุ ตอนแรกทัตก็คิดว่ามันคงทำให้เป็นรูขนาดเท่าหมัดของเขาหรือมากกว่าเล็กน้อยเท่านั้นโดยเปรียบเทียบกับหมัดธรรมดาตอนที่ยังไม่เสริมด้วยเวทมนตร์
…แต่พอเห็นว่าจุดที่ทัตอัดใส่ มันได้ทะลุออกไปถึงอีกห้องทั้งที่มีความหนาเกือบครึ่งเมตรแถมยังมีขนาดใหญ่มากพอให้ทัตกับพิมลอดผ่านเข้าไปพร้อมกันได้สบาย ๆ อีก ตอนนี้เปลวเพลิงที่ย้อมหมัดของเขาหายไปแล้วก็จริง แต่ผลลัพธ์ที่นำมาก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มค่า
“สุดยอด…” พิมอ้าปากค้างไปเลยเมื่อได้เห็นพลังทำลายล้างของมัน
แน่นอนว่าทัตเองก็ไม่แตกต่าง เขาถึงกับรู้สึกผิดขึ้นมาเล็ก ๆ ที่ไปทำลายตึกของชาวบ้านเพราะเขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงถึงขนาดนี้ แต่ก็ช่างหัวมันไปก่อนแถมคิดว่าเดี๋ยวพอเช้าแล้วมันก็กลับมาเหมือนเดิมเลยไม่ค่อยรู้สึกผิดเท่าไหร่
ทีนี้ก็แน่ชัดแล้ว… ไอ้อาชีพใหม่นี่น่ะโคตรเจ๋งเลย!
เห็นผลลัพธ์ชัดเจนอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเอื้อนเอ่ยอีกนอกจากคำว่าสุดยอด
“สุดยอดไปเลย! เมื่อกี้มันโคตรเท่เลยอ่ะ!” เรื่องนั้นพิมเองก็คิดเหมือนกัน เธอถึงพูดออกมาเป็นหนที่สองก่อนจะวิ่งเตาะแตะเข้ามากุมมือทัตชูขึ้นซะสูงด้วยความดีใจ
“ใช่ไหมล่ะ! แต่มันก็แหงอยู่แล้ว!”
นอกจากไม่ปฏิเสธทัตยังโอ้อวดเพิ่มเสริมเข้าไปอีกด้วย แต่พิมก็ยอมให้เพราะผลลัพธ์มันก็สมกับที่เขาโอ้อวดจริง ทั้งคู่ก็เลยกระโดดโลดเต้นดีใจกันใหญ่
…ต้องใช้เวลาไปสักพัก ทั้งคู่ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังกุมมือกันเสียแน่น ถึงตอนแรกจะทำไปเพื่อแสดงความดีใจก็เถอะ แต่พอความรู้สึกพวกนั้นหายไปความรู้สึกอื่นก็เข้ามาแทนที่ ซึ่งในที่นี้ก็คือความประหม่าและเขินอายจากการสัมผัสเพศตรงข้ามอย่างสนิทสนมอย่างนั้น
รู้ตัวดังนั้น ทั้งคู่ก็เลยผละมือออกจากกันก่อนที่จะมีเรื่องอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นตามมา แต่ก็ยังต้องหลบหน้ากันอีกสักพักเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าที่แดงก่ำจนถึงหูของตัวเอง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันซ่อนไม่มิดก็เถอะ
“อะแฮ่ม! งั้นเรามาดูพวก Mechanic กับวิธีคำนวณสเตตัสหน่อยไหม จะได้มีประโยชน์ในการวางแผนอัพเลเวลต่อจากนี้” ด้วยเหตุนั้น หลังผ่านไปสักพักที่ทั้งคู่กลับมาใจเย็นลงได้แล้ว ทัตที่ทำได้ก่อนจึงกระแอมเสียงดังเพื่อปรับบรรยากาศเสียใหม่ก่อนจะเข้าเรื่อง
“นะ นั่นสินะ”
ทางพิมยังตะกุกตะกักอยู่เล็กน้อย เธอรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่เบาเพราะถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเธอคงเรียกความเยือกเย็นของตัวเองกลับมาได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะตอนที่ออกงานสังคม ประกวดหรือต้องเยี่ยมเยือนผู้ใหญ่ที่มีหน้าตาในสังคมเธอก็สามารถเก็บอารมณ์ตัวเองได้หมดจดและสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
แต่ความสามารถนั้นต่างก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่ออีกฝ่ายเป็นทัต
เย็นไว้เรา… พิมเตือนตัวเองอย่างนั้น ก่อนจะหันมาตั้งใจฟังทัต
“ย้อนกลับไปตอนแรกเลยนะ… เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะฉันอัพเลเวลของอาชีพ ‘Mage’ กับ ‘Fighter’ ถึงเลเวล 11 ทั้งคู่น่ะ”
ทัตเอ่ยถึงสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยน้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของเขาทำให้มันง่ายสำหรับพิมที่จะปรับอารมณ์ตาม
“อาชีพที่เกิดขึ้นจากการผสานระหว่างสองอาชีพงั้นเหรอ?” พิมเอียงคอสงสัย ดูท่าเธอจะติดใจเรื่องนั้นเพราะมันอาจหมายความว่าเธอเองก็สามารถเป็นอย่างนั้นได้
“ใช่เลย… เพราะ ‘Knight’ ของเธอเลเวล 18 แล้ว ดังนั้น คิดว่าถ้าเธออัพเลเวลของ ‘Mage’จนถึง 11 ก็น่าจะปลดล็อคอาชีพที่ใช้ดาบเวทมนตร์ได้เหมือนกันแหล่ะมั้ง”
“จริงดิ!” คำตอบของทัตทำให้พิมยิ้มแฉ่ง ดูท่าต่อให้เป็นพิมก็ไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นที่อยากจะลองใช้เวทมนตร์ได้
…แต่ในจุดนั้นทัตก็ว่าอะไรเธอไม่ได้ เพราะเขาเองก็ตื่นเต้นเป็นเด็ก ๆ ในตอนที่ใช้เวทมนตร์เป็นครั้งแรกไม่ต่างจากเธอในตอนนี้เท่าไหร่
“แต่เดี๋ยวก่อน…” แต่เพราะแบบนั้นแหล่ะ ทัตเลยไม่อยากให้พิมตัดสินใจด้วยอารมณ์อย่างที่ตนทำ เขาเลยใช้ปางห้ามญาติกับพิมไปหนึ่งทีก่อนจะเตือนด้วยความหวังดี
“ลองดูข้อดีข้อเสียของมันให้ดีก่อนค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สายนะ”
“มูว… นายเป็นพ่อฉันรึไงเนี่ย”
พิมบ่นอุบทำแก้มป่องอย่างน่ารักน่าชัง และอีกครั้งที่มันดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว แต่เธอก็ไม่ได้ดื้ออะไรอย่างที่ทัตคิด เพราะดูเหมือนเธอจะรู้ว่าเขาเตือนแบบนั้นไปก็เพราะเป็นห่วงเธอนั่นแหล่ะ
อย่างที่รู้… นี่คือสถานการณ์จริงที่การตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ก็ส่งผลถึงชีวิต เพราะมันไม่ใช่เกมแต่เป็นความเป็นจริง ดังนั้น การตัดสินใจทุกอย่างจึงต้องเป็นไปอย่างรอบคอบที่สุด
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทัตขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้กับพิมไปพร้อมกับแสดงหน้าต่างข้อมูลของตัวเองให้เธอเห็นชัด ๆ แต่ดูเหมือนความใกล้ชิดนั่นจะทำให้พิมใจเต้นอยู่หน่อย ๆ
ก่อนอื่นดูที่ฉายาใหม่ที่ได้รับมาก่อนละกัน
ทัตคิดได้ดังนั้นก็เปิดคำอธิบายของฉายา ‘Unlock Mage Fighter’ ให้พิมดูก่อนเป็นอันดับแรก
ส่วนเนื้อหาของมันนั้น…
Unlock Mage Fighter (ฉายา)
เงื่อนไขปลดล็อค: เลเวลอาชีพของ ‘Fighter’ และ ‘Mage’ ถึงเลเวล 11 ทั้งคู่
ผล:
– ได้รับอาชีพ ‘Mage Fighter’ โดยเลเวลอาชีพเท่ากับเลเวลร่วมของอาชีพ ‘Fighter’ และ ‘Mage’
– เลเวลอาชีพของอาชีพ ‘Mage Fighter’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของเลเวลร่วมของอาชีพ ‘Fighter’ และ ‘Mage’
– ความเชี่ยวชาญคลาสของอาชีพ ‘Fighter’ และ ‘Mage’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter’
– เลเวลสกิลของแต่ละสกิลของอาชีพ ‘Fighter’ และ ‘Mage’ ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของเลเวลสกิลของแต่ละสกิลของอาชีพ ‘Mage Fighter’
โอ้โห… เลเวลของอาชีพผสานขึ้นกับเลเวลของอาชีพพื้นฐานอย่างที่คิดก็จริง
แต่ไอ้ผลของฉายานี่มันเกินกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย
เริ่มจากเลเวลของอาชีพเสริมที่มีโบนัสเพิ่มเข้ามา ทำให้ช่องว่างระหว่างคนที่เน้นอัพอาชีพเดียวกับอาชีพผสานแคบลงมา แม้โดยรวมคนที่อัพหลายอาชีพจะยังอ่อนแอกว่าแต่ก็ไม่มากแล้ว
เป็นกรณีเดียวกันกับความเชี่ยวชาญคลาสของคลาสหลัก ที่ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นจากคลาสของอาชีพผสานด้วย
แต่ที่ดีที่สุดน่าจะเป็นกรณีที่มีโบนัสเพิ่มเลเวลของสกิลนี่แหล่ะ
เพราะเดิมที… ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้เรามีข้อได้เปรียบเหนือกว่ามอนสเตอร์ที่เลเวลเดียวกันแล้ว ก็คือสกิลนี่แหล่ะ เพราะงั้นเลเวลของสกิลจึงสำคัญมาก
ตอนนี้โบนัสที่ได้จากฉายานี้ทำให้เลเวลสกิลของทักษะจู่โจมกับเวทยิงกลายเป็นเลเวล 3 เลยทีเดียว
เทียบกับเลเวลรวมของตัวฉันในตอนนี้คือเลเวล 28 เรียกว่าเลเวลสกิลเทียบเท่ากับคนอื่นที่อัพเลเวลเพียงอาชีพเดียวเลยล่ะ
ก็… ดูเผิน ๆ มันเหมือนจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ แต่ถ้าเท่าเทียมกันจริง ป่านนี้เลเวลของสกิลเสริมพลังกายต้องเลเวล 3 ไปแล้ว แต่ตอนนี้มันยังเลเวล 1 อยู่เลย
ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็ต้องย้อนกลับมาดูที่รายละเอียดของสกิลของอาชีพผสานที่ได้มาใหม่อย่าง ‘Mage Fighter’
โดยพื้นฐานแล้ว อาชีพผสานนี้ไม่มีสกิลเป็นของตัวเองเหมือนกับอาชีพหลัก แต่จะมีสกิลที่เป็นชื่อเดียวกันกับอาชีพต้นตอที่เกิดจากการผสาน
ยกตัวอย่างเช่น ‘Mage Fighter’ เลเวล 1 จะมีทั้งสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Fighter) LV-1’ และ ‘เวทยิง LV-1’
ดังนั้น ถ้า ‘Mage Fighter’ เลเวล 11 เลเวลสกิลก็จะเลื่อนเป็น ‘ทักษะจู่โจม (Fighter) LV-2’ และ ‘เวทยิง LV-2’
ที่ฉายานี้มันบอกว่า ‘ได้รับโบนัสเพิ่มขึ้นเท่ากับครึ่งหนึ่งของเลเวลสกิลของแต่ละสกิลของอาชีพ‘Mage Fighter’ ’ ก็มาจากอันนี้นี่แหล่ะ
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่สกิลทักษะจู่โจมซึ่งตอนนี้ควรจะเป็นเลเวล 2 จากการที่อาชีพ ‘Fighter’ มีเลเวล 11 บวกกับได้โบนัสเพิ่มอีก 1 เลเวล ทำให้สุดท้ายสกิลทักษะจู่โจมมีเลเวล 3
ซึ่งโบนัสที่ว่า ก็มาจากการที่ ‘Mage Fighter’ มีเลเวล 16 เลยทำให้สกิลทักษะจู่โจมของอาชีพนี้มีเลเวล 2 และครึ่งหนึ่งของเลเวล 2 ก็คือเลเวล 1 ที่กลายเป็นโบนัสให้กับสกิลทักษะจู่โจมนั่นเอง
ดังนั้นในภาพรวม อาชีพผสานจะแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อมาถึงจุดนี้ (ที่ได้รับการปลดล็อคอาชีพผสาน)
แต่ช่องว่างก็ยังเหลืออยู่เมื่อเทียบกับคนที่เน้นอัพเพียงอาชีพเดียวอยู่ดี
แต่จะว่าไป… ตอนแรกก็คิดว่าโลกนี้ช่างไม่ปราณีคนที่อัพเลเวลหลายอาชีพพร้อมกันเลย เพราะอย่างที่บอกว่าการเน้นอาชีพเดียวจะทำให้ความเชี่ยวชาญคลาสและเลเวลสกิลสูงกว่าคนที่อัพหลายอาชีพ
ซึ่งหากทั้งสองคนสู้กันแบบตัวต่อตัว คนที่ชนะคือคนที่เลเวลสกิลและความเชี่ยวชาญของคลาสตัวเองสูงกว่าอยู่แล้ว
หรือก็คือ… คนที่เน้นอัพเลเวลเพียงอาชีพเดียวจะแข็งแกร่งกว่านั่นเอง
แต่ดูเหมือนถ้าเลือกอัพอาชีพได้ถูกต้องอย่างที่ฉันทำ ช่องว่างระหว่างคนที่อัพแค่อาชีพเดียวกับหลายอาชีพก็จะแคบลงมาเยอะเลยแฮะ
ทัตกอดอกขมวดคิ้วจากการที่รู้สึกดีใจก็จริงแต่ก็ทำได้ไม่สุด เพราะมันยังไม่เท่าเทียมกับคนที่อัพเพียงอาชีพเดียว
ไม่สิ… พอมานึกดู ถ้าเกิดทั้งเลเวล ความเชี่ยวชาญและเลเวลสกิลของอาชีพผสานมันเท่ากันกับคนที่อัพแค่อาชีพเดียว มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่อัพอาชีพเดียวเหมือนกันสินะ
ถ้าเป็นงั้น ทุกคนที่รู้ว่ามีอาชีพผสานที่แข็งแกร่งเท่ากับคนที่อัพอาชีพเดียว อาชีพเดี่ยว ๆ ก็ตกกระป๋องแทนน่ะสิ
อืม… พอคิดแบบนั้นก็พอจะยอมรับได้แฮะ
ทัตเปลี่ยนมุมมองก็ได้คำตอบของปัญหา ดูท่าว่าระบบจะไม่ได้ลำเอียงให้คนที่อัพหลายอาชีพเสมอไป แต่มันยุติธรรมมากกว่าที่ทัตคิดไว้ตอนแรก เขาแค่โลภมากเกินไปที่อยากจะได้เลเวลสกิลของสองอาชีพให้มีระดับเท่ากันกับคนที่อัพเลเวลเพียงอาชีพเดียว
“นี่ ๆ…” ในระหว่างที่ทัตกำลังคิดอะไรคนเดียว พิมก็สะกิดเขาทำให้ความคิดและสติกลับมายังโลกความเป็นจริง
“ถ้าดูจากแค่คำอธิบายของฉายานี่… รวม ๆ ก็เสียเปรียบคนที่อัพเลเวลอาชีพเดียวประมาณหนึ่งในสี่สินะ”
“หืม? อัตราส่วนนั่นเอามาจากไหนอ่ะ”
ได้ยินคำพูดของพิมทำให้ทัตเลิกคิ้ว ตัวเขาเองก็คิดคำนวณแบบคร่าว ๆ เพื่อหาว่าอาชีพผสานเสียเปรียบอาชีพเดี่ยว ๆ เท่าไหร่เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้คำตอบแน่ชัด
“ก็ถ้าต้องแบ่งแต้มเลเวลไปอัพสองอาชีพพร้อมกัน ความแข็งแกร่งโดยรวมอย่างเลเวล ความเชี่ยวชาญแล้วก็เลเวลสกิลจะเหลือแค่ครึ่งเดียวจากที่ควรใช่ไหมล่ะ? พอรวมกับโบนัสที่ได้ตอนปลดล็อคอาชีพผสานอีกครึ่งของครึ่ง รวมแล้วก็จะคิดเป็นสามในสี่ ก็แสดงว่าเสียเปรียบคนที่อัพเลเวลอาชีพเดียวอยู่หนึ่งในสี่ยังไงล่ะ”
ในขณะที่พิมเหมือนจะคิดได้แล้ว แถมเร็วมากด้วย
“คิดเลขเร็วชะมัดเลยนะเธอเนี่ย”
“เพราะฉันเก่งไงล่ะ!”
พิมกอดอกโอ้อวดด้วยรอยยิ้มแฉ่งอย่างมั่นอกมั่นใจจนหน้าอกกระเพื่อม ทำเอาทัตต้องพยายามเบี่ยงสายตาไปทางอื่นเลย
แต่ถึงจะไม่อยากยอมรับ มันก็เป็นความจริงที่ว่าพิมนั้นเรียนเก่งสุด ๆ
อย่างที่เคยกล่าวไปว่าเธอเป็นถึงคุณหนูสเปคสูงที่เก่งไปเสียรอบด้าน ทั้งยังสวยแถมรวยมากอีกต่างหาก พอคิดอย่างนั้นก็สมกับที่เจ้าตัวโอ้อวดอย่างภูมิใจอยู่หรอก
จะว่าไป… สรุปคืออาชีพผสานเสียเปรียบประมาณหนึ่งในสี่เหรอ?
ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่แย่นักหรอก เพราะมันก็แลกมากับความหลากหลายของการโจมตีที่เพิ่มมากขึ้นจากการใช้เวทมนตร์ไปร่วมสู้ ซึ่งในจุดนี้มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่ามันคุ้มไหม
นี่คงเป็นจุดที่ต้องเลือกสินะ… ระหว่างพลังเต็มพิกัดที่ควรจะได้กับความหลากหลายในการโจมตีพ่วงเวทมนตร์
แน่นอนล่ะว่าสำหรับฉันมันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม แถมได้เห็นแล้วว่าพลังผสมผสานระหว่างพลังหมัดของคลาส ‘Fighter’ กับเวทมนตร์มันรุนแรงขนาดไหน ถึงจะเสียเปรียบตรงจุดที่ยังต้องร่ายเวทอยู่ก็เถอะ
แต่สำหรับเรื่องนี้… พิมจะมองว่ายังไงบ้างนะ
“เธอว่าความแข็งแกร่งหนึ่งในสี่จากที่ควรได้แลกกับการใช้เวทมนตร์มันคุ้มไหม?” คิดได้ดังนั้น คำตอบที่ทัตอยากให้พิมตัดสินใจในตอนแรกก็ออกมา
แต่อันที่จริง ถึงทัตไม่บอกแต่ก็เหมือนว่าพิมจะตัดสินใจไว้ก่อนแล้ว เธอถึงไม่ได้เสียรอยยิ้มที่มีในตอนแรกไปเลย
“แหงอยู่แล้ว ฉันไม่ยอมให้นายใช้เวทเท่ ๆ อยู่คนเดียวหรอก!”
“ก็กะแล้วล่ะนะ”
พิมว่าแบบนั้น ไม่ได้เกินความคาดหมายใด ๆ ของเขาเลย ทัตจึงได้แต่ยิ้มแห้งตอบกลับ
และอาจเป็นเพราะเธอตัดสินใจอย่างนั้นด้วยความตื่นเต้น ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้เลยหายไปเป็นปลิดทิ้ง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความกระหายเลเวลเพื่อเอามาอัพเลเวลของอาชีพ ‘Mage’ ของพิม ซึ่งต้องการอีก 11 เลเวลเลยทีเดียว
เพราะเวลามีจำกัด แถมยิ่งผ่านไปมอนสเตอร์ก็เริ่มจะเดินหนีหายไปไหนก็ไม่รู้ด้วย เพราะเป้าหมายของมันคือออกมาสังหารผู้คน แต่หากผู้คนถูกฆ่าหมดแล้วมันย่อมย้ายถิ่นไปที่อื่นแทน
พอเตรียมตัวเตรียมใจเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็ไม่รีรอที่จะออกจากตึกนี้เพื่อออกไปล่ามอนสเตอร์กันต่อให้ได้มากที่สุดในคืนนี้
❖❖❖❖❖
หลังจากที่ใช้สกิล ‘พรางกาย’ ใส่ตัวเองกับพิมแล้ว พวกเราก็ออกมานอกตึกแล้วเริ่มสำรวจแถวหลังโรงเรียนอีกครั้ง
แต่ก็ไม่มีมอนสเตอร์เหลืออยู่เลยอย่างที่คิด… เพราะงั้นก็เลยต้องเลือกเดินไปต่อเรื่อย ๆ โดยเส้นทางที่คิดไว้คือเดินอ้อมผ่านซอยข้างโรงเรียน ซอยเดียวกับที่เคยใช้หนีในคืนแรกสุดนั่นแหล่ะ
แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจไปเดินเข้าประตูหลังของโรงเรียนแทน เพราะการเดินเข้าซอยที่เป็นพื้นที่เปิดมันเสี่ยงเกินไปและหาที่หลบยากหากมีเหตุสุดวิสัย
และไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศมันเงียบ หรือเพราะเบื่อ หรือเพราะไม่อยากโฟกัสกับเลือดข้างถนนหรืออย่างไร ก็เลยคิดว่าต้องหาเรื่องคุยจะได้ไม่ต้องสนใจภาพพวกนั้น เพราะเดี๋ยวจะติดตาเก็บไปฝันเอา
“แล้วนี่นายยังจะอัพเลเวลของ ‘Supporter’ อยู่ป่ะเนี่ย?”
แต่คนที่เปิดประเด็นขึ้นมาก่อนกลับเป็นพิมที่เดินเคียงเขาอยู่ ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเดินผ่านตึกเรียนที่คุ้นเคยแต่ด้วยความเงียบงันและมืดมิดผิดจากปกติที่ควรเป็น
ส่วนประเด็นที่เธอเอ่ยถาม มันก็น่าคิดทีเดียวสำหรับทัต แต่เขาเองก็มีคำตอบอยู่แล้ว
“ก็จริงแหล่ะที่ถ้าอยากได้ความแข็งแกร่งในระยะยาว ฉันควรจะเน้นอัพแค่สองอาชีพเป็นหลักได้แล้ว… แต่คิดยังไง สกิลของ ‘Supporter’ ก็ยังจำเป็นอยู่”
“จริงอ่ะ?” พิมเอียงคอถาม
“ก็ถ้าอัพถึงเลเวล 11 สกิลที่ได้มาตอนเลเวลหนึ่งของอาชีพนั้น ๆ จะกลายเป็นเลเวล 2 ใช่ไหมล่ะ? นั่นก็หมายความว่าสกิล ‘วิเคราะห์’ ก็จะอัพเป็นเลเวล 2 ด้วย”
“หืม… รู้เขารู้เราสินะ”
“ตามนั้นแหล่ะ”
ข้อมูลคือทุกสิ่ง ผู้ที่กุมข้อมูลมากกว่าอีกฝ่ายคือผู้ที่กุมชัยชนะ… เรื่องนั้นคงไม่อาจมีใครเถียงได้ หรือต่อให้อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งอย่างเปี่ยมล้นจนไม่อาจใช้แผนการเข้าสู้ได้ แต่หากรู้แต่แรกว่าไม่ชนะก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวลงไปเสี่ยงสู้แต่แรก
หากอีกฝ่ายอ่อนแอกว่าก็เข้าไปกำจัดเพื่ออัพเลเวล
หากอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าจนไม่น่าจะชนะได้ก็ซ่อนตัวหรือหนีซะ
ด้วยกลยุทธิ์เรียบง่ายอย่างนั้นแหล่ะคือสิ่งที่จะทำให้เอาตัวรอดในโลกที่ไม่รู้ที่มาที่ไปและไร้เหตุผลนี้ได้
และอันที่จริง… หากต้องการจะเน้นอัพสองอาชีพก็ยังมีทางที่เป็นไปได้อยู่ นั่นคือการหาพวกพ้องคนใหม่ให้มารับหน้าที่เป็น ‘Supporter’ ของทีม แต่ว่านั่นก็ต้องเคลียร์ปัญหาสองข้อให้ได้ก่อน
ปัญหาอย่างแรกคือ ความน่าเชื่อถือของพวกพ้อง… หากเป็นคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เขาอาจกลัวจนหนีหรือทรยศกันได้ในภายหลัง หากไม่ใช่คนที่มีสายสัมพันธ์พิเศษในระดับที่ใกล้เคียงกับพิม ทัตก็ไม่ไว้ใจให้รับหน้าที่นั้น เพราะการเป็นมันสมองของทีมคือตัวชี้ชะตาความเป็นตายของทีม
ซึ่งอันที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่มีคนแบบนั้นเลย… คนแรกที่ทัตนึกถึงก็คือน้องสาวบุญธรรมของเขาอย่างฝ้าย แต่พอคิดแบบนั้นเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธทันที เพราะไม่อยากให้เธอเข้ามายุ่งเรื่องอันตราย ซึ่งแตกต่างกับกรณีของพิมที่ดึงดันอยากร่วมด้วยจนทัตยากจะปฏิเสธ
และปัญหาอย่างที่สองก็คือ… การทำให้พรรคพวกคนดังกล่าวไม่อัพอาชีพอื่น
เพราะอย่างที่รู้ว่า ‘Supporter’ ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่ในโลกใบนี้ที่อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน หากไม่มีสกิลของอาชีพอื่นที่เป็นสายต่อสู้ติดตัวเลยก็คงเอาตัวรอดยาก ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อยากอัพเลเวลของอาชีพ ‘Supporter’ เพียว ๆ อย่างแน่นอน
รวมปัญหาทั้งสอง จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝากหน้าที่นี้ไว้กับคนอื่น ทัตก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอัพเลเวลของ ‘Supporter’ มันเสียเอง
อย่างไรก็ตาม… เรื่องรายละเอียดของเหตุผลทั้งหมดไม่ต้องอธิบายอะไรเสริมไปมากกว่านี้พิมก็เข้าใจได้เอง เลยช่วยประหยัดเวลาทัตได้มาก
…แต่อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ทัตอยากอัพเลเวลของ ‘Supporter’ ด้วยตัวเองมันก็ยังมีอยู่
“นี่พิม” และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง เขาก็เลยบอกกับพิมไว้ด้วย นั่นทำให้เธอหันกลับมามองเขาอีกรอบในขณะที่กำลังเดินอยู่
“เธอคิดว่าพอฉันอัพเลเวลของ ‘Supporter’ เป็นเลเวล 11 แล้วจะมีอาชีพผสานเกิดขึ้นมาอีกไหม?”
“หืม…”
พอได้ยินคำถามของทัต พิมก็หรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทัตเล็งอะไรเอาไว้อยู่
รวมถึงเรื่องที่ว่า ทัตไม่จำเป็นต้องถามอย่างนั้นเพราะตัดสินใจไปแล้วก็ด้วย ดังนั้น ที่ทัตถามออกมาจึงเป็นเพราะอยากให้เธอช่วยคำนวณเรื่องความต่างของความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับการอัพเลเวลเพียงคลาสเดียวเฉย ๆ
“ขึ้นอยู่กับอาชีพผสานที่เกิดขึ้นแหล่ะนะว่ามีอะไรเพิ่มมาบ้าง”
พิมถามทัตกลับ ตอนนี้ทั้งคู่เพิ่งเดินผ่านตึกเรียนที่ติดรั้วหลังโรงเรียนไปเอง
ส่วนประเด็นที่เธอพูดนั้นหมายถึงว่า อาชีพผสานที่เกิดจากอาชีพหลายอาชีพนั้น จะมีอาชีพแบบไหนเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก
อาชีพผสานที่เกิดจากอาชีพ ‘Fighter’ กับ ‘Supporter’
และอาชีพผสานที่เกิดจากอาชีพ ‘Mage’ กับ ‘Supporter’
คำถามคือระบบมันจะยอมให้เกิดอาชีพผสานทั้งสองอย่างเลยรึเปล่านี่แหล่ะ
ถ้าเป็นงั้นก็ดีไป เพราะยิ่งมีอาชีพมากก็จะยิ่งได้รับค่าสเตตัสมากขึ้น โดยเฉพาะ ‘ความสามารถทางกาย’ ที่น่าจะเป็นสเตตัสอย่างเดียวที่คนอัพหลายอาชีพได้เปรียบคนที่อัพเพียงอาชีพเดียว
ซึ่งในความเป็นจริง ไอ้ความสามารถทางกายนี่จะเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกาย ความทนทานต่อการโจมตี และที่น่าแปลกใจที่สุดคือสเตตัสนี้คือตัวบ่งบอกความสามารถและความแข็งแกร่งของเวทมนตร์ด้วยในกรณีที่มีคลาสเป็น ‘Mage’
พูดง่าย ๆ ถ้าเป็นเกม… ‘ความสามารถทางกาย’ คือจะเป็นทั้งความแข็งแกร่งทางกายภาพและเวท พลังป้องกัน พลังชีวิตแล้วก็มานาไปพร้อมกันเลยนั่นเอง
ซึ่งก็ถือว่าสะดวกดีแหล่ะเพราะมันเข้าใจง่าย
แต่สุดท้ายแล้ว… จะทั้งการควบคุมพลังเวท ออกหมัดจู่โจมหรืออะไรก็ตามที่เป็นของคลาสนั้น ๆ ก็ต้องใช้ความเชี่ยวชาญของคลาสและเลเวลสกิลของคลาสนั้น ๆ อยู่ดี
เพราะถึงจะโจมตีได้รุนแรงขนาดไหน แต่ถ้าโจมตีไม่โดนอีกฝ่ายก็เอาชนะไม่ได้หรอก
นึกภาพเหมือนผู้ใหญ่ที่ไม่เป็นมวย แพ้เด็กที่เก่งยูโดนั่นแหล่ะ อารมณ์เดียวกันเลย
และเพราะความเป็นจริงมันโหดร้ายอย่างนั้นแหล่ะ ถึงต้องมานั่งคำนวณเรื่องข้อดีข้อเสียกัน
“สุดท้ายก็ต้องลองดูเองอยู่ดีสินะ”
“โอ๋ ๆ นะ”
ทัตคิดได้ดังนั้นเลยถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ ราวกับยอมแพ้ โดยมีพิมตบหลังปลอบใจอยู่ใกล้ ๆ
แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ และคิดว่าคงอีกนานกว่าจะได้เจอมอนสเตอร์ เพราะแบบนั้นแหล่ะมั้งพวกเขาเลยคุยกัน
บรู้ววว!!!!
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เอื้ออำนวยอย่างที่คิด… เพราะในจังหวะที่คิดแบบนั้นก็มีเสียงสุนัขหอนขึ้นมา แถมจุดกำเนิดเสียงก็ยังใกล้มาก คาดว่าน่าจะอยู่ในบริเวณโรงเรียนนี่แหล่ะ
พอได้ยินแบบนั้นพิมก็เอื้อมมือจับด้ามดาบคาตานะที่สะพายติดหลัง ทัตเองก็เผลอกำหมัดแน่นเหมือนกันด้วยความที่เผลอไปนึกถึงเจ้าหมาป่าเพลิงสีฟ้าตอนแรกที่ทำให้เขาเกิดการตื่น เพราะมันเล่นงานเขาจนมือหายไปข้างนึงนั่นแหล่ะ ทัตถึงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ว่า… นี่ก็เป็นโอกาสแก้มือเหมือนกัน
ทัตมองโลกในแง่ดีอย่างนั้น เพราะในสถานการณ์ที่อยากจะอัพเลเวลเร็ว ๆ เพื่อนำแต้มมาใช้ทดลอง เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องหนีอยู่แล้ว
นอกจากซะจากว่าเลเวลของมันจะเยอะเกินจนน่ากลัวล่ะนะ
ทัตเดินนำพิมตามเสียงนั้นไปด้วยความคิดแบบนั้น
แล้วดูเหมือนเป้าหมายของทั้งสองคนจะอยู่บนตึกที่ตั้งอยู่กลางโรงเรียนอันเป็นห้องเรียนของชั้น ม.5 ที่พวกเขายังไม่มีโอกาสได้ลองเดินไปดูเลยด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่าจะได้มาที่นี่ก่อนช่วงเวลาจริงเสียอีก
และต้องขอบคุณสกิล ‘พรางกาย’ เลยทำให้ทั้งสองคนไม่ต้องระแวดระวังอะไรมากจนวิตกจริต แค่ต้องระวังไม่ให้เดินไปชนพวกมอนสเตอร์เท่านั้น ซึ่งถ้าระวังดี ๆ ยังไงก็คงไม่เซ่อซ่าขนาดนั้นอยู่แล้ว แถมสกิลมันก็ไม่สามารถปลดออกไปได้นอกจากเจ้าตัว ‘ตั้งใจ’ ปลดมัน
…ดังนั้น ต่อให้เผอเรอขาดสติ ตกตะลึงหรือสะเทือนใจมากแค่ไหน สกิลพรางกายมันก็จะยังอยู่
“อึก!!!?”
ต้องขอบคุณเรื่องนั้น… ในตอนที่เดินผ่านห้องพักครูที่ตั้งอยู่ชั้นแรกแล้วเหลือบเข้าไปเห็นกองซากศพของเหล่าอาจารย์ที่ทำงานล่วงเวลาถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ภาพเครื่องในที่กระจัดกระจายอย่างน่าสะอิดสะเอียน รวมถึงชิ้นเนื้อที่คุ้นตาแต่กลับแยกกันอยู่อย่างไม่เป็นชิ้นอันเลยทำให้พิมหลุดตกใจออกมาจนเสียงดังลั่นไปแวบนึง
ก็จริงที่มันไม่ดังมาก แต่เพราะตอนนี้บรรยากาศมันเงียบ แค่เสียงเดินยังได้ยินไปจนถึงชั้นสองเลยด้วยซ้ำ ขนาดเสียงเดินของมอนสเตอร์ที่ชั้นสองเองก็ยังได้ยินมาจนถึงชั้นหนึ่งเลย
แต่โดยปกติแล้วพิมไม่ใช่คนขวัญอ่อน เธอไม่ใช่คนตกใจง่าย ถ้าเทียบกับมาตรฐานของเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันคือเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าคนปกติหลายเท่าตัวแม้เทียบกับผู้ชายด้วยซ้ำ
ทั้งอย่างนั้น ตอนนี้เธอกลับหลบซ่อนอยู่หลังทัตด้วยเนื้อตัวสั่นระรัว กุมชายเสื้อเอาหน้าซุกแผ่นหลังเขาแน่นด้วยความกลัวที่จะเห็นและเก็บภาพซากศพอันน่าหวาดกลัวไว้ในความทรงจำ ท่าทางอ่อนแอแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้เห็นจากพิมบ่อย ๆ
อย่างน้อยครั้งล่าสุดที่ทัตเคยเห็น ก็เป็นตอนคืนแรกที่มอนเสอตร์มันบุกมานั่นแหล่ะ… แต่อย่างไรเสีย เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ทัตตระหนักได้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้เธอเข้มแข็งมากขนาดไหน เธอก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาอยู่ดี
“ฉันอยู่กับเธอนะพิม… ไม่ต้องเป็นห่วง” เพราะแบบนั้น เรื่องที่เขาควรทำก็มีแค่อย่างเดียว คือการขจัดความหวาดกลัวนั้นออกไป เป็นที่พึ่งให้ แล้วแทนที่ความหวาดกลัวนั้นด้วยความสบายใจ คงมีแค่นี้ที่เขามอบให้เธอได้
“อะ อืม… ขอบคุณมากนะทัต” แต่ดูเหมือนสำหรับเด็กผู้หญิงคนนึง… สำหรับพิมแค่นั้นก็มากเพียงพอแล้ว แม้ทัตจะยังคิดอยู่ว่าควรจะทำให้ดีกว่านี้
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของคนเราที่มีความโลภ โดยเฉพาะกับความต้องการที่อยากจะคลายความทรมานให้กับคนสำคัญ
…ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งที่สองสำหรับทัตแล้วก็ตาม
งั้นตอนนี้ คงต้องเดินดูดี ๆ หน่อยแล้ว
ทดแทนเรื่องนั้น ทัตเลยอาสาเดินนำตรวจสอบให้ก่อนเผื่อว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นอีก
และต้องขอบคุณที่ไม่มี… ทางเดินมีเพียงแค่คราบเลือดบางส่วนเท่านั้นที่เปราะพื้นและผนังแม้กระทั่งชั้นสองที่เป็นเป้าหมาย
พอพ้นบันไดขึ้นไป… เป้าหมายก็อยู่ในระยะสายตาพอดิบพอดี
รูปลักษณ์ของมันแตกต่างไปจากที่ทัตคาดเดาไว้จากเสียงเห่าหอน… ก็จริงที่พวกมันมีส่วนผสมของหมาป่าดังว่า แต่การยืนด้วยขาหลังสองข้างเหมือนมนุษย์ทำให้รู้สึกว่ามันแตกต่างจากหมาป่าทั่วไป
ไม่เพียงรูปลักษณ์ แต่ศักยภาพในการเคลื่อนไหว ความเร็วรวมถึงความชาญฉลาดดูท่าจะสูงกว่าหมาป่าทั่วไปโข และจำนวนของพวกมันคือ 3 ตัว
มนุษย์หมาป่า (LV-32)
ประเภท : Common
นั่นคือสิ่งที่สกิล ‘วิเคราะห์’ แสดงให้เห็นหลังทัตใช้กับพวกมันไปตัวนึง ชื่อก็สมแล้วกับลักษณะภายนอกของมันที่เหมือนกับที่เห็นในภาพยนตร์อยู่บ่อย ๆ
ตัวอื่นเองก็เลเวลประมาณนี้ และแน่นอนว่าเป็นมอนสเตอร์ธรรมดาทุกตัว
เลเวลของมันไม่ได้สูงไปกว่าเรามาก คงพอจะจัดการได้อยู่
…แต่พิมจะไหวรึเปล่าเนี่ยสิ
ทัตคิดอย่างกังวล เรื่องเลเวลของเธอก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่มากกว่านั้นน่าจะเป็นสภาพจิตใจที่ทำให้ทัตรู้สึกว่าเธออาจจะยังไม่พร้อม
“เธอจะพักก่อนก็ได้นะ” ทัตว่าไปแบบนั้น พิมที่หน้าซีดเผือกมาจนถึงเมื่อครู่ก็หันมาทางเขาสักพัก
ก่อนที่ใช้มือสองข้างตบแก้มตัวเองเสียแรง พริบตานั้นสายตาหดหู่ก็เปลี่ยนไปเป็นจริงจัง
“ฉันสู้ได้” แล้วเธอก็ว่ามาแบบนั้น อย่างไร้ความลังเล
เข้มแข็งจริงนะ… ให้ตายสิ
เห็นแบบนั้นทัตเลยยิ้มออกมาเพราะวางใจได้เปราะนึง และเพื่อตอบสนองใจสู้ของเธอเขาเองก็ปรับอารมณ์ตัวเองให้จริงจังและพร้อมสู้
ทางด้านของพิมเองก็ชักคาตานะออกจากฝักพร้อมสู้แล้วเช่นกัน
เพราะได้อาชีพผสานที่มีโบนัสเพิ่มเลเวลของสกิล เลยทำให้ตอนนี้สกิล ‘ผสานเวท’ เป็นเลเวล 2 ซึ่งตอนเลเวล 1 มันทำให้ฉันใช้เวทพร้อมกันได้ 2 อย่าง
นั่นหมายความว่าตอนนี้ฉันใช้เวทพร้อมกันได้ถึง 3 อย่าง!
คิดคร่าว ๆ ก็จะใช้เวทยิงระเบิดธาตุสายฟ้าให้พวกมันช็อตเหมือนเดิม
แล้วก็จะใช้เวทยิงธาตุไฟมาเคลือบหมัดข้างละอันรวมเป็น 3 อย่าง (น่าเสียดายที่มันไม่นับรวมเป็นเวทเดียวกัน เพราะตัวเวทไม่ใช่เนื้อเดียวกันน่ะนะ)
จริง ๆ เรื่องนั้นก็แก้ปัญหาด้วยการเคลือบเวทยิงใส่ทั้งตัวก็ได้อยู่
แต่เพราะเวทต้นฉบับมันเป็นเวทยิง เพราะงั้นถ้าโจมตีไปทีนึงไม่ว่าจะด้วยหมัดหรือเท้า เวทมนตร์ที่เคลือบอยู่ก็จะถูกปล่อยออกไปอยู่ดี
เพราะงั้น ถ้าอยากจะโจมตีได้หลายครั้งโดยที่เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า ก็ต้องแยกใช้เวทยิงธาตุไฟเคลือบให้หมัดแต่ละข้างแยกกันอยู่ดี
คิดได้ดังนั้นทัตก็ใช้เวลาร่ายเวท มีลูกบอลสายฟ้าปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
ด้วยความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter ของเขาในตอนนี้ จึงไม่จำเป็นต้องออกท่าทางในขณะร่ายอีกต่อไปแล้ว ซึ่งนั่นช่วยได้มากเพราะมันทำให้เขาร่ายเวทยิงธาตุไฟที่หมัดทั้งสองข้างไปพร้อมกันได้เลย และเพราะเลเวลสกิลของเวทยิงตอนนี้อยู่ที่เลเวล 3 ซึ่งใช้เวลาร่ายเพียงแค่ 3 วินาทีเท่านั้น ทุกอย่างเลยเร็วขึ้นมาก
“ฉันจะสตั้นมันก่อนเหมือนเดิม แล้วเธอก็เข้าไปฟันพวกมันให้ครบก่อน เสร็จแล้วก็รีบถอยออกมานะ”
“เข้าใจแล้ว” พิมพยักหน้าตอบรับอย่างแข็งขัน ตอนนี้สภาพจิตใจเธอกลับเป็นปกติแล้ว ดูท่าความเป็นห่วงของทัตจะเสียเปล่าซะแล้ว
ทั้งคู่หายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่ม เพราะรู้ว่าระหว่างที่สู้อยู่จะไม่มีโอกาสได้ทำ
แล้วพอทัตเห็นว่าพิมเตรียมพร้อมแล้ว เขาก็ยิงเวทสายฟ้าออกไป
เปรี้ยง!!!
เสียงดังลั่นราวฟ้าร้องเกิดขึ้นในพริบตาเดียวกันกับที่ศูนย์กลางลูกบอลสายฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าฟาดพุ่งเข้าใส่จุดกึ่งกลางของพวกหมาป่าด้วยความเร็วที่พวกมันไม่อาจโต้ตอบได้ทัน
พวกมันทุกตัวถึงชะงักไปในทันทีที่สายฟ้าขยายตัวกลายเป็นระเบิด
“ตอนนี้แหล่ะพิม!”
“อื้ม!”
พิมถีบพื้นเข้าไปใกล้พวกมันทั้งสามตัวแล้วจัดการวาดคมใส่ลำคอพวกมันไปตัวละทีจนโลหิตสาดกระเซ็น แม้จะไม่มากพอที่จะใช้ฆ่ามันได้ แต่นั่นก็มากเพียงพอแล้วเธอจึงถีบพื้นถอยกลับไปจุดเดิมที่ทัตอยู่ในทันทีตามแผนของทัต
และในเวลาเดียวกัน ทัตก็อาศัยจังหวะนั้นพุ่งสวนพิมผ่านไปเหมือนกับแปะมือเปลี่ยนตัวนักกีฬา
ตู้ม!!!
เอ๋ง!
ก่อนจะง้างหมัดซ้ายไปข้างหลังแล้วซัดเข้าใส่กลางท้องของมนุษย์หมาป่าตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดจนมันร้องออกมาดังลั่น มันกระเด็นไปไกลจนกระแทกเข้ากับผนังในสุดทางเดิน เพียงแค่หมัดเพียว ๆ ในตอนนี้ก็รุนแรงมากอยู่แล้ว พอมีเวทมนตร์เสริมพลังโจมตีเข้าไปด้วยเลยยิ่งทำให้รุนแรงเข้าไปอีก
เอ๋ง!
ทัตยังไม่จบแค่นั้น เขาเหวี่ยงหมัดขวาที่ยังเหลือเวทไฟเคลือบอยู่หลังแหวนใส่อีกตัวที่อยู่ข้าง ๆ จนร่างของมันอาบเปลวเพลิงก่อนจะกระเด็นไปกระแทกกับระเบียงแล้วตกลงไปข้างนอกเลยทีเดียวเชียว ดูท่าทุกอย่างจะราบรื่นกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ทัตเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกสะใจมากที่แก้แค้นมอนสเตอร์ตัวที่คล้ายกับตัวที่เคยกัดมือเขามาก่อนหน้านี้ได้สำเร็จ
“ร้องเป็นหมาเลยนะเฮ้ย”
“ก็มันเป็นหมานี่นา” แต่ก็ถูกพิมตบมุกกลับไปหนึ่งที ซึ่งก็ถูกของเธอ
หลังหัวเราะแห้ง ๆ ทัตก็พุ่งเข้าไปหาอีกตัวที่เหลือแล้วอัดหมัดใส่หน้ามัน
“หา!!?”
ทว่าหนนี้มันไม่ง่ายเหมือนสองตัวก่อนหน้านี้ เจ้ามนุษย์หมาป่าตัวนี้มันขยับหัวหลบหมัดของทัตได้ก่อนที่จะอัดโดน ถึงจุดนี้ทัตก็เข้าใจแล้วว่าก่อนหน้านี้มันไม่ได้ง่าย แต่เป็นเพราะพวกมันชะงักไปเพราะเวทสายฟ้าต่างหากเลยกลายเป็นเป้านิ่งให้เขาโจมตีโดน
และการที่เจ้าตัวนี้ขยับได้ ก็แสดงว่าผลของเวทสายฟ้าก่อนหน้านี้หมดไปแล้ว ทัตจึงรีบถีบพื้นกระโดดถอยหลังกลับไปอยู่กับพิมก่อน
“เธอพอจะถ่วงเวลาให้หน่อยได้ไหม ฉันขอเวลาร่ายเวท 3 วิ”
“ได้เลย!”
พิมตอบสนองทัตในทันทีด้วยการถีบพื้นพุ่งเข้าไปหาเจ้ามนุษย์หมาป่าแล้วรำดาบซัดกับกรงเล็บแหลมคมของมัน แม้เลเวลของพิมจะน้อยกว่ามันเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ต้องขอบคุณที่มนุษย์นั้นมีข้อได้เปรียบเรื่องสกิลเลยทำให้พิมพอจะสร้างความเสียหายของมันได้อยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็เสี่ยงอยู่เพราะสเตตัสที่ด้อยกว่าทำให้การโจมตีหนึ่งครั้งของมันอาจทำให้พิมได้รับบาดเจ็บสาหัสได้เลย
“อั๊ก!!!”
“พิม!”
เรื่องนั้นเกิดขึ้น ในจังหวะที่เจ้ามนุษย์หมาป่าหวดกรงเล็บเข้าใส่พิมเต็มแรง แม้เธอจะยกใบดาบขึ้นมาป้องกันได้ แต่แรงกระแทกก็ยังส่งเธอกระเด็นไปกระแทกกับขอบประตูห้องเรียนจนปูนแตกแถมกระเด็นเข้าไปในห้องอีกต่างหาก
“ไอ้เวรนี่!!!”
ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ!
เวทยิงสายฟ้าที่เตรียมไว้สองอันลอยอยู่ข้าง ๆ กับหมัดเพลิงในมือขวาตอบรับความโกรธของเขา
สายฟ้าอันหนึ่งถูกยิงใส่แถวเท้าของมันในทันทีที่การร่ายเวทเสร็จสิ้นเพื่อป้องกันไม่ให้มันเข้าไปโจมตีซ้ำพิมที่ตอนนี้อยู่ในห้องเรียน
แต่ดูเหมือนหนนี้จะไม่ง่ายเพราะมันเองก็อ่านเกมออกเลยกระโดดหลบออกไปด้านข้าง เห็นได้ชัดเลยว่าก่อนหน้านี้ที่เวทสายฟ้ามันได้ผลเป็นเพราะทัตใช้สกิลพรางกายร่วมด้วย
แต่… เรื่องนั้นทัตก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เขาร่ายเวทสายฟ้าไว้สองอัน
เปรี้ยง!!!
ด้วยเหตุนั้น… เวทสายฟ้าอีกอันถึงผ่าใส่เจ้ามนุษย์หมาป่าในจังหวะที่เท้าของมันยังลงไม่ถึงพื้นจนชะงักไป แล้วทัตก็อาศัยจังหวะนั้นถีบพื้นเข้าหามัน ร่นระยะห้าเมตรในหนึ่งวินาทีแล้วจัดการอัดหมัดขวาที่อาบเปลวเพลิงใส่หน้ามันอย่างจังจนกระเด็นไปไกล
แต่ทัตก็ไม่ได้วิ่งตามไปดูผลงานเพราะคิดว่าคงไม่แตกต่างจากเจ้าตัวแรกที่ถูกอัดเท่าไหร่
รวมถึงมีเรื่องที่ต้องสนใจมากกว่า เขาเลยวิ่งเข้าไปในห้องใกล้ ๆ นี้ก่อนที่จะสนใจเจ้ามนุษย์หมาป่าด้วยซ้ำ
“พิม! เป็นอะไรรึเปล่า!?” ทัตตะโกนลั่นด้วยความกลัว แต่ในจังหวะนั้นพิมที่นอนอยู่กับพื้นจนถึงเมื่อกี้ก็ค่อย ๆ ชันร่างตัวเองขึ้นมานั่งได้อยู่
“โอย เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย” เสร็จแล้วก็บ่นแบบนั้นยังกับคนแก่ ท่าทางเธอเหมือนไม่ได้เป็นอะไรมากก็จริง แต่ที่ทัตอยากรู้มากกว่าคือเธอได้รับบาดเจ็บรึเปล่าต่างหาก
“อย่าเพิ่งขยับตัวสิ”
“เอ๊ะ!?”
ทัตเริ่มใช้มือแตะที่ต้นแขนทั้งสองข้างของพิมเบา ๆ แล้วใส่แรงกดมากขึ้นเพื่อดูอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหรือกระดูก ซึ่งนั่นทำให้พิมสะดุ้งก็จริงแต่ไม่ได้เป็นเพราะเจ็บ
ทัตเลื่อนมือไปต่อไปโดยไม่สนใจความประหม่าของพิม… เขาสัมผัสแผ่นหลังของเธอในจุดที่กระแทกกับแผ่นปูน เสื้อนักเรียนส่วนแผ่นหลังของเธอขาดกระจุยไปจนเห็นผิวขาวนวลราวหิมะต้องแสงจันทร์ แต่ดูเหมือนตรงจุดนั้นจะไม่มีเลือดออกหรือแผลฟกช้ำอะไร
ถึงอย่างนั้นทัตก็ลองแตะ ๆ ดูก่อนว่ากระดูกสะบักได้รับความเสียหายอะไรไหมเพราะมันเป็นจุดที่โดนกระแทก ซึ่งพอเห็นว่าพิมยังนิ่งอยู่เขาก็เลยว่าใจได้เปราะหนึ่ง
“นะ นี่…” ก็จริงที่พิมไม่ได้แสดงอาการบาดเจ็บหลังถูกแตะตัว… แต่การทำแบบนั้นก็ทำให้เกิดสีแดงฉาบย้อมบนแก้มของพิมไปแทนอยู่ดี
เสียงพูดในลำคอประหนึ่งบ่นครางนั่นเบาเกินกว่าที่ทัตจะได้ยิน แม้จะอยากบอกให้ทัตหยุดมือเพราะเกรงว่าหัวใจเธอจะรับไม่ไหวเอาเสียก่อน ยิ่งเป็นตอนที่เขากำลังใช้สมาธิไปกับการดูแผลให้เธอเขายิ่งไม่ได้ยินเสียงเธอ
ตอนนี้ทัตเริ่มเลื่อนไปจับต้นขาทั้งสองข้างตามด้วยขาอ่อนของพิมยิ่งทำให้เธอเขินอายมากยิ่งกว่าเดิมอีก แต่พอเหลือบไปเห็นสีหน้าที่กำลังจริงจังของทัตเธอเลยพูดอะไรไม่ออก
เหตุการณ์ที่เอาแต่สนใจอาการบาดเจ็บจนลืมไปว่าทำอะไรเกินเลยกับอีกฝ่ายทำเอาพิมหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนปฐมพยาบาลให้ทัตตอนที่โดนผึ้งยักษ์ต่อยเอา หากแต่สถานการณ์ในตอนนี้มันกลับกันเท่านั้น
…แล้วดูเหมือนทัตเองก็เพิ่งจะนึกได้เหมือนกัน มือที่สัมผัสขาอ่อนของพิมอยู่เลยค่อย ๆ ผละออกมาเอง ตอนนี้กลายเป็นเขาด้วยแล้วที่ใบหน้าถูกย้อมเป็นสีแดงก่ำไปจนถึงหู
“…ขอโทษที” ทัตพูดได้แค่แบบนั้น ใบหน้าที่ก้มอยู่ไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวมองพิมในตอนนี้ด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร… หรอก…”
…แต่สำหรับเรื่องนั้น พิมเองก็ไม่ต่างกัน
ความจริงแล้วในจังหวะแบบนี้ ถ้าแสดงท่าทีหงุดหงิดออกไปเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่ทัตทำก็คงพอช่วยให้บรรยากาศมันดีขึ้นได้ แต่พิมก็ไม่กล้าจะทำแบบนั้นเพราะเป็นการหักหาญน้ำใจของทัตที่เป็นห่วงเธออย่างบริสุทธิ์ใจ (แม้การกระทำจะดูอุกอาจเกินไปหน่อยก็ตาม)
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทั้งสองคนนั่งนิ่งไปสักพัก รอให้บรรยากาศร้อน ๆ นี่ลดอุณหภูมิลงเอง
แต่อย่างไรก็ดี… ทั้งสองคนตระหนักอยู่แล้วว่าสถานการณ์ยังไม่ปลอดภัยเพราะตอนนี้ไม่ได้ใช้สกิลพรางกายอยู่ พวกเขาจึงรีบปรับลมหายใจเสียใหม่เพื่อให้บรรยากาศมันเย็นลงเร็วขึ้น
“จะ จะว่าไป เมื่อกี้เลเวลอัพขึ้นบ้างไหมพิม?”
“ชะ ใช่ ๆ! เมื่อกี้เลเวลอัพตั้ง 7 เวลเลยแน่ะ คงเป็นเพราะพวกมันเวลเยอะแน่เลย”
แต่ถึงจะอารมณ์เย็นลงแล้ว ปากก็ยังสั่นกันอยู่นิดหน่อยอยู่ดี ซึ่งเรื่องนั้นพิมเองก็เหมือนกัน
ให้ตายสิ… เมื่อกี้เกือบไปแล้ว
อยู่กับผู้หญิงน่ารักสองต่อสองแล้วยังไปทำแบบนั้นอีก ใช้ไม่ได้เลยเราเอ้ย!
…แต่ไอ้เรื่องน่าหวาดเสียวแบบนั้นคงต้องเอาไว้ก่อน
ยังไงก็ตาม… ดูเหมือนว่าการจัดการไอ้พวกมนุษย์หมาป่าไปจะทำให้พิมตอนนี้มีเลเวล 25 แล้ว
ฉันเองก็เลเวลอัพแล้วเหมือนกัน ตอนนี้เลเวล 34 แล้ว
แต้มที่ได้มาใหม่คือ 6 กับที่ยังไม่ได้อัพอีก 1 รวมเป็น 7 ซึ่งมากพอที่จะลองอัพให้ ‘Supporter’ เป็นเลเวล 11 เพื่อดูว่าจะมีอาชีพผสานเกิดขึ้นอีกไหมเลยล่ะ
นึกว่าจะไม่สำเร็จในวันนี้แล้วซะอีก… โชคดีจริง ๆ
ทัตรู้ดังนั้นก็ฉีกยิ้มออกมาเล็ก ๆ อย่างสบายใจ ตอนนี้บรรยากาศระหว่างเขากับพิมกลับมาเป็นปกติแล้ว
ได้จังหวะพอดิบพอดี ทัตก็เลยลุกขึ้นก่อน พร้อมกับที่เอื้อมมือไปทางพิมด้วย
“เอ้า ยื่นมือมา”
“สุภาพบุรุษจังเลยนะคะ แหม ๆ” พิมแอบหยอกแบบนั้นในขณะที่จับมือทัตให้เขาช่วยพยุงลุกขึ้น
ใจจริงพิมเองก็อยากหยอดให้หนักกว่านี้โดยยกเรื่องก่อนหน้านี้มาพูด เช่นว่า “ถึงก่อนหน้านี้จะเป็นโรคจิตฉวยโอกาสก็เถอะ” อะไรทำนองนั้น
…แต่ก็กลืนคำพูดพวกนั้นลงคอไปก่อน เพราะหากพูดอย่างนั้นออกมาบรรยากาศคงกลับมาแปลก ๆ อีกแหง ๆ
โดยเฉพาะพิมเอง เธอรู้สึกได้เลยว่าหากพูดแบบนั้นออกมา คงเป็นเธอเองที่เขินจนเก็บอาการไม่อยู่แทนแน่ ๆ
หลังตรวจเช็คสภาพอะไรหลาย ๆ อย่างไปแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องไปต่อ เพราะไม่รู้ที่นี่ยังมีพวกมันอยู่อีกไหม แต่ถ้ามีจริง ๆ พวกมันก็น่าจะปรากฏตัวออกมาแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยก็ต้องป้องกันไว้ก่อน
…ไม่มีจริง ๆ แฮะ
ทัตโผล่หน้าออกไปสำรวจตรงทางเดิน รวมถึงพยายามเงี่ยหูฟังทั้งชั้นบนและชั้นล่างต่างก็ไม่ได้ยินเสียงของตัวอะไรเลย จึงคิดว่าน่าจะวางใจได้มากพอควร
จะทั้งเรื่องที่ได้แต้มเลเวลมาอัพด้วยจำนวนที่พอดิบพอดี หรือเรื่องที่ไม่มีมอนสเตอร์โผล่ออกมาอย่างต่อเนื่องจนไม่ได้หยุดพักหายใจต่างก็ทำให้ทัตคิดว่าช่างโชคดีเหลือเกินที่อะไร ๆ ช่างราบรื่น
…นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในหนแรก
“ถ้างั้นเรามาพักรอให้สกิลพรางกายมันกลับมาก่อนค่อย————”
แต่ทัตคิดผิดถนัด รวมถึงพิมเองก็ด้วย…
เพราะในพริบตาที่คิดว่าสถานการณ์มันปลอดภัย ในจังหวะนั้นทั้งสองคนก็กลับได้ยินเสียงพูดคุยมาจากชั้นล่างนอกตัวอาคาร นั่นทำให้ทั้งสองคนหุบปากตัวเองลงในทันที ร่างกายเองก็แข็งทื่อไปเหมือนจำศีล
“เมื่อกี้นี้เสียงคนใช่ไหม?” พิมกระซิบถามทัตที่อยู่ใกล้ ทำให้เขาพยักหน้ารับเพราะมันคงไม่มีทางเป็นอื่นไปได้
ทัตรู้ดังนั้นเลยย่องออกจากห้องเรียนกลับมาอยู่ตรงทางเดิน และพยายามชะโงกหน้าขึ้นให้โผล่พ้นระเบียงเพียงเล็กน้อย ลงไปมองยังถนนทางเดินเท้าด้านล่าง ตรวจสอบเพื่อความแน่ใจเช่นเดียวกับที่พิมทำ
…และคำตอบก็เป็นอย่างที่ทั้งสองคนคาดการณ์
“เมื่อกี้ได้ยินเสียงดังมาจากทางนี้ใช่มะ?”
“ไม่ผิดแน่ ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็คงอยู่แถว ๆ นี้แหล่ะ”
บทสนทนาดังขึ้นจนได้ยินมาถึงชั้นบนที่ทัตกับพิมอยู่ ต้องขอบคุณความเงียบงันของบรรยากาศทำให้ได้ยินสิ่งที่พวกนั้นพูดอย่างชัดเจน
และด้วยมุมมองที่สูงกว่าทำให้ทัตกับพิมสังเกตรูปลักษณ์พวกเขาได้อย่างดี
กลุ่มคนดังกล่าวเป็นเด็กหนุ่มดูจากอายุน่าจะเป็นเด็ก ม.ปลายเหมือนกับทัตแต่ไม่แน่ชัดว่าอยู่ชั้นปีไหน เท่าที่เห็นจากการที่พวกเขาจับกลุ่มเดินด้วยกันตอนนี้มีอยู่ทั้งหมด 4 คน
ส่วนสูง หน้าตา ชุดลำลอง รวมถึงสิ่งที่ถืออยู่ในมือซึ่งน่าจะเป็นอาวุธประจำกายที่ใช้ป้องกันตัวเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน จุดร่วมของพวกเขามีแค่การสวมปลอกแขนสีแดงสดที่สะท้อนแสงได้
ใช้ปลอกแขนเพื่อระบุพันธมิตรสินะ… เจ้าพวกนี้ฉลาดดีนี่นา
แต่ว่า… แบบนี้ท่าไม่ดีแล้วสิ
ทัตคิดอย่างกังวลเพราะเข้าใจสถานการณ์ดี ไม่แม้แต่พิมเองก็ด้วยเธอถึงได้แสดงสีหน้าอย่างเดียวกันออกมา
การมีคนเหลือรอดมันไม่ใช่เรื่องแปลกทั้งสองคนเองก็รู้อยู่ แต่เพราะในสถานการณ์ที่ก่อนหน้านี้มีมอนสเตอร์ออกมาเพ่นพ่านและไล่กินคน มันจึงถือว่าค่อนข้างผิดปกติมากหากยังกล้าออกมาเดินกันอย่างโจ่งแจ้งอย่างนี้
หากอีกฝ่ายไม่โง่มากจนคิดไม่ได้… ก็คงเป็นเพราะมั่นใจ ว่าตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ที่มีมอนสเตอร์โผล่ออกมา
กล่าวคือมีความเป็นไปได้สูง ว่าคนพวกนั้นจะเป็นคนที่เกิด ‘การตื่น’ เหมือนทัตกับพิมนั่นเอง
❖❖❖❖❖