แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน – ตอนที่ 17 ใครจะรู้ว่าคนพวกนี้ทั้งหมด

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

ทันทีที่ฝ้ายปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องประชุม สายตาของทุกคนในห้องก็รวมกันมาที่ตัวเธอ นั่นคืออีกสิ่งที่ตอกย้ำว่าฝ้ายเป็นคนสำคัญสำหรับที่แห่งนี้

“หัวหน้าาาาาาา!”

แต่มีอยู่คนเดียวที่พุ่งเข้ามาหาฝ้ายด้วยใบหน้ายิ้มพริ้มคลั่งรักแทนที่จะทักทายแบบที่คนทั่วไปเขาทำกัน

คน ๆ นั้นคือมิ้นนั่นเอง เธอเอาหน้าพุ่งเข้ามาพร้อมกับยื่นมือเข้าหาสุดแรงหวังจะเข้าไปกอดฝ้าย

“หยุดเลยค่ะ!”

“อุบ”

พอฝ้ายเห็นแบบนั้นแล้วก็ทำหน้าเหนื่อยใจ ก่อนจะใช้มือขวาคว้าหน้าของมิ้นเอาไว้พร้อม ๆ กับแว่นของเธอเหมือนกับหยิบลูกบอลยังไงอย่างงั้น

ด้วยมือเล็ก ๆ ของฝ้ายไม่น่าจะทำอย่างนั้นได้ แต่ที่ทำให้ทัตกับพิมประหลาดใจมากกว่าจนได้แต่ยิ้มแหย ๆ คือท่าทีของพวกเขาที่มีต่อกันมากกว่า

“ใจร้ายจังเลยฝ้าย! ทำไมถึงไม่ยอมให้ฉันกอดล่ะ!” พอฝ้ายปล่อยมือทำให้มิ้นทำแก้มป่องเล่นแง่งอน แต่ที่ได้รับกลับมาจากฝ้ายคือสีหน้าโกรธกริ้วเหมือนยักษ์มารแทน

“คุณนั่นแหล่ะค่ะ! ฉันรู้เรื่องหมดแล้วว่าพี่ทัตกับพี่พิมเขากลายเป็นผู้มีพลังกันหมดเพราะคุณไม่คอยดูพวกเขาไว้น่ะ!”

ฝ้ายว่าแบบนั้นพร้อมกับชี้นิ้วอย่างหงุดหงิด ท่าทีอย่างนั้นไม่ได้มีให้เห็นบ่อย ๆ แม้แต่กับทัตเองก็ตาม เพราะเธอค่อนข้างเกรงใจและเคารพทัตด้วยสาเหตุบางอย่างไม่ใช่แค่เพราะเป็นพี่

แต่จะว่าไป ก่อนหน้านี้มิ้นบอกว่าหัวหน้าของเธอเป็นคนที่สั่งให้ดูแลพวกเรานี่นา

ถ้างั้นหัวหน้าที่ว่าก็คือฝ้ายเองล่ะสินะ…

ทัตปะติดปะต่อเรื่องราวเองจากคำพูดของทั้งสอง

ในจังหวะนั้นฝ้ายเองก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ก็เลยเหลือบมองทัตแวบนึง ดูเหมือนว่าเรื่องที่ต่อว่ามิ้นไปเธอจะไม่ต้องการให้ทัตรับรู้กระมัง เพราะอาจทำให้ทัตรู้สึกผิดที่ถูกปกป้องอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด 3 ปีนั่นแหล่ะ

ซึ่งพอคิดว่าตัวเองโมโหจนเผลอหลุดปากพูดเรื่องนั้นไปก็ทำให้ฝ้ายรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกัน

“กะ ก็แหม! พวกปลอกแขนแดงมันเริ่มอาละวาดไปทั่วอย่างที่เห็นไงคะ ฉันถึงต้องไปสืบเรื่องของพวกนั้นก่อนน่ะ! ฉันไม่ผิดน้า!”

“ให้ตายสิ คุณนี่มันจริง ๆ เลย…”

แต่ทางด้านของมิ้นเองก็เหมือนจะมีเหตุผลที่ฟังดูน่าเชื่อถือเหมือนกัน ฝ้ายฟังแล้วก็ไม่อาจต่อว่าอะไรเธอได้ แต่ส่วนหนึ่งมันอาจเป็นเพราะฝ้ายนึกถึงคำพูดของพิมก่อนหน้านี้ที่ว่า ‘โกรธเรื่องที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีประโยชน์’ ฝ้ายเลยพยายามลืม ๆ ความหงุดหงิดนี่ไปซะ

อย่างไรก็ดี… เหมือนว่าในที่แห่งนี้จะไม่ได้มีความเห็นไปในทางเดียวกันทั้งหมด

“เฮอะ! ผมว่าเรื่องนั้นคนที่ผิดคือคนที่ดูแลตัวเองไม่ได้ต่างหาก!”

คนแรกที่แสดงออกแบบนั้นคือเด็กหนุ่มสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาสีดำที่นั่งยกเท้าพาดโต๊ะประชุมอย่างสบายใจเฉิบไม่สนมารยาท แต่คิดว่าคนปกติคงไม่มีใครกล้าบ่นเขา เพราะบนโต๊ะข้างขาที่พาดอยู่มีดาบไทยใหญ่วางอยู่

“ฉันเห็นด้วยกับสิน… เราควรจะลำดับความสำคัญให้ถูกนะคะหัวหน้า” หญิงสาวที่ยืนกอดอกอยู่ตรงผนังเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

รูปร่างเธอดูสมส่วนและมีน้ำมีนวล ผมดำสั้นผิวสีคล้ำโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในชุดที่ดูเคลื่อนไหวสะดวก แต่ที่โดดเด่นมากกว่าน่าจะเป็นกระบองเหล็กที่วางพิงผนังอยู่ข้าง ๆ

“ใช่ไหมล่ะกิฟ! ถ้าดูแลตัวเองไม่ได้ก็อย่าหวังจะไปช่วยคนอื่นเลย ไม่เหมาะกับเซฟเวอร์หรอก!” เด็กหนุ่มคนเดิม… สินเอ่ยพลางยิ้มเยาะ เสนอทัศนคติส่วนบุคคลออกมาสมกับเป็นตัวเอง

“ก็แค่เรื่องนี้เท่านั้นแหล่ะย่ะ”

แต่ดูเหมือนเด็กสาว… กิฟจะไม่ค่อยสนใจที่จะต่อบทสนทนาด้วยเท่าไหร่ ไม่ได้เป็นเพราะไม่ชอบแต่อาจจะเป็นเพราะบุคลิกมากกว่า

“เรื่องนั้นไม่จริงหรอกนะ” อย่างไรก็ดี ใช่ว่าทุกคนจะเห็นต่างกับฝ้ายไปเสียหมด

“หน้าที่ของเซฟเวอร์คือการช่วยชีวิตผู้คนต่างหาก ถ้าจะพูดว่าให้ลำดับความสำคัญ ก็ต้องเป็นการช่วยเหลือผู้คนก่อนต่างหากถึงจะถูก”

อีกคนที่เห็นด้วยกับฝ้าย คือเด็กสาวที่ฟังจากเสียงกังวาลแล้วน่าจะเป็นเด็ก ม.ปลาย เธอสวมฮู้ดของเสื้อกันหนาวไว้ตลอดเวลาในขณะที่ลับคมมีดสั้นของตัวเองอยู่แม้แต่ตอนที่กำลังเข้าร่วมบทสนทนา

“ชิ! การจัดการภัยคุกคามเพื่อช่วยเหลือ หรือช่วยเหลือจากภัยคุกคามมันก็เหมือนกันนั่นแหล่ะเบล” สินเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ในทางกลับกันก็ทำให้เด็กสาวที่ถูกทำกิริยาไม่พอใจใส่… เบลใช้คมมีดสั้นในมือชี้ไปทางสินตอบกลับไปเหมือนกัน

“ไม่เหมือนกันเลยต่างหาก เพราะการเลือกที่จะทำอะไรก่อนนั่นแหล่ะคือตัวตัดสินว่าเราทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร”

ก่อนที่จะพูดเน้นย้ำความคิดของตัวเองให้ชัด ๆ จนอีกฝ่ายอย่างสินคิ้วกระตุก

ดูท่าว่าทุกคนในที่แห่งนี้จะมีแต่พวกไม่ยอมคน แถมยังไม่จบแค่นั้นด้วย…

“ถูกต้อง! ที่หัวหน้าทำคือจุดมุ่งหมายของเซฟเวอร์อยู่แล้ว มันจะเป็นเรื่องผิดไปได้ยังไง!”

อีกคนที่เห็นด้วยกับฝ้ายอย่างแข็งขันคือเด็กหนุ่มสวมแว่นที่ลุกขึ้นทุบโต๊ะจนหอกคู่กายที่พาดอยู่เอียงล้มลงไปเลย

แต่ถึงแม้จะเห็นด้วยกับฝ้ายก็ตาม ท่าทางของเขามันก็ดูคลั่งไคล้มากกว่าจะเห็นพ้องด้วยเหตุผล

“หุบปากไปเลยคิว แกก็แค่กระดิกหางให้หัวหน้าเฉย ๆ เพราะงั้นไม่ต้องมาเถียงด้วยเลย” เขาจึงถูกสินตอกกลับมาในบัดดล

“ว่ายังไงนะ!!? แล้วมันไม่ดีตรงไหนหา!?” และแน่นอน ถูกด่าซะสาดเสียเทเสียอย่างนั้นมีหรือจะยอมได้ เด็กหนุ่มสวมแว่น… คิวถึงทำท่าจะเดินเข้าไปหาสิน

“จะเอาเหรอวะ!?” และแน่นอนว่าหากนั่นเป็นคำท้าสินก็ไม่เกี่ยง เขาถึงยืนขึ้นเหมือนกัน

“ยะ อย่าทะเลาะกันเลยค่ะ… นะ นี่ไม่ใช่เวลามาทำแบบนั้นนะคะ!”

หากไม่ได้เด็กสาวอีกคนเอ่ยเตือนสติ พวกเขาก็คงจะซัดกันแล้ว แม้ทางด้านเด็กสาวที่เอ่ยทักเองก็กำลังกลัวเหมือนกันก็เถอะ แต่การกระทำก็ถือว่าน่าชื่นชมเอาการ

เธอเป็นเด็กสาวอีกคนที่อยู่ในห้อง จุดเด่นนอกเหนือจากชุดลำลองมิดชิด บุคลิกขี้กลัวและผมทรงบ็อบก็คือหน้าอกหน้าใจเกินขนาดมาตรฐานหญิงไทยไปไกลลิบ

“อย่างที่ลินดาว่านั่นแหล่ะนะจ๊ะ แถมพวกเราก็มีแขกด้วย… ทุกคนเป็นมืออาชีพกันกว่านี้หน่อยสิ”

“อึก… เข้าใจแล้วครับ”

“…”

ทั้งคำพูดของเด็กสาว… ลินดาและคุณหมอนิวช่วยทำให้สถานการณ์สงบลงโดยที่ฝ้ายไม่ต้องเข้าไปผสมโรง ต้องขอบคุณเรื่องนั้นคิวถึงได้เอ่ยอย่างรู้สึกผิดก่อนจะนั่งลง ส่วนสินที่ไม่ได้พูดอะไรเองก็ยอมนั่งลงแต่โดยดีเช่นกัน

“ขอบคุณมากเลยค่ะ” ฝ้ายเองก็เอ่ยขอบคุณทั้งสองเช่นกัน

พอทุกคนได้ยินเสียงของฝ้ายสายตาทุกคู่ก็รวมกลับมาที่เธออีกครั้ง รูปลักษณ์ของฝ้ายโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้วเพราะเป็นเด็กสาวต่างชาติที่ดูน่ารักน่าชังหรือจะมองว่างดงามกว่าใครก็ได้เหมือนกัน แต่เหมือนเหตุผลจะไม่ได้มีแค่นั้น

อย่างไรก็ดี สายตาของทุกคนในห้องเองก็เลื่อนมามองคนที่มากับฝ้ายอย่างทัตและพิมด้วยเช่นกัน

“ขอแนะนำให้รู้จักนะคะ… ทั้งสองคนนี้จะเป็นพวกของเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ” ฝ้ายเองก็สัมผัสสายตาและความสงสัยของทุกคนได้ เธอจึงเดินออกไปด้านข้างให้ทุกคนเห็นทัตกับพิมได้ชัดเจนก่อนจะเริ่มผายมือแนะนำตัว โดยเริ่มจากพิมก่อน

“สวัสดีค่ะ! ชื่อพิมค่ะ! ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ!” พิมเอ่ยพร้อมกับพนมมือระดับอกทักทายตามมารยาทสมกับที่เป็นคุณหนูผู้ดี

“ทัตครับ ฝากตัวด้วย”

ในขณะที่ทางด้านของทัตนั้นทักทายในระดับที่พอเป็นพิธี ก็จริงที่มันดูไม่เป็นทางการ แต่มันก็ไม่ได้ไร้มารยาทจนน่าเกลียดเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี… สายตาของทุกคนเลื่อนมาจับที่ทัตกันหมดหลังเขาแนะนำตัว ดูท่าพวกเขาจะสงสัยอะไรบางอย่างกันอยู่

“หมอนี่น่ะเหรอพี่ชายของฝ้าย… โคตรธรรมดา!” สินเอ่ยออกมาตรง ๆ หลังสังเกตทัตจากหัวจรดเท้า

นั่นไม่ได้ทำให้ทัตโกรธเลยสักนิดเพราะเป็นสิ่งเดียวกับที่เขาคิดเกี่ยวกับตัวเอง แต่กลับกันมันดันทำให้พิมที่อยู่ข้าง ๆ หงุดหงิดแทน รวมถึงฝ้ายด้วย

“ช่วยรักษามารยาทด้วยค่ะ ไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างที่คิดหรอกนะสิน”

“…คร้าบ ๆ”

พอถูกฝ้ายกล่าวเตือนสินก็ชะงักไปในบัดดล ถึงแม้ท่าทางจะเป็นแบบขอไปทีแต่ก็ดูสงบเสงี่ยมกว่าตอนที่เถียงกับคิวเมื่อกี้อีก เห็นได้ชัดเลยว่าฝ้ายมีอิทธิพลกับที่นี่พอสมควร

“มาสิจ๊ะ เลือกที่นั่งได้ตามสบายเลย”

“ขอบคุณมากเลยค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

อย่างไรก็ดี การยืนคุยกันอยู่ตรงนี้มันคงไม่ดีเท่าไหร่ คุณหมอนิวก็เลยชวนให้ทั้งสามคนหาที่นั่ง

ฝ้ายเลือกตำแหน่งหัวโต๊ะประชุมดั่งประธาน แต่ด้วยสถานะของเธอก็คงเป็นเรื่องธรรมดาแถมไม่มีใครคัดค้าน คิดว่านี่น่าจะเป็นที่นั่งปกติของเธอ

ส่วนทัตที่ไม่รู้จะไปนั่งที่ไหนเลยนั่งฝั่งขวาของฝ้ายใกล้ ๆ กับเธอ ส่วนพิมนั่งถัดจากทัตไป เพราะสำหรับพวกทัตแล้ว ในสถานที่แห่งนี้คนที่ไว้ใจได้จากใจจริงก็มีแค่ฝ้ายคนเดียว

“เดี๋ยว ๆ ไม่ใกล้เกินไปหน่อยเหรอครับคุณพี่ชาย” แต่ดูเหมือนจะมีคนไม่พอใจอยู่ คน ๆ นั้นคือคิวที่เป็นเด็กหนุ่มสวมแว่น แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนจะอิจฉามากกว่า

“ใครจะนั่งตรงไหนก็ได้ค่ะ ไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วเหรอคะ?”

“อือ… เข้าใจแล้วครับ”

คิวได้ยินฝ้ายตอบกลับอย่างราบเรียบแลดูเย็นชาถึงกับทำให้น้ำตาตกใน ครั้นจะไปนั่งฝั่งตรงข้ามของทัตเพื่อให้ใกล้กับฝ้าย ที่ตรงนั้นก็มีคุณหมอนิวกับมิ้นนั่งอยู่ก่อนแล้ว

ความไม่พอใจนั่นเลยทำให้คิวทำตาเขม่นเหมือนจะแยกเขี้ยวใส่ทัต

ไม่ใช่ความผิดของฉันซะหน่อย

ทัตคิดแบบนั้นแต่ก็ได้แค่ถอนหายใจและหลบตาออกไปจากเด็กหนุ่มชื่อคิวคนนั้น เขาไม่อยากจะเป็นที่จับตาของใครเพราะมันอาจสร้างปัญหาให้ฝ้ายได้

“ก่อนอื่น… เริ่มจากอธิบายสถานการณ์ให้พี่ทัตกับพี่พิมเข้าใจก่อนดีไหมคะ”

“นั่นสินะจ๊ะ”

คุณหมอนิวเห็นด้วยกับฝ้าย และดูเหมือนเดิมทีนั่นจะเป็นสิ่งที่คุณหมอนิวตั้งใจจะทำอยู่แล้วด้วย

นั่นเพราะในมือของเธอมีแท็บเล็ตที่เชื่อมอยู่กับจอโปรเจคเตอร์แบบไร้สายอยู่ เห็นได้ชัดว่าเธอเตรียมพร้อมมาแล้วสำหรับเรื่องนี้

“ก่อนอื่น… ผมอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนได้ไหมครับ”

“แหม ได้สิจ๊ะ”

พอได้ยินคำขอของทัต คุณหมอนิวก็ตอบรับคำขอนั้นในทันที อีกครั้งที่ทำให้ทัตกับพิมคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนใจดีเอาเรื่อง

แล้วจากนั้น… การอัพเดทข้อมูลให้ทัตกับพิมรู้ในสิ่งที่ควรรู้ก็เริ่มขึ้น

“อย่างที่พวกเธอรู้… ว่าจริง ๆ แล้วโลกนี้มีกลางคืนสองหน โดยคืนแรกจะมีมอนสเตอร์ปรากฏตัวออกมา ส่วนคืนที่สองจะเป็นกลางคืนปกติที่เราใช้ชีวิตกัน” หมอนิวเริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่ทัตกับพิมรู้อยู่ก่อนแล้ว

“แต่พวกเราไม่รู้หรอกนะจ๊ะว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงหรือเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่… อย่างน้อย ๆ ก็รู้แค่ว่าเกิดขึ้นมานานมากแล้ว” หมอนิวพูดล่วงหน้าเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าทัตกับพิมต้องถาม

แต่คำว่านานแล้วมันก็นำมาซึ่งคำถามอยู่ดี…

“ขอถามหน่อยนะคะ… นานแล้วที่ว่านี่หมายถึง สิบปี ร้อยปีเหรอคะ? หรือว่า…” คนที่ถามออกมาก็คือพิม และนั่นเป็นสิ่งที่ทัตสงสัยเหมือนกัน เขาถึงได้มองตามพิมก่อนที่จะหันไปเฝ้ารอคำตอบจากหมอนิว

“เราก็มีบันทึกไว้แค่ในช่วงไม่กี่สิบปีนี่แหล่ะจ่ะ… แต่จากคำบอกเล่า คิดว่าคงจะนานกว่านั้นมาก เผลอ ๆ อาจจะเป็นแบบนี้มา ‘ตั้งแต่แรก’ แล้วก็ได้”

คำตอบของหมอนิวทำให้ทัตกับพิมขมวดคิ้ว

อย่างนี้ แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่ใช่สิ่งผิดปกติ แต่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นงั้นเหรอ?

ถ้ามันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ก็แสดงว่ามันเป็นของที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่โลกถือกำเนิดขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้อย่างนั้นสินะ

ในระหว่างที่ทัตกำลังคิดแบบนั้น ภาพบนโปรเจคเตอร์ที่เป็นแค่พื้นหลังสีขาวก็ถูกเปลี่ยนประกอบการอธิบาย นั่นทำให้ทัตกับพิมหันไปสนใจคำพูดของคุณหมอนิวอีกครั้ง โดยจำต้องทิ้งข้อสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้เอาไว้ก่อน

“พวกเธอสังเกตรึเปล่าว่ามอนสเตอร์ที่ปรากฏขึ้นมาในแต่ละวันและแต่ละที่มันไม่เหมือนเดิม” แต่คนที่เอ่ยถามกลับเป็นมิ้นที่อยู่ข้าง ๆ แทน

“ใช่… เรื่องนั้นมีความหมายอะไรรึเปล่า หรือว่ามีกฎการสุ่มในการปรากฏตัวแต่ละครั้งไหม?” นั่นเป็นสิ่งที่ทัตสงสัยมาตลอดเหมือนกัน เขาถึงตอบกลับและหวังว่าจะได้คำตอบ

“น่าเสียดายนะจ๊ะ แต่มอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวในแต่ละคืนและแต่ละที่ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการสุ่มแบบไม่มีหลักการเลย”

“อย่างงั้นเหรอครับ…” ทัตทำเสียงผิดหวังนิดหน่อย เพราะถ้ารู้ล่วงหน้าว่ามอนสเตอร์แบบไหนจะปรากฏตัว มันจะอำนวยความสะดวกได้มาก

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์เสียทีเดียว… ทัตเดาเอาจากข้อมูลที่ฉายบนโปรเจคเตอร์ล่วงหน้าแล้วคิดแบบนั้น

“แต่ถึงเราจะไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรออกมา แต่อย่างหนึ่งที่พอจะคาดเดาได้คือจำนวนและเลเวลนะจ๊ะ” คุณหมอนิวเอ่ยอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับที่ทัตเป็น เพราะนั่นแหล่ะคือสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด

“จำนวนของมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวในบริเวณนั้นจะขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของมนุษย์ที่อยู่แถวนั้น ส่วนเลเวลของมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวจะยึดจากตำแหน่งของผู้มีพลังที่เกิดการตื่นเป็นจุดศูนย์กลาง แถว ๆ นั้นก็จะมีแต่มอนสเตอร์ที่มีเลเวลใกล้เคียงกับผู้มีพลัง แต่ถ้าเดินออกจากจุดศูนย์กลางนั้นไปเรื่อย ๆ เลเวลของมอนสเตอร์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกันแหล่ะจ่ะ นอกจากนี้… หากบริเวณนั้นเป็นบริเวณที่เป็นพื้นที่ทางทหารที่มีอาวุธหรือกำลังรบของมนุษย์ที่มีความแข็งแกร่งกว่าปกติ เลเวลของมอนสเตอร์บริเวณนั้นก็จะสูงมากกว่าปกติตามไปด้วย นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ตำรวจหรือทหารมักจะถูกฆ่าตายเป็นอันดับแรก ๆ น่ะจ่ะ”

คุณหมอนิวเอ่ยพร้อม ๆ กับใช้พอยเตอร์ชี้บนโปรเจคเตอร์

เนื้อหาบนโปรเจคเตอร์ด้านหน้าของทุกคนแสดงภาพมนุษย์ก้างปลาพร้อมระบุเหนือหัวว่าเลเวล 10 โดยมีพื้นหลังของตัวละครดังกล่าวเป็นวงกลมขนาดต่าง ๆ เหมือนกระดานปาเป้า แต่สิ่งที่ถูกเขียนแทนแต้มตั้งแต่ในสุดจนถึงวงนอกสุดคือเลเวลของมอนสเตอร์ที่อาจปรากฏตัว ตั้งแต่ 10, 20 จนถึงวงนอกสุดที่มีเลเวลสูงถึง 30

อย่างนี้นี่เอง… ถ้าคิดแบบนั้นก็สมเหตุสมผลแหล่ะ

แถมเรื่องที่สงสัยมาตลอด ว่าทำไมพวกตำรวจหรือทหารถึงไม่มีชีวิตรอดหรือมีประกาศช่วยเหลือประชาชนอะไรเลยหลังเกิดเรื่องก็คงเป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง

แต่ว่า… ยังมีอีกเรื่องที่สงสัย

“แล้วถ้ามีผู้มีพลังหลายคนอยู่ด้วยกัน เลเวลของมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวขึ้นจะเป็นยังไงครับ?”

“ถามได้ดีนี่จ๊ะ… กรณีนั้นเลเวลของมอนสเตอร์จะเป็นการเฉลี่ยจากเลเวลของผู้มีพลังที่อยู่ใกล้ ๆ กันแทนจ่ะ ส่วนกรณีที่ผู้มีพลังอยู่ในละแวกเดียวกัน วงกลมของเลเวลมอนสเตอร์ก็จะถูกปรับให้เป็นค่าเฉลี่ยที่สมดุลกับทั้งสองคน”

“อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณครับ”

ทัตพยักหน้ารับก่อนจะกลับมาครุ่นคิด

แสดงว่าเลเวลของมอนสเตอร์จะแปรผันโดยตรงกับเลเวลของผู้ที่เกิดการตื่นทุกคน

ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะมั่นใจได้หน่อยว่ามอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวจะยุติธรรมกับเรา

แต่ถ้าเกิดว่ามีผู้ใช้พลังคนอื่นที่เลเวลสูงกว่าเรามาก ๆ ค่าเฉลี่ยก็อาจเปลี่ยนได้ แต่นั่นมันก็ในกรณีที่เราออกล่าจากจุดศูนย์กลางในตอนที่กลางคืนเริ่มขึ้นแหล่ะนะ

แถมถ้าเกิดออกล่าแล้วเลเวลของมอนสเตอร์สูงกว่าที่ควรจะเป็น ก็เดาได้เลยว่ามีผู้มีพลังเลเวลสูงอยู่ในทิศทางที่เรากำลังจะไป

แบบนั้นก็สะดวกดีเหมือนกันแฮะ

“แต่เดี๋ยวก่อนนะคะ! จำได้ว่าวันแรกที่เกิดเรื่อง เราเจอมอนสเตอร์ที่มีเลเวลตั้ง 20 กว่าเลยไม่ใช่เหรอ? ทั้งที่ทัตในตอนนั้นพึ่งมีเลเวล 2 เอง” ในระหว่างที่ทัตหาข้อสรุป เหมือนว่าพิมเองก็มีคำถามใหม่เหมือนกัน และนั่นดึงดูดความสนใจของทัตมากเพราะเขาเองก็สงสัยเหมือนกัน

“หมายถึงเจ้าบอสผึ้งยักษ์นั่นสินะ จะว่าไปก็จริงแฮะ… เรื่องนี้มีคำอธิบายรึเปล่าครับ?”

“พวกเธอเจอบอสในวันแรกเลยเหรอเนี่ย? รอดกันมาได้ไงถามจริง?”

พอได้ยินทัตพูดอย่างนั้นมิ้นก็เหวอไปแวบนึงเลย ไม่สิ… คนอื่นรวมถึงคุณหมอนิวเองก็ด้วย

“คงฟลุ๊คล่ะสิ แต่ก็เอาเถอะ” สินว่าอย่างนั้นเหมือนเคย ดูท่าจะไม่มีความคิดที่จะยอมรับในตัวของทัตกับพิมในเร็ว ๆ นี้ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทนได้

“ฟลุ๊คที่ไหนกันเล่า! เมื่อวานทัตเค้ายังเอาชนะผู้มีพลังคนอื่นที่มีเลเวล 50 ได้ตั้งสามคนพร้อมกันเชียวนะ ทั้งที่ตัวเองเลเวลแค่ 30 กว่าด้วยซ้ำ!” อย่างน้อยก็สำหรับพิมเพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาพูดจาเสียมารยาทกับทัต แต่สิ่งที่เธอพูดมันก็ยากจะเชื่ออยู่

“โม้แล้ว! ไอ้แบบนั้นมันจะเป็นไปได้ได้ยังไง!?”

“นั่นสิ… ถึงจะเป็นพี่ของหัวหน้าก็เถอะครับ โม้ให้มันน้อย ๆ หน่อย!” กิฟกับคิวเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ไม่สิ… ดูท่าแล้วไม่น่าจะมีใครเชื่อด้วยซ้ำ

“ฉันไม่ได้โกหกซะหน่อยนะ!”

แต่พิมก็ยังพยายามยืนกรานแบบเดิมอยู่ เธอรู้สึกยอมไม่ได้ที่จะมีใครมาดูถูกทัต แม้เรื่องนั้นจะทำให้ฝ้ายรู้สึกอย่างเดียวกัน แต่อย่างน้อยเธอก็เยือกเย็นพอที่จะไม่แสดงอารมณ์ออกมามากเกินควร อาจเป็นเพราะเธอไม่อยู่ในสถานะที่ควรเข้าข้างทัตเองก็ด้วย

แต่ถึงแบบนั้น ฝ้ายก็ยังเลื่อนสายตามองทัตเหมือนกับต้องการจะขอโทษแทนพวกที่หาเรื่องทัตอยู่เหมือนกัน

“ช่างเถอะพิม ไม่เป็นไรหรอก” ทัตเองก็เข้าใจสถานการณ์ รวมถึงรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงด้วย เขาก็เลยไม่คิดจะแก้ต่างให้ตัวเอง

“…เข้าใจแล้วก็ได้”

พิมเห็นแล้วดังนั้นจึงเชื่อฟังทัตแต่โดยดี เธอคิดว่าถ้าทัตยอมรับให้เป็นแบบนี้ตัวเธอก็ควรจะยอมรับเหมือนกัน

“แล้ว… เรื่องที่ว่ามีบอสเลเวล 20 กว่าปรากฏตัวขึ้นทั้งที่ผมมีเลเวลแค่ 2 นี่มันยังไงกันเหรอครับ?” ทัตจึงดึงการสนทนากลับมา คุณหมอนิวเองก็อ่านสถานการณ์ออกเธอเลยฟอลโลว์ตามทัตในทันที

“จะว่ามันเป็นข้อยกเว้นก็ได้… ดูเหมือนมอนสเตอร์ประเภทอื่นนอกเหนือจาก ‘Common’ แล้วจะไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของการคำนวณน่ะจ่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ” ทัตขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ความอันตรายที่คาดเดาไม่ได้ก็ยังคงมีอยู่

“จะว่าไปก็พอดีเลยค่ะ… อธิบายเรื่องประเภทของมอนสเตอร์ทั้งหมดให้พวกพี่ ๆ เขารู้เลยก็ดีนะคะ”

“นั่นสินะจ๊ะ”

ฝ้ายเล็งเห็นจังหวะที่จะชี้แจงเรื่องสำคัญอีกเรื่องจึงเปิดนำมาแบบนั้น และแน่นอนว่าคุณหมอนิวเองก็เห็นด้วย เธอถึงเปลี่ยนภาพบนจอโปรเจคเตอร์เป็นอีกภาพ

และทัตก็ต้องขอบคุณน้องสาวของเขาอีกครั้ง เพราะนั่นคือหนึ่งในเรื่องที่ทัตอยากรู้ที่สุด

“ได้ยินว่าเธอมีสกิลวิเคราะห์มาจากมิ้นแล้วล่ะ… เพราะงั้นคิดว่าเธอคงจะได้เจอมอนสเตอร์ประเภท ‘Common’ ที่เป็นประเภททั่วไปมากที่สุดแล้วสินะ”

“ใช่ครับ” ทัตเอ่ยพร้อมกับพยักหน้ารับคุณหมอนิว

“พูดง่าย ๆ มอนสเตอร์ประเภท ‘Common’ ก็คือมอนสเตอร์ธรรมดาทั่วไปนี่แหล่ะจ่ะ… ส่วนมอนสเตอร์ประเภทที่สองคือ ‘Boss’ ที่จะปรากฏตัวขึ้นแบบสุ่มไม่มีหลักการของจริง เป็นตัวหัวหน้าของมอนสเตอร์ทั่วไป เพราะงั้นถ้าเจอมอนสเตอร์รูปแบบเดียวกันเยอะ ๆ ก็เกือบจะเดาได้เลยล่ะจ่ะว่าแถว ๆ นั้นต้องมีบอสแน่นอน”

เข้าใจล่ะ… นั่นเป็นเหตุผลที่มีพวกผึ้งอยู่เยอะแถว ๆ บอสผึ้งยักษ์สินะ

“แล้วก็นอกจากนี้ ความร้ายกาจของบอสมอนสเตอร์ก็คือมันสามารถใช้เวทมนตร์ได้ สั่งมอนสเตอร์ที่มีรูปแบบเดียวกันให้ทำตามคำสั่งได้ แม้การโค่นมันจะทำให้ได้รับฉายาที่จะเพิ่มสเตตัสพื้นฐานก็ตาม แต่ในอีกแง่นึงมันก็เสี่ยงอยู่ดี เพราะงั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ทำซะเถอะนะจ๊ะ”

“นั่นสินะครับ” ทัตไม่เถียงในเรื่องนั้นเพราะเกือบตายมาแล้วก็เพราะเวทลมของเจ้าผึ้งยักษ์นั่น

ถึงลึก ๆ แล้วทัตก็รู้สึกว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยงอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมาแต่อย่างใดเพราะคงจะทำให้พิมกับฝ้ายเป็นห่วงไปซะเปล่า ๆ

“กับมอนสเตอร์อีกประเภทนึงที่ทุกคนต้องเจอเป็นครั้งแรก แต่อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่รู้จัก นั่นก็คือมอนสเตอร์ประเภท ‘Ticket’ ” พอคุณหมอพูดถึงตรงนั้น ทัตกับพิมก็ตั้งใจฟังอีกเท่าตัว เพราะนี่เป็นมอนสเตอร์ที่พวกเขาสงสัยมาตลอดว่าคืออะไรกันแน่

“พวกเธอคงจำได้สินะว่าในตอนแรกที่เกิดการตื่นขึ้น พวกเธอได้ฆ่ามอนสเตอร์ที่ดรอปอัญมณีสีเขียวออกมา” ในขณะที่พูด คุณหมอนิวก็เปลี่ยนภาพบนโปรเจคเตอร์เป็นภาพของอัญมณีสีเขียวที่มีรูปร่างดูคุ้นเคย

“ใช่ครับ”

“ตามนั้นเลยค่ะ”

และแน่นอนว่าคำตอบคือใช่… นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะลืมได้เลย เพราะถ้าไม่ได้เป็นเพราะมัน ทั้งทัตและพิมก็คงไม่ได้ตกลงมาสู่วังวนการต่อสู้อันไร้จุดจบและไร้เหตุผลนี้หรอก

“เจ้ามอนสเตอร์ประเภทนี้เป็นมอนสเตอร์พิเศษ เพราะสามารถเป็นได้กับทั้งประเภท ‘Common’ และ ‘Boss’ ”

เข้าใจล่ะ… นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เจ้าบอสผึ้งมันเป็นทั้ง ‘Boss’ และ ‘Ticket’ ในเวลาเดียวกันสินะ

ทัตเข้าใจอะไรมากขึ้นหลังได้ยินคำอธิบาย อย่างน้อยก็มั่นใจได้แน่แล้วว่าการจะหาอัญมณีสีเขียว ต้องได้มาจากการโค่นมอนสเตอร์ประเภท ‘Ticket’ ไม่ใช่‘Boss’

“มอนสเตอร์ที่เป็นประเภท ‘Ticket’ หากมันเป็นบอสจะทำให้บอสตัวนั้นแข็งแกร่งกว่าปกติสองเท่า ถ้าเกิดกับมอนสเตอร์ทั่วไปจะทำให้มอนสเตอร์ตัวนั้นใช้เวทมนตร์ได้เหมือนบอสเลยล่ะจ่ะ แต่แลกกับความยากในการกำจัด ถ้ากำจัดมันได้จะได้รับค่าประสบการณ์เป็นสองเท่าเลยล่ะจ่ะ” คุณหมอนิวว่าแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ แต่ทัตเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารอยยิ้มนั้นหมายความว่ายังไง

“หนูเองก็อยากจะบอกอยู่นะคะว่าให้หลีกเลี่ยงพวกมันเพราะอันตรายกว่าบอสซะอีก… แต่สำหรับคนที่ฆ่ามันได้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีพลัง อาจจะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นก็ได้ล่ะมั้งคะ”

ฝ้ายว่าแบบนั้นแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ อย่างเดียวกับที่คุณหมอนิวทำ ถึงตอนนั้นทัตก็เข้าใจว่าทั้งสองคนพยายามแสดงความเป็นห่วงแก่ทัต แต่มันอาจเกินความจำเป็นสำหรับเขาที่เคยจัดการมันไปแล้วก็เลยไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรดี

นั่นเป็นความหมายเบื้องหลังรอยยิ้มแห้ง ๆ ของพวกเธอ

อย่างไรก็ดี… กับมอนสเตอร์ทั้งสามประเภทที่ทัตเคยเจอมาก่อนและเคยตึงมือเอาเรื่อง เหล่าผู้คนที่อยู่ในห้องนี้กลับไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องกังวล

“เอาเถอะ… ถ้าเทียบกับ ‘Chivalry’ แล้ว มอนอย่างอื่นมันก็แค่หมูหมากาไก่นั่นแหล่ะ”

“…นั่นสินะ พูดแล้วก็ไม่อยากจะเจอเลยแฮะ”

สินยังคงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเหมือนเคย แต่น่าแปลกที่เบลกลับหยุดมือที่ลับคมมีดอยู่มาออกความเห็นด้วย แม้แต่คนที่ไม่ได้พูดอะไรเอง พอได้ยินชื่อของมอนสเตอร์ดังกล่าวแล้วก็หน้าถอดสีกันไปหมด ที่เห็นได้ชัดที่สุดน่าจะเป็นลินดาที่ขี้กลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ใบหน้าของเธอถึงกับซีดเผือกไปหมด

‘Chivalry’ งั้นเหรอ…

ถึงจะได้ยินมาจากเจ้าหนุ่มสวมแว่นมาทีนึงตอนที่เห็นฝ้ายใช้ท่าแปลก ๆ ตอนขู่พวกปลอกแขนแดงมาทีนึงแล้วก็เถอะ

แต่นี่มันยังไงกันนะ…

ทัตที่สังเกตท่าทางของทุกคนแล้วไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวมากไปกว่าความสงสัย ต่างกับพิมที่รู้สึกกังวลขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำหลังเหลียวมองไปสังเกตสีหน้าคนในห้อง

แต่ที่ทัตทำ กลับเป็นแค่การเลื่อนสายตาไปมองฝ้ายประหนึ่งเร่งเร้า เพราะการที่ทัตจะตัดสินใจว่ามันเป็นตัวอันตรายจริงไหมก็ต้องทำหลังจากที่รู้ข้อมูลของมันก่อน

พี่นี่เข้มแข็งจริง ๆ เลยนะคะ

ฝ้ายเองก็สบกับสายตาที่ไร้ความหวาดกลัวของทัตเหมือนกัน เธอเองก็อยากจะเอ่ยชมออกมา แต่เธอก็ไม่อยากแสดงด้านนั้นของตนออกมามากเกินไป

จึงสนองทัตด้วยการให้เขารู้ในสิ่งที่อยากรู้โดยเร็วแทน

“พี่ทัตรู้ไหมคะว่าอัตราส่วนของเลเวลแต่ละคนในเซฟเวอร์เป็นเท่าไหร่” ฝ้ายเริ่มเกริ่นจากสิ่งนั้นก่อน

“แน่นอนว่าไม่รู้หรอก” ทัตเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ฝ้ายถึงพูดเรื่องนั้นออกมา แต่คิดว่าคงเกี่ยวข้องกับมอนสเตอร์ประเภทดังกล่าวเขาเลยปล่อยให้เธอพูดต่อ

“ในบรรดาสมาชิกราว ๆ สามพันกว่าคน… เกินกว่าครึ่งหนึ่งนั้นมีเลเวลต่ำกว่า 50 ส่วนอีกประมาณสองในสิบหรือประมาณ 500 คนนั้นมีเลเวลต่ำกว่า 70 และมีแค่เกือบ ๆ ร้อยคนเท่านั้นที่ไปถึงเลเวล 80-90” พอฝ้ายพูดถึงตรงนั้น เหมือนคนในห้องนี้จะแสดงสีหน้ารู้สึกผิดหรือไม่ก็เจ็บใจโดยนัยยะบางอย่างออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทัตและพิมยังไม่เข้าใจ

“แต่ในบรรดานั้น มีแค่ 7 คนเท่านั้นที่ก้าวไปถึงเลเวลที่สูงกว่า 100 ได้ค่ะ”

“…แค่ 7 คนอย่างนั้นเหรอ”

“เหลือเชื่อเลยนะเนี่ย”

ทัตกับพิมแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของฝ้าย แต่เธอคงไม่โกหกในเวลาอย่างนี้หรอก ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังของฝ้ายเองก็รู้

“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นกันล่ะ” ทัตเอ่ยถาม นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกังวลก่อนจะได้ฟัง

“เหมือนกับตอนที่เราได้ปลดล็อคเป็นเลเวล 1 หรือก็คือเกิดการตื่นจากการฆ่ามอนสเตอร์ประเภท ‘Ticket’ หากต้องการจะปลดล็อคเป็นเลเวล 101 ก็ต้องฆ่ามอนสเตอร์ประเภทหนึ่งก่อน และนั่นก็คือมอนสเตอร์ประเภท ‘Chivalry’ นั่นเองค่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง”

ทัตพยักหน้ารับในทันทีเหมือนกับที่พิมทำ เพราะมันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายกว่าที่คิด

แต่มันก็ยังไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมทุกคนถึงได้กลัวขนาดนั้นในตอนที่พูดถึงมัน และคนที่อธิบายเรื่องนั้นก็คือคุณหมอนิวอีกครั้ง

“โดยปกติมอนสเตอร์ทั้งสามประเภทก่อนหน้านี้ หากพวกมันมีเลเวลสูงกว่า 50 พวกมันจะเริ่มมีสกิลแบบเดียวกับที่เรามีด้วย แม้จะไม่เยอะเท่ากับเราก็เถอะนะจ๊ะ”

คำอธิบายของคุณหมอนิวทำให้ทัตนึกย้อนกลับไปยังคืนเมื่อวานที่ได้เจอกับมอนสเตอร์ราชามนุษย์หมาป่า เพราะตัวมันเองก็มีสกิลซึ่งเป็นสิ่งที่ทัตไม่เคยเห็นมาก่อนจากมอนสเตอร์ตัวอื่น

และดูท่าว่าเจ้า ‘Chivalry’ ที่ทุกคนหวาดกลัวจะอยู่เหนือกว่านั้น

“ส่วนมอนสเตอร์ประเภท ‘Chivalry’ นั้นเป็นมอนสเตอร์ที่มีลักษณะเฉพาะคือ คล้ายกับอัศวินสวมเกราะร่างยักษ์ เลเวลของมันจะสูงมากกว่า 100 และปรากฏตัวกับคนที่มีเลเวล 100 ขึ้นไปเท่านั้น”

“หมายความว่ามันจะปรากฏตัวขึ้นแล้วล่าคนที่มีเลเวลเต็ม 100 เท่านั้นงั้นเหรอครับ?” ทัตเอ่ยถามอย่างเกรง ๆ

“ไม่เลยจ่ะ… มันก็เหมือนกับมอนสเตอร์ประเภทอื่น มันทำลายทุกอย่างไม่เว้นเลย แถมเจ้าตัวนี้ยังร้ายกาจกว่าด้วย เพราะสำหรับมอนสเตอร์ที่มีเลเวลสูงกว่า 100 จะไม่ได้มีแค่สกิลอย่างเดียว แต่จะมีอาชีพเป็นของตัวเองเหมือนกับพวกเราเลย แถมการโจมตีของมันยังรุนแรงมากจนถึงขนาดตายได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวเชียวล่ะ นั่นแหล่ะคือความน่ากลัวของ ‘Chivalry’ ”

คุณหมอนิวพูดจบแล้วก็ถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด ดูท่าว่าเธอจะลืมหายใจไปโดยไม่รู้ตัวในขณะที่อธิบายให้พวกทัตฟัง

แต่ถ้าสิ่งที่เธอพูดออกมามันเป็นความจริง ทัตกับพิมก็ได้แต่คิดว่าสมแล้วที่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวมัน

แม้แต่คนที่เคยโค่นมันจนก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดมาแล้วอย่างฝ้ายก็ไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่มันทำให้เธอนิ่งกว่าคนอื่นก็เท่านั้น

“ถึงจะไม่มีบันทึกภาพเอาไว้เหมือนกับข้อมูลอย่างอื่นเลยก็เถอะนะคะ แต่ยังไงก็ตาม… หากโค่นมันได้แล้ว สิ่งที่จะดรอปออกมาคืออัญมณีสีฟ้าที่ถ้าทำลายมันก็จะปลดล็อคเลเวล 101 ค่ะ นอกจากนี้…”

ฝ้ายพูดถึงตรงนั้นแล้วก็ยืนขึ้น เป็นที่สงสัยของทัตกับพิม

กระทั่งจู่ ๆ ในมือของเธอก็มีหอกปรากฏขึ้นมาเหมือนกับมายากล นั่นทำให้พิมตกใจจนเกือบสะดุ้ง ในขณะที่สมาชิกคนอื่นในห้องนี้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“ถ้าโค่นมอนสเตอร์ประเภท ‘Chivalry’ ลงได้ นอกจากอัญมณีที่ใช้ปลดล็อคเลเวลที่ดรอปออกมาแล้ว อีกอย่างก็คืออาวุธของ ‘Chivalry’ จะตกเป็นของเราค่ะ”

เห…

ทัตทำสีหน้าสนอกสนใจเรื่องที่ฝ้ายพูดอย่างออกนอกหน้า แต่ถ้าเผลอออกเสียงผ่านลำคอไปคงถูกคนในห้องเขม่นเพราะคิดว่าไม่เจียมตัวอีกแน่ เขาเลยอุบเอาไว้ก่อนแล้วฟังฝ้ายต่อเงียบ ๆ

“ความสามารถของมันมีอยู่ 3 อย่างค่ะ… อย่างแรกก็คือ ‘ประกาศิตนายบ่าว’ ที่จะทำให้เราเป็นเจ้าของมันแต่เพียงผู้เดียว คนอื่นนอกจากเจ้าของจะไม่สามารถใช้งานอาวุธนี้ได้ นอกจากนี้เจ้าของก็สามารถเรียกมันออกมาตอนไหนก็ได้ด้วยค่ะ”

“สะดวกดีจังเลยนะนั่นน่ะ” ได้ยินอย่างนั้นพิมก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ย เพราะได้เห็นเมื่อกี้แล้วจากที่ฝ้ายทำให้ดู

“อย่างที่สองคือ ‘พรแห่งอัศวิน’ ที่จะเพิ่มสเตตัสพื้นฐานทั้งหมดของผู้ใช้ขึ้นอย่างละ 50 แต้มในตอนที่ใช้งานอาวุธชิ้นนั้น ๆ ค่ะ… แต่ที่สร้างข้อได้เปรียบในการต่อสู้ที่สุดคือความสามารถอย่างที่สามที่พี่ทัตน่าจะได้เห็นไปแล้ว”

หมายถึงตอนนั้นเองสินะ… วิญญาณของอัศวินสวมชุดเกราะที่ปรากฏตัวออกมาเป็นเงาลาง ๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่น

ตอนแรกก็นึกว่าเป็นภาพหลอนจากจิตสังหารหรืออะไรทำนองนั้นซะอีก

แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แฮะ…

ฝ้ายที่พูดอย่างนั้นพร้อมกับเหลือบมองทัต ทำให้เขานึกถึงสิ่งแปลก ๆ ที่ได้เห็นเมื่อตอนที่ฝ้ายปรากฏตัวขึ้น พอนึกถึงตอนนั้นภาพที่ชัดเจนก็ปรากฏในหัวเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นตรงหน้า แต่ที่มากกว่านั้นน่าจะเป็นบรรยากาศขนลุกในตอนนั้นที่มันแผ่ออกมา

ที่ชัดเจนกว่าภาพที่เกิดขึ้นในความทรงจำ จึงเป็นความกลัวจนทำให้ทัตรู้สึกขนลุกต่างหาก

“ความสามารถอย่างสุดท้ายคือ ‘จิตล่าสังหาร’ ค่ะ… ดูเหมือนจะเป็นการอัญเชิญวิญญาณของ ‘Chivalry’ ออกมาช่วยต่อสู้ได้นั่นเองค่ะ และพลังในการข่มขู่ศัตรูเองก็เป็นหนึ่งในพลังของมันเหมือนกัน”

“…ฟังดูน่ากลัวจังนะ ไอ้ตัวชุดเกราะนั่นน่ะ” ทัตพูดไปตามตรงจากสิ่งที่รู้สึก แต่ดูเหมือนว่าฝ้ายเองก็คิดอย่างเดียวกัน เธอถึงได้พยักหน้าให้ทัต

“ใช่ค่ะ… นั่นเลยเป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่หยุดอัพเลเวลตั้งแต่ช่วงเลเวล 90 เป็นต้นไป เพราะอัตราการเอาชีวิตรอดจากเจ้าตัวนี้มันต่ำมากค่ะเลยไม่คุ้มเสี่ยง”

ฝ้ายว่าแล้วก็ทำหน้ารู้สึกผิด ดูท่าจะมีหลายเรื่องทีเดียวที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหลังโดยที่ทัตไม่ได้รู้เรื่องอะไรไปด้วยกับเธอ ซึ่งพอมาคิดดูมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะฝ้ายต่อสู้อยู่เบื้องหลังมาตลอดโดยที่ทัตไม่รู้เป็นเวลาถึง 3 ปี

อยากรู้จังแฮะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง… ทัตคิดอย่างนั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้และเป็นห่วง เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นพี่ชายของเธอจึงอยากจะช่วยแบ่งเบาเรื่องราวที่เกิดขึ้นบ้าง

แต่อย่างไรก็ดี นั่นคงเป็นเรื่องต่อจากนี้

“ทีนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าหัวหน้าสุดยอดแค่ไหน!” ในระหว่างที่ครุ่นคิด อยู่ ๆ เจ้าหนุ่มแว่นคิวก็พูดโพล่งขึ้นมาหลังการอธิบายทุกอย่างเสร็จสิ้น ท่าทางโอ้อวดของเขาทำยังกับว่าเป็นตัวเองที่ถูกเอ่ยถึงยังไงอย่างงั้น

“…นั่นสินะ”

แน่นอนว่าทัตไม่ได้ใส่ใจ เพราะกำลังครุ่นคิดเรื่องของฝ้ายอยู่

“ยังไงก็เถอะ… ในเมื่อเจ้าหมอนี่รู้ทุกอย่างที่อยากรู้แล้ว ก็น่าจะมีเรื่องที่สำคัญกว่าด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“นั่นสินะ ไอ้เรื่องที่ว่าเป็นพี่ชายของฝ้ายมันไม่เกี่ยวกับเรื่องของความแข็งแกร่งซะหน่อยนี่นา”

“อันนี้ฉันเห็นด้วย… ในฐานะของผู้ร่วมงาน ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพึ่งพาได้ไหม”

แต่ในจังหวะถัดมาสิน กิฟและเบลต่างก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกังขาและสงสัยใคร่รู้

ดูเหมือนไม่ใช่แค่ทางทัตฝ่ายเดียวที่อยากได้ข้อมูลจากเซฟเวอร์ ทางด้านของเซฟเวอร์เองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทัตจะเป็นบุคลากรที่เป็นประโยชน์กับองค์กรได้หรือไม่ ว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกับการสัมภาษณ์งานนั่นแหล่ะ เพียงแต่ที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดน่าจะเป็นการเลือกใช้คำพูดของพวกเขามากกว่า

“เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมทุกคนถึงได้พูดตัดสินอย่างนั้นกันล่ะ? เลเวลของพวกเราจะไปเทียบกับของพวกนายที่สู้กันมาเป็นปีแล้วได้ยังไงกัน? ทั้งเขาทั้งฉันเพิ่งจะเกิดการตื่นมาไม่กี่วันเองนะ!”

คนที่ยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้คือพิมที่ระวังเรื่องมารยาทและการวางตัวมากกว่าใคร

แต่อันที่จริง เธอก็แค่หงุดหงิดที่พวกเขาประเมินทัตเหมือนเป็นสิ่งของ แถมยังแอบแขว่ะเขาด้วยก็เท่านั้นเอง

“พวกเราไม่ได้พูดถึงเลเวลหรอกนะ… พวกเราพูดถึงแต้มอาชีพที่พวกเธออัพกันต่างหาก”

และคนที่แถลงไขเรื่องนั้นให้ฟังคือมิ้นที่นั่งฝั่งตรงข้ามของพิม ถึงตรงนั้นพิมก็พอจะคิดต่อได้เองว่าที่พูดถึงก่อนหน้านี้มันหมายถึงอะไร เพราะเรื่องพวกนั้นเองก็เป็นสิ่งที่ทัตกับพิมคำนึงถึงอยู่ตลอดเหมือนกันนั่นเอง

“อย่างที่มิ้นพูดนั่นแหล่ะจ่ะ… มีอยู่หลายคนเหมือนกันที่เกิดการตื่นแล้วรับมือกับสถานการณ์ไม่ถูกเลยใช้แต้มเลเวลที่ได้มาอัพเลเวลอาชีพของตัวเองมั่ว ๆ จนกระจัดกระจายและทำให้แต้มที่ได้มามันเสียเปล่า ทั้งที่ควรจะใช้แต้มที่มีอยู่ไปเน้นอัพเลเวลของอาชีพเดียวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะโชคดีก็คือกรณีที่อัพเลเวลให้กับอาชีพสายต่อสู้ทั้งห้ากับ Mage หรือ Supporter พร้อมกันจนเกิดอาชีพผสานเท่านั้นแหล่ะ… จะว่าไปพวกเธอรู้จักอาชีพผสานใช่ไหมจ๊ะ?”

“ใช่ครับ… ผมเองก็บังเอิญอัพอาชีพผสานเหมือนกัน”

ทัตตอบกลับคุณหมอนิวไปตามตรง แต่เหมือนในจังหวะนั้นสินกับกิฟจะหลุดหัวเราะออกมา

บางทีสองคนนั้นคงคิดว่าทัตเองก็เป็นพวกที่ใช้แต้มอัพเลเวลอาชีพไปทั่วเหมือนกันจากที่ทัตใช้คำว่า ‘บังเอิญ’ นั่นแหล่ะ

แต่เอาเถอะ… มันก็เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นั่นแหล่ะ

โดยเฉพาะในกรณีของเราด้วย

ทัตคิดอย่างนั้นพลางยักไหล่ ไม่ได้รู้สึกโกรธสินกับกิฟเป็นพิเศษ

…นั่นเพราะพวกเขายังไม่รู้ว่าทัตมีไพ่อะไรซ่อนอยู่นั่นแหล่ะ

“อย่างที่คุณหมอนิวพูดค่ะ… การประเมินว่าคน ๆ นั้นจะสามารถต่อสู้ได้ไหม ก็คือการตรวจสอบว่าคน ๆ นั้นจัดสรรแต้มได้มีประสิทธิภาพรึเปล่านั่นเองค่ะ เพราะงั้นถ้าไม่รังเกียจ พี่ทัตกับพี่พิมช่วยแสดงสเตตัสให้พวกเราดูหน่อยได้ไหมคะ?”

ฝ้ายเป็นตัวแทนเอ่ยถามในสิ่งที่ทุกคนอย่างรู้ เห็นได้ชัดจากตอนที่เธอพูดแบบนั้นปุ๊บ เหล่าสมาชิกในห้องโดยเฉพาะสินกับกิฟต่างก็พยักหน้างก ๆ ตามปั๊ป

ทัตกับพิมเองก็รู้ความจำเป็นแล้วจึงไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ

“เธอก่อนเลยพิม”

“…หืม เข้าใจแล้วล่ะ”

แต่ทัตกลับให้พิมแสดงของเธอก่อนด้วยสาเหตุบางอย่าง แถมดูเหมือนว่าพิมจะเข้าใจเสียด้วย เธอถึงได้ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาอย่างนึกสนุก

เป็นเวลาเดียวกับที่คุณหมอนิวยื่นแท็บเล็ตที่ตัวเองใช้พรีเซนต์มาตลอดให้ ตั้งใจจะใช้กล้องที่ติดกับแท็บเล็ตเพื่อฉายหน้าต่างข้อมูลบนจอโปรเจคเตอร์

“ของฉันตอนนี้เอาแต้มทั้งหมดไปอัพเลเวลให้อาชีพ ‘Knight’ กับ ‘Mage’ ค่ะ มีอาชีพผสานแล้วด้วย… แน่นอนว่าไม่คิดจะอัพอาชีพอื่นนอกจากนี้หรอก” พิมว่าพร้อมกับฉายหน้าต่างข้อมูลของตัวเองขึ้นจอ สอดคล้องกับคำพูดของตัวเอง

“อย่างนี้นี่เอง ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะพี่พิม”

ฝ้ายพยักหน้ารับอย่างโล่งอกหลังได้เห็นว่าพิมมีโอกาสที่จะเติบโตไปจนถึงระดับที่แข็งแกร่งที่สุดได้โดยไม่มีแต้มที่เสียเปล่า แต่ก็ยังไม่ปลอดโปร่งเสียทีเดียวเพราะยังมีกรณีของพี่ชายอย่างทัตเหลืออยู่

“ส่วนของฉันอัพเลเวลของสามอาชีพในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน แล้วก็ตั้งใจจะทำอย่างนี้ไปจนถึงตอนที่เลเวลเต็มด้วย”

ทัตพูดประกอบคำอธิบายหลังรับแท็บเล็ตต่อมาจากพิม

คำพูดของเขาทำให้คิ้วของฝ้ายตกลงไปเลย เธอรู้สึกเป็นห่วงเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อได้ยินว่าทัตใช้แต้มที่มีอัพพร้อมกันถึงสามอาชีพ เพราะการทำแบบนั้นมันไม่อาจก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้แม้จะเป็นอาชีพผสานก็ตาม เพราะช่องว่างของเลเวลสกิลและความเชี่ยวชาญคลาสมันด้อยกว่าเกินไปเมื่อสู้กับคนเลเวลเดียวกัน จนถึงขนาดที่มีหลายสกิลก็คงไม่อาจสร้างข้อได้เปรียบนั่นเอง

“ฮะฮะฮ่า! สามอาชีพเลยเหรอ!? เอาจริงดิ! แบบนี้ไม่ไหวหรอก!”

“แล้วนี่หลังจากได้ยินที่คุณหมออธิบายไป นายยังคิดที่จะอัพแบบเดิมอยู่อีก? จะมั่นใจเกินไปหน่อยแล้วมั้ง ฮะฮะฮ่า!”

สินกับกิฟเองก็คิดอย่างเดียวกัน ต่างแค่ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นห่วง หากแต่หัวเราะเยาะดูแคลนทัตแทน

…แต่นั่นก็จนกระทั่งพวกเขาได้เห็นสเตตัสของทัต

“ฉันว่าพวกเธอเตรียมเขิน ๆ กันไว้ก่อนก็ดีนะ”

“หา?”

“หมายความว่าไงน่ะ?”

หนึ่งในคนที่รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้วคือมิ้นที่เคยแอบดูสเตตัสของทัตไป เขาถึงได้เอ่ยเตือนสินกับกิฟไปก่อนที่สเตตัสของทัตจะถูกฉายขึ้นบนจอโปรเจคเตอร์

ทัตเทพ ไกรธนเดช (LV-61)

Fighter LV-21 , Mage LV-20 , Supporter LV-20

Mage Fighter LV-40 (20+20) , Guard Fighter LV-40 (20+20)

ฉายา : ‘The One’ , ‘Unlock Mage Fighter’ , ‘Unlock Guard Fighter’ , ‘Bee Slayer’

สเตตัสพื้นฐาน :

ความสามารถทางกาย: 143 (141+2)

ความเชี่ยวชาญคลาส Fighter : 85 (21+64)

ความเชี่ยวชาญคลาส Mage: 84 (20+64)

ความเชี่ยวชาญคลาส Supporter : 84 (20+64)

ความเชี่ยวชาญคลาส Mage Fighter : 62 (40+22)

ความเชี่ยวชาญคลาส Guard Fighter : 62 (40+22)

สกิล :

Fighter : ทักษะจู่โจม LV-8, ทักษะตั้งรับ LV-7, ศิลปะการป้องกันตัว LV-7 , เสริมพลังกาย LV-7 , ซิกส์เซนส์ LV-7

Mage (ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า น้ำแข็ง แสง มืด) : เวทยิง LV-7 , เวทเกราะ LV-7 , ผสานเวท LV-7 , เสริมพลังเวท LV-7 , ดัดแปลงเวท LV-7

Supporter : วิเคราะห์ LV-7 , พรางกาย LV-7 , ช่องเก็บของมิติ LV-7 , เสริมพลังกายLV-7 , เสริมพลังเวท LV-7 , เสริมแกร่ง LV-7

“ “ “หา!!!!?” ” ”

เมื่อได้เห็นสเตตัสของทัตบนหน้าจอโปรเจคเตอร์ ทุกคนต่างก็ต้องอ้าปากค้างร้องเสียงหลงไปตาม ๆ กันเมื่อได้เห็นถึงความผิดปกตินั่น

คงมีแค่ทัตกับพิมเท่านั้นที่รู้เรื่องพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงยิ้มกรุ่มกริ่มอย่างผู้ชนะกันอยู่แค่สองคน

❖❖❖❖❖

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

Status: Ongoing
ทัตได้เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาดที่โลกจะเปลี่ยนเป็นเกมเอาตัวรอดจากมอนสเตอร์สุดโหดในตอนกลางคืน เขาจำต้องอัพเลเวลและกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะภัยอันตรายไม่ได้มีเพียงแค่มอนสเตอร์เท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท