ในเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ทุกกลุ่มแยกกันค้นหาฐานที่มั่นของพยัคฆ์ฟ้า ประจวบเหมาะกับตอนที่ทัตกับฝ้ายกำลังคุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่พอดิบพอดีนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่สมาชิกเซฟเวอร์คู่หนึ่งกำลังเดินไปบนฟุตบาทเพื่อหาร่องรอยของพวกมัน
แล้วพวกเขาก็ไปพบเข้ากับสถานีตำรวจ… ซึ่งถ้าเป็นในเมือง มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีสถานีตำรวจภูธรตั้งอยู่ในอำเภอ
แต่เรื่องที่แปลกก็คือความสมบูรณ์ของสถานที่ซึ่งตัวอาคารแทบจะไม่ถูกทำลายสักนิด ทั้งที่สถานที่ที่มีอาวุธทางทหารควรจะถูกมอนสเตอร์ทำลายจนแหลกเละเป็นแห่งแรกแท้ ๆ
ทั้งแบบนั้น สถานีตำรวจแห่งนี้กลับดูสมบูรณ์ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องที่มีมอนสเตอร์บุกมาก่อนยังไงอย่างนั้น
นอกจากนี้…
“นั่นมัน… คนใช่ไหม?”
หนึ่งในคู่ของเซฟเวอร์ที่มาด้วยกันเอ่ยถามอีกคนหลังสังเกตเห็นว่ามีคนจำนวนนึงเดินตรวจตราลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ ในบริเวณสถานีตำรวจ แถมทุกคนต่างก็มีอาวุธอยู่ในมือด้วย ไม่ว่าจะเป็นมีดพร้าหรือแท่งเหล็กที่หาได้ทั่วไป
แน่นอนว่าการมีอาวุธในสถานการณ์แบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงเอาตัวรอดกันมาจนถึงตอนนี้ไม่ได้
เพียงแต่การที่พวกเขามีอาวุธและเอาตัวรอดมาได้ แถมยังยึดสถานที่ที่น่าจะมีมอนสเตอร์แข็งแกร่งเอาไว้เป็นฐานที่มั่น มันก็สื่อให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
และแน่นอน… มันจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าพวกเขาทุกคนเป็นผู้มีพลังที่เกิดการตื่นแล้ว และยิ่งมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มคนพวกนี้จะเป็นคนที่พวกเขากำลังตามหา
“รายงานหัวหน้ากันเถอะ”
“นั่นสินะ”
ตัดสินใจได้ดังนั้น คู่หูทั้งสองคนถึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วติดต่อไปหาต้นสังกัดของพวกเขา
ติดต่อฝ้ายว่าพบสถานที่ที่น่าจะเป็นฐานทัพของ ‘พยัคฆ์ฟ้า’ แล้ว
❖❖❖❖❖
หลังจากข่าวถูกส่งไปยังฝ้าย และแน่นอนว่าถูกส่งต่อไปยังสมาชิกที่กำลังลาดตระเวนทุกคน คำสั่งนัดรวมตัวกันที่ตรอกแห่งหนึ่งจึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ห่างจากสถานีตำรวจอันเป็นจุดหมายไม่มาก โดยที่ยังไม่ได้คลายสกิลพรางกายออกเพื่อความไม่ประมาท
คนที่อยู่ด้านหน้าพร้อมบุกเข้าไปมีแต่ระดับผู้บัญชาการตั้งแต่สิน คิว กิฟ เบล ลินดา รวมถึงทัตกับพิม และแน่นอนว่าหน้าสุดคือฝ้าย
“ที่นั่นสินะคะ” ฝ้ายเอ่ยถามยืนยันอีกครั้งหลังสังเกตเห็นคนติดอาวุธกำลังลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ อาคารหลักของสถานีตำรวจตามที่มีการรายงาน
“ใช่… จะเอายังไงดี?” สินเอ่ยถาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปรึเปล่า หากแต่หมายถึงจะเข้าไปแบบไหนต่างหาก
“…แบบคนที่เจริญแล้วค่ะ”
คิดไม่นานคำตอบของฝ้ายก็ออกมาทำให้หลายคนยิ้มแห้ง ๆ เพราะนั่นเป็นวิธีการอย่างที่เธอทำทุกครั้ง ซึ่งพูดเป็นภาษาบ้าน ๆ แบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า ‘เผชิญหน้ากันตรง ๆ’
ทั้งกลุ่มจึงคลายสกิลพรางกายตามที่ฝ้ายมอบคำสั่ง
สำหรับทัตกับพิมรู้สึกกังวลนิด ๆ เพราะไม่คิดว่าการเผยตัวเป็นเรื่องดี แต่ดูเหมือนคนอื่น ๆ จะไม่คิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ดูท่านี่คงเป็นวิธีปกติที่พวกเขาใช้กันจนเคยชินไปแล้วกระมัง
ด้วยเหตุนั้น กลุ่มเซฟเวอร์สาขาตะวันออกเฉียงเหนือประกอบด้วยชายหนุ่มหญิงสาวรวมจำนวนแล้วเกือบ 20 คนจึงเดินเป็นกลุ่มขบวนเข้าไปทางเข้าผ่านรั้วไปยังสถานีตำรวจ
ด้วยจำนวนที่มากมายขนาดนั้น ไม่แปลกใจที่จะถูกสังเกตได้ง่ายตั้งแต่ยังไม่ผ่านรั้วเข้ามา
พวกของพยัคฆ์ฟ้าที่มีแต่ชายฉกรรจ์จึงเดินมากันท่าไว้ก่อนหลังจากที่พวกฝ้ายเดินผ่านเข้ามาได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
“พวกแกเป็นใครเนี่ย?”
“มาที่นี่ทำไมวะ?”
สองในสี่คนนั้นเอ่ยถาม ส่วนที่เหลือนั้นรีบวิ่งเข้าไปในสถานีตำรวจทันทีที่เห็นพวกฝ้าย แน่นอนว่าพวกเขาต้องไปรายงานหัวหน้าของพวกเขาจากการมาของพวกฝ้าย และปล่อยให้ที่เหลืออีกสองคนรับมือแบบหวาด ๆ เนื่องจากความแตกต่างด้านจำนวนคน
“พวกแกใช่พยัคฆ์ฟ้ารึเปล่า?” สินเป็นคนแรกที่เอ่ยถามแทนฝ้าย
“…ถ้าใช่แล้วจะทำไมวะ?” หนึ่งในคนพวกนั้นนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยถามกลับ
เป็นเวลาเดียวกับที่พวกเขากระชับอาวุธในมือแน่นพร้อมหาเรื่องเต็มที่
ไม่สิ… ถ้าจะว่ากันตามหลักการแล้ว คนที่มาหาเรื่องน่าจะเป็นพวกฝ้ายมากกว่า แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของพวกมันเองด้วยว่าจะเลือกตอบกลับมาแบบไหนหลังจากที่ได้ยินสาเหตุที่พวกทัตต้องมาที่นี่
“พวกเราคือเซฟเวอร์ค่ะ…” และเพื่อให้ง่ายกับเรื่องนั้น ฝ้ายเลยเผยตัวตนออกไปตามตรง
“อ๋อเหรอ… แล้วมีธุระอะไรล่ะยัยเปี๊ยก” หนึ่งในคนเฝ้าเอ่ยถามกลับอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจงใจจะยั่วโมโหหรือเป็นบุคลิกของเขาอยู่แล้ว
แต่ถ้าเป็นอย่างแรกก็ต้องบอกเลยว่าได้ผลชะงัดที่ไปเรียกฝ้ายแบบนั้น… ถึงคนที่โกรธจะไม่ใช่ฝ้ายแต่เป็นคิวกับพวกผู้ชายที่เป็นลูกน้องของเธอหลาย ๆ คนก็เถอะ
…รวมถึงทัตด้วย
อย่างไรก็ดี… การที่หัวหน้ากลุ่มถูกดูแคลนตั้งแต่เริ่มเป็นเรื่องที่ทำให้เสียหน้าก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ฝ้ายเองก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้เป็นครั้งแรก
เธอที่รู้แบบนั้นถึงเรียกหอกคู่กายตัวเองออกมาในมือแล้วเริ่มแกว่งไปมาก่อนจะตั้งลงกับพื้นในชั่วพริบตา การเคลื่อนไหวนั้นเร็วเกินกว่าจะบอกว่าทำอะไร แต่คนเฝ้าอาคารทั้งสองคนพอเห็นแบบนั้นก็รีบยกอาวุธขึ้นมาป้องกันตัวในทันที
แต่ดูเหมือนนั่นจะช้าเกินไป เพราะในพริบตาถัดมาดาบพร้าและแท่งเหล็กในมือของพวกเขาก็แหลกเป็นชิ้นตกลงพื้น ถึงจะช้าไปหน่อยแต่ก็รู้แล้วว่าสาวน้อยตรงหน้าเป็นคนที่ควรจะระวังคำพูดมากกว่านี้
“ยัยเปี๊ยกคนนี้มีธุระกับหัวหน้าของพวกคุณค่ะ… ช่วยไปเรียกมาด้วย”
ฝ้ายตอกกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามเคยพร้อมกับยืดอกอย่างผึ่งผายสมเป็นหัวหน้ากลุ่ม บวกกับการข่มขู่เมื่อครู่เข้าไป คงมากพอให้ชายฉกรรจ์รู้สึกกลัวจนตัวสั่นได้ไม่เบา
ต้องขอบคุณเรื่องนั้น ความห้าวของคนพวกนี้เลยหายไปหมด
แต่ถึงฝ้ายจะไม่เรียกร้อง หัวหน้าของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะออกมาต้อนรับด้วยตัวเองอยู่แล้ว พวกทัตรู้เรื่องนั้นหลังมีคนจำนวนนับสิบได้เดินออกมาจากตัวอาคารหลักของสถานีตำรวจ
หนึ่งในนั้นมีคนคุ้นหน้าคุ้นตาจากเหตุการณ์ซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อวานด้วย แต่คนที่เดินนำหน้าสุดไม่ใช่คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มของเมื่อวาน หากแต่เป็นชายอีกคนที่โกรกผมสีน้ำเงินโดดเด่นเป็นสง่าอยู่คนเดียว
ดูภายนอกร่างกายไม่ได้ดูกำยำเหมือนนักสู้แบบพวกปลอกแขนแดง แถมยังออกแนวหนุ่มเจ้าสำอางที่ลัลล๊ากับผู้หญิงไปวัน ๆ แต่งหน้าตาใส่ต่างหูฉูดฉาดเอาการอีก
“พวกแกโง่รึเปล่าที่บุกมาหาพวกเราตรง ๆ เนี่ย” ชายคนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยอย่างหยิ่งยโส การพูดนำก่อนคนอื่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นหัวหน้ากลุ่ม
“ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลอบโจมตีคนที่อ่อนแอกว่านี่จริงไหมคะ?”
และแน่นอนว่าฝ้ายไม่กลัวความหยิ่งผยองนั้นของเขา เธอจึงตอบกลับไปด้วยความหยิ่งผยองที่มากกว่า นั่นคงทำให้พวกที่มีความอดทนต่ำปรอทแตกได้ง่าย ๆ ที่โดนดูถูกโดยเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฝ้าย
…แต่ดูเหมือนหัวหน้าหนุ่มผมน้ำเงินคนนี้จะไม่ใช่คนประเภทนั้น
“ไม่เลว ๆ” เขาถึงได้เผยยิ้มแสดงความสนอกสนใจออกมาแทนที่จะโกรธ
“ดูเหมือนตำแหน่ง ‘หัวหน้าประจำภูมิภาค’ จะไม่ได้มีดีแต่ชื่อนะเนี่ย”
ชายผมน้ำเงินเอ่ย ดูท่านอกจากจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีแล้วเขายังรู้อะไรหลาย ๆ อย่างอีกด้วย และสำหรับพวกฝ้ายคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกลำบากใจหลังพบการรั่วไหลของข้อมูลในองค์กร
และไม่ว่าชายคนนี้จะรู้ข้อมูลนั้นมาจากไหน มันก็ยังสื่อให้เห็นว่าชายคนนี้รอบคอบและขยันหาข้อมูลเอาการ
“นี่ฉันเดาถูกเหรอเนี่ย?” ดูเหมือนหัวหน้าผมน้ำเงินคนนี้จะสังเกตเห็นความกังวลของพวกฝ้ายด้วย… ถึงเจ้าตัวอย่างฝ้ายจะไม่หวั่นไหวเลยสักนิดก็ตามที
“แต่ถ้าพวกแกเป็นเซฟเวอร์ ก็คงไม่ได้ตั้งใจมาถล่มแต่แรกใช่ไหมล่ะ” แถมนอกจากจะรู้เรื่องบทบาทในองค์กรแล้ว ยังรู้ด้วยว่าเซฟเวอร์มีวิธีการรับมือกับคนจำพวกตัวเองอย่างไร เห็นได้ชัดเลยว่าเขาคนนี้มีความสามารถพอตัว
“…จะถล่มพวกคุณรึไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณเองนั่นแหล่ะค่ะ”
อาจเพราะฝ้ายสัมผัสเรื่องนั้นได้ เธอถึงได้ไม่ยอมถอยท่าทีแข็งกร้าวลงให้ดูอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย นั่นก็เพื่อยืนยันและแสดงความเหนือกว่าให้พวกพยัคฆ์ฟ้ารู้ ว่าฝ่ายที่มีตัวเลือกในการตัดสินใจคือพวกฝ้ายที่แข็งแกร่งกว่าไม่ใช่พวกมัน
“เอาเถอะ… พวกแกไปยกเก้าอี้ยาว ๆ มาสักสองตัวดิ”
แต่ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มคนนี้จะไม่ได้สนใจการข่มขู่นั่นเสียเท่าไหร่ เขาถึงทำแค่ยักไหล่ก่อนจะกวักมือเรียกพวกลูกน้องให้เตรียมสถานที่พูดคุย เพราะมันคงไม่เหมาะเท่าไหร่หากต้องยืนคุยกันแบบนี้ไปตลอดจนจบ
และแน่นอน นั่นไม่ใช่การทำเพื่อแขก… เขาก็แค่ไม่อยากยืนคุยก็เท่านั้นเอง การต้อนรับพวกฝ้ายแบบนี้จึงเป็นเรื่องของผลพลอยได้ แต่นั่นก็ทำให้บรรยากาศที่ดูคุกรุ่นสงบลงไปบ้าง
…อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้
นั่นทำให้หลังจากนี้มีการจัดเก้าอี้เพื่อพูดคุยกันด้านหน้าประตูทางเข้าอาคารหลักของสถานีตำรวจ โดยให้เก้าอี้ยาวสองตัวนั้นหันหน้าเข้าหากันใช้เป็นที่นั่งของหัวหน้าแต่ละฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฝ้ายกับเจ้าหนุ่มผมสีน้ำเงิน ส่วนคนอื่น ๆ นั้นยืนหรือนั่งพื้นอยู่ด้านหลังเก้าอี้แต่ละฝ่ายแทน
พวกที่ยืนอยู่จนเกือบชิดเก้าอี้ส่วนใหญ่เป็นคนสนิทของหัวหน้าแต่ละฝ่าย… ทางฝั่งของพยัคฆ์ฟ้าก็คือชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยที่พวกทัตไปเจอที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อวาน ส่วนฝั่งของฝ้ายก็คือระดับผู้บัญชาการทั้งหลายรวมถึงทัตกับพิม
อนึ่ง ข้อสังเกตคือพวกพยัคฆ์ฟ้าไม่มีความคิดจะให้พวกฝ้ายเข้าไปในตัวอาคาร แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับแต่ละกลุ่มที่ไม่อยากให้คนที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูเข้าไปดูโครงสร้างฐานทัพ มองในจุดนั้น หากสถานการณ์กลับกันฝ้ายเองก็ไม่ยอมให้คนพวกนี้เข้าไปในโรงพยาบาลเหมือนกัน จึงถือว่ายอมรับได้ที่จะคุยกันข้างนอก
“เริ่มจากแนะนำตัวไหม ฉันไม่ชอบให้ใครเรียกแบบผิด ๆ ด้วยสิ” หนุ่มหัวหน้าผมสีน้ำเงินเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงขอไปทีตามเคย ถ้าไม่โง่มากก็ต้องฉลาดมากที่ไม่ยอมให้บรรยากาศเหนือกว่าที่ฝ้ายสร้างขึ้นครอบงำฝ่ายตนได้
“…ฉันฝ้าย หัวหน้าเซฟเวอร์ประจำสาขาตะวันออกเฉียงเหนือค่ะ” แต่ฝ้ายก็ยังไม่หวั่นไหวตามเคย ซึ่งก็เป็นปกติของเธออยู่แล้ว
“ฉันดิว แต่ไม่ยินดีที่รู้จักหรอกนะ”
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มพยัคฆ์ฟ้า… ดิวเอ่ยพร้อมกับเสยผม แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่ลดท่าทางขอไปทีของตัวเองลงเพื่อปะทะกับความสงบเสงี่ยมของฝ้าย
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าดิวคนนี้จะไม่จริงจังเสมอไป
“แล้ว? ผู้ดีอย่างพวกแกต้องการอะไรจากเราไม่ทราบ?” เขาถึงได้เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้นมาในจังหวะที่ตัดเข้าประเด็นหลักโดยไม่ให้เป็นการเสียเวลา
“ประหยัดเวลาแบบนี้ช่วยได้เยอะเลยค่ะ” ซึ่งนั่นก็ช่วยอำนวยความสะดวกแก่พวกฝ้ายอยู่ เธอถึงกระแอมปรับเสียงก่อนจะพูดต่อ
“เมื่อวานนี้พวกเราช่วยชีวิตเพื่อนของพวกคุณไปเมื่อวาน… คงไม่บอกว่าลืมกันไปแล้วหรอกนะคะ”
ฝ้ายพูดแล้วก็เหลือบไปมองชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของดิว เขาคือชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยที่พวกทัตเจอเมื่อวานที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตหลังปราบบอสคิงมิโนทอร์นั่นเอง
“ทวงบุญคุณกันเฉยเลย ไม่ใช่ว่าการช่วยพวกเราเป็นแค่ผลพลอยได้ของพวกเธอหรอกเหรอ?” เจ้าตัวตอบพลางยักไหล่ เขารู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่ถูกอ้างแบบนั้น
“…เรื่องนั้นก็ไม่ผิดหรอกค่ะ” ฝ้ายเองก็ยอมรับเรื่องนั้น แต่นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
“แต่ประเด็นหลักที่พูดเรื่องเมื่อวาน… คงเดาได้ไม่ยากใช่ไหมคะว่าฉันอยากจะพูดเรื่องอะไร” และเหตุผลที่ฝ้ายยั่วโมโห ก็เพื่อให้ความโกรธครอบงำสติของอีกฝ่ายจนเผลอพูดใจจริง
“จะไปรู้เหรอ? อยากพูดอะไรก็พูดมาเลยสิ”
แต่เขากลับปากแข็งกว่าที่คิด หรือไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเป็นเรื่องผิด
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน มันก็ยังน่าหงุดหงิดอยู่ดีทั้งสำหรับฝ้ายและพวกทัต
“ฉันกำลังพูดถึงเรื่องที่พวกคุณฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่อสนองตัณหาตัวเองยังไงล่ะค่ะ” พยายามทำให้สำนึกผิดไปก็คงเปล่าประโยชน์ ฝ้ายคิดได้ดังนั้นจึงตัดเข้าประเด็นหลักของประเด็นหลักในทันที
และดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ฝ้ายคาด เพราะใบหน้าของชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยนั้นไม่มีเปลี่ยนสีเลยสักนิดแม้จะถูกตอกใส่แบบนั้น
ถ้าจะมีใครมีปฏิกิริยากับเรื่องนั้น ก็เห็นจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของเขาอย่างดิวนี่แหล่ะ
“มาวิน นี่พวกแกไปทำแบบนั้นอีกแล้วเหรอวะ?” แต่นอกเหนือจากสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนจากความเคยชิน ดิวก็ยังมีข้อสงสัยส่วนตัวอยู่ เขาถึงหันไปเอ่ยถามชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อย… มาวินซึ่งยืนอยู่ด้านหลังแบบนั้น
“ก็บอสบอกให้ทำตามที่อยากไม่ใช่เหรอ?”
“…เอาเถอะ นั่นมันก็จริง”
แต่ถึงจะติดใจบางอย่าง สุดท้ายดิวก็ไม่ได้เก็บการกระทำของลูกน้องมาใส่ใจหรือใคร่ครวญ นั่นทำให้พวกฝ้ายสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาจะติดใจถามเรื่องนั้นกับลูกน้องตัวเองไปทำไมหากเขาไม่สนใจเรื่องที่ลูกน้องตัวเองทำจริง ๆ
ทว่านอกจากเรื่องนั้น… การที่ดิวไม่คิดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องผิดแปลกคือสิ่งที่ยังทำให้พวกฝ้ายกังขา กังวลและหงุดหงิดกันอยู่ ฝ้ายเลยถอนหายใจจากการรู้สึกว่าช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะพูดถึงสาเหตุหลักที่พวกตนมาหาคนพวกนี้ตรง ๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่าไปมากกว่านี้
“เหตุผลที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อขอให้พวกคุณหยุดทำร้ายผู้บริสุทธิ์ และหวังว่าพวกคุณจะยอมทำตาม จะได้ไม่ต้องมีเรื่องกันให้เสียหายทั้งสองฝ่ายค่ะ” ฝ้ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเหมือนเดิม สายตาคมกริบส่งไปยังเหล่าชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังจนพวกเขารู้สึกเกร็ง คงมีแค่ดิวเท่านั้นที่ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
อาจเพราะมองว่าฝ้ายเป็นแค่เด็กตัวเล็ก… หรือไม่อย่างนั้นเขาก็มั่นใจอย่างไร้ข้อสั่นคลอนในสิ่งที่ตัวเองทำ
“ทำร้ายคนบริสุทธิ์… จะว่าแบบนั้นก็คงใช่มั้ง” เพราะแบบนั้น น้ำเสียงของดิวถึงไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่แรกที่เจอจนถึงตอนนี้
“แต่มัน… ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายไม่ใช่รึไง?”
คำพูดถัดมาของเขาในขณะที่เอียงคอสงสัยราวกับฝ้ายเป็นพวกที่ผิดปกติเสียเอง คือสิ่งที่ยืนยันว่าเขาคิดแบบนั้น
แต่ด้วยน้ำเสียงที่พูดราวกับเป็นเรื่องปกติและไม่รู้สึกรู้สา ในแง่นึงมันก็คือความเย็นชาที่ทำเอาพวกของฝ้ายโดยเฉพาะคนที่ความอดทนต่ำอย่างสินโกรธทะลุปรอทจนเกือบจะพุ่งเข้าไปซัดดิว แต่ก่อนที่จะเป็นอย่างนั้น ฝ้ายก็เป็นคนยกมือขึ้นขวางไว้ก่อน
“เฮอะ…” ดิวพ่นลมออกจมูก ท่าทางเหมือนกับเยาะเย้ย
“พวกแกคงมองว่าพวกเราแปลกล่ะสิ แต่รู้ไหม… ในมุมมองของฉันพวกแกต่างหากที่แปลก”
ดิวเป็นฝ่ายที่พูดต่อโดยไม่หยุดปากและฝ้ายเองก็ปล่อยให้เขาพูดต่อไปตามนั้น เพราะถ้าไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายและไม่พยายามจะทำความเข้าใจ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาคุยกันแต่แรก
“พวกแกเองก็คงจะเข้าใจสถานการณ์อยู่แล้ว… ไอ้สถานการณ์ประหลาด ๆ ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแบบนี้ พวกเราต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด” ดิวเปลี่ยนท่านั่งใหม่มาประสานมือกันในขณะที่มองกวาดพวกที่ยืนอยู่ด้านหลังของฝ้ายรวมถึงทัต
“กับสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจำเป็นต้องมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ ใช่ไหมล่ะ?”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วค่ะ” ฝ้ายตอบกลับคำถามของดิว แม้จะยังไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับการเล่นงานคนบริสุทธิ์ตรงไหน ก่อนจะปล่อยให้ดิวสาธยายต่อ
“ในขณะที่องค์กรของพวกแกกลับสร้างกฎขึ้นมาผูกมัดตัวเองอย่างการห้ามฆ่าคน… ก็ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจวิสัยทัศน์ของพวกแกที่อยากจะรวมคนไว้ให้มาก ๆ เลยต้องสร้างความเชื่อใจด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมิตรหรอกนะ… แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังจะถูกเอาชีวิตแต่ฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้จนเสียโอกาสในการปกป้องชีวิตและอิสรภาพของตัวเองมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะหะ?”
ดิวพูดแบบนั้นแล้วเปลี่ยนมากอดอกก่อนจะถอนหายใจ แต่หากมองข้ามท่าทางไม่สนหัวใครของดิวไปและฟังแค่เนื้อหาที่เขาพูด ก็นับได้ว่าชายคนนี้มีหัวคิดมากทีเดียว
อย่างนี้นี่เอง… ดูเหมือนหมอนี่จะไม่ได้เอาตัวรอดไปวัน ๆ อย่างเดียว แต่ดูเหมือนจะวางแผนระยะยาวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของพวกตัวเองเอาไว้ด้วยเหมือนกันสินะ
แถมจากมุมมองของหมอนี่ที่มองเซฟเวอร์อย่างเป็นกลางไร้อคติ ก็ดูจะเป็นคนที่มีเหตุผลมากทีเดียว…
…ถึงจะสุดโต่งไปหน่อยก็เถอะ แต่ในโลกที่ไร้กฎเกณฑ์แบบนี้ ยังไงการกระทำของเขาก็ไม่มีทางเป็นเรื่องผิดไปได้
เพราะโดยพื้นฐานแล้ว การกระทำหนึ่ง ๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องดีเลว ผิดหรือถูกโดยตัวของมันเองจนกว่าจะมีคนไปตัดสินมัน
…แต่ก็ใช่ว่าแนวคิดแบบนี้จะ ‘ถูกต้อง’ ไปเสียทีเดียวหรอกนะ
ทัตครุ่นคิดในขณะที่กอดอก เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พยายามคิดตามที่ดิวบอกแต่เป็นคนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกคล้อยตาม
เพราะถ้าจะพูดถึงคนที่มั่นใจในหลักการของตัวเองอย่างไม่สั่นคลอนแบบดิว… ตัวทัตเองก็เป็นคนประเภทนั้นเช่นกัน และเพื่อให้รู้แนวคิดอีกฝ่ายในเชิงลึก ทัตเลยตั้งใจฟังเขาต่อ
“แล้วอีกอย่างหนึ่ง… พวกแกบอกว่าพวกเราทำร้ายคนบริสุทธิ์งั้นสินะ” ดิวเริ่มพูดต่อ
“เอาล่ะ ถึงฉันจะไม่พูดพวกแกก็คงรู้ดีอยู่แล้ว… ว่าคนที่จะ ‘ตายจริง ๆ’ ในตอนที่โลกถูกย้อนเวลากลับไป ก็มีแต่พวกเราเหล่าผู้มีพลังเท่านั้น คนธรรมดาคนอื่นเขาไม่ได้ตายจริง ๆ แถมจำอะไรไม่ได้และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับสถานการณ์ที่เราเผชิญด้วยซ้ำ ดังนั้น ถึงเราจะใช้ประโยชน์จากพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ ‘เป็นอะไรจริง ๆ’ ซะหน่อยนี่จริงไหม?”
น้ำเสียงของเขาในขณะที่พูดยังไม่แปรเปลี่ยน แต่ความต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่าเขาพูดออกมาตามที่ใจคิดจริง ๆ และมันแสดงให้เห็นว่าเขามองคนธรรมดาที่ไม่มีพลังยังไง
“แสดงว่าคนธรรมดาก็เป็นแค่ NPC ในเกมสำหรับคุณล่ะสินะ” ฝ้ายเอ่ยถามยืนยัน ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคงไม่เป็นอื่น
“ถ้าในตอนที่มอนสเตอร์มันโผล่ออกมาล่ะก็… ใช่”
ดิวเอ่ยเสมือนกับจะบอกว่าตนไม่ได้คิดแบบนั้นในเวลาปกติ เขาอาจกำลังจะบอกว่าเขาเองก็เป็นคนปกติทั่วไปคนนึงหากไม่มีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นก็เป็นได้ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ปฏิเสธคำถามของฝ้าย
“ในเมื่อมันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็เป็นเรื่องที่ทำได้ ก็อย่างที่ว่า… ทุกคนก็ทำเรื่องที่จำเป็นในการเอาตัวรอดทั้งนั้นแหล่ะ” ดิวพูดจบแล้วก็กลับไปพิงหลังกับพนักพิงของโซฟายาว ดูเหมือนใจความหลักที่เขาต้องการจะสื่อคงจบลงแล้ว
“แต่นั่นก็ยังไม่ได้ตอบคำถามว่าพวกแกจะทำเรื่องไม่จำเป็นอย่างการทำร้ายคนบริสุทธิ์ไปทำไมอยู่ดี”
ในขณะที่คิวนั้นยังมีข้อสงสัยอยู่ ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เขาพูดในขณะที่ดันแว่นและยังคงมองดิวด้วยสายตาหงุดหงิดไม่ต่างจากเหล่าเซฟเวอร์คนอื่น ๆ
ซึ่งว่าไปแล้วก็จริงอย่างที่คิวว่า ดิวก็เลยขยับหลังออกมานั่งประสานมืออีกครั้ง แต่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปนิดหน่อย
“เห็นพวกฉันทำแบบนั้นแล้วพวกแกรู้สึกกลัวรึเปล่าล่ะ?” น้ำเสียงของดิวเย็นชาขึ้น ในขณะที่สายตาเองก็น่ากลัวขึ้นราวข่มขู่ แต่ไม่มีใครตอบคำถามนั้นกลับไปแม้แต่ฝ้าย ทั้งเพราะกลัวและตรงข้าม
“พวกแกอาจไม่กลัว แต่อย่างน้อยพวกแกต้องคิดแน่ ๆ ล่ะว่าพวกเราอันตราย… ก็จริงที่มีวิธีอื่นอีกเยอะแยะ แต่ฉันก็แค่ไม่สนแล้วปล่อยให้เจ้าพวกนี้ทำตามใจอยากเพราะมันง่ายกว่าในการรักษาขวัญและกำลังใจของลูกน้อง” ดิวเอ่ยในขณะที่ชี้นิ้วโป้งกลับหลังไปหาลูกน้องของพวกเขาซึ่งตอนนี้กำลังแสยะยิ้ม
ซึ่งไม่ว่าพวกเขาจะกำลังรู้สึกยังไง แต่คิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณดิบเหมือนสัตว์ป่า ซึ่งแตกต่างจากดิวผู้เป็นหัวหน้าที่มีหัวคิดรอบคอบเป็นเสมือนบังเหียนของคนเหล่านี้อีกที
ถ้าไม่มีเจ้าหมอนี่ สถานการณ์คงเลวร้ายกว่านี้เยอะ… ทัตแอบคิดแบบนั้นกับดิว แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกมา
“ด้วยวิธีนี้ จะทำให้พวกกลุ่มอื่น ๆ ไม่อยากมายุ่งกับพวกเราถ้าไม่จำเป็น ส่วนในกรณีของเซฟเวอร์อย่างพวกแกพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวอยู่แล้ว เพราะยังไงพวกแกก็ไม่ฆ่าพวกเราใช่ไหมล่ะ? นี่แหล่ะคือวิธีการปกป้องตัวเอง… คือวิธีการเอาตัวรอดของฉัน”
ดิวพูดจบโดยไม่เว้นจังหวะช่องไฟก่อนจะกลับไปพิงพนักอีกครั้งเพราะคิดว่าพูดเรื่องที่จำเป็นต้องพูดหมดแล้ว
แต่ซ้ำร้ายสำหรับเหล่าเซฟเวอร์… นั่นคือสิ่งที่เขาพูดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ว่าเป็นเรื่องผิด แม้กระทั่งพูดว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรมก็คงเป็นฝ่ายตนที่ไร้เหตุผลเสียเองด้วยซ้ำ เพราะเดิมทีศีลธรรมจะมีน้ำหนักก็ต่อเมื่อมีผู้ยึดถือ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นการกระทำที่ถูกต้องโดยตัวของมันเองไม่ใช่มีใครตัดสินว่ามันถูกแล้วบังคับให้คนอื่นทำตาม
…ซึ่งในยามที่กฎเกณฑ์ทั้งหลายถูกทำลายจนเหลือแต่การดิ้นรนเอาตัวรอด คงไม่มีการกระทำใดที่สามารถชี้ชัดได้ว่าผิดหรือถูกอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
“ก็ตามนั้นแหล่ะ… การทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอยู่แล้วนี่จริงไหม เพราะงั้นจะมาว่าฉันเป็นฝ่ายผิดหรือเลวทรามน่ะมันไม่ได้หรอกนะ” ดิวถึงได้พูดย้ำแบบนั้นก่อนจะแสดงสีหน้ารำคาญใจออกมา เพราะคำนวณไว้อยู่แล้วว่าจะไม่มีการโต้เถียงกลับมา
“ใช่ ๆ… โลกสวยอย่างพวกแกอยู่ได้ไม่นานหรอก”
“มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยพวกแกน่ะ!” มาวินกับพรรคพวกคนอื่นเองก็ช่วยเสริม แต่นั่นก็เป็นแค่การใช้อารมณ์จากความสะใจและพึงพอใจในชัยชนะของพวกตัวเองเท่านั้น
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาหวังจากพวกฝ้ายจึงเป็นคำขอโทษก่อนที่พวกเธอจะยอมรับความพ่ายแพ้และจากไปแต่โดยดี
แต่ถ้าจะว่ากันตามหลักแล้ว ฝั่งของพวกฝ้ายที่ไม่สามารถโต้ตอบอะไรดิวกลับไปได้เลยก็เป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้จริง ๆ แถมมันน่าเจ็บใจตรงที่คำพูดของดิวมันแทงใจดำทุกคำ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พวกฝ้ายจำเป็นต้องหยุดการกระทำของพวกพยัคฆ์ฟ้าแต่ไม่อาจใช้กำลังกับพวกเขาได้เพราะติดข้องกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความถูกต้อง’
แน่นอน… หากจะทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แล้วจัดการคนพวกนี้ให้มันจบ ๆ ไปเสียก็ทำได้เช่นกัน แต่หากพวกฝ้ายลงมือทำแบบนั้นลงไป ก็จะกลายเป็นพวกฝ้ายเสียเองที่กลืนน้ำลายตัวเองสมดังที่ดิวพูดไว้ไม่มีผิด ด้วยเหตุนั้น ไม่ว่าจะทางไหนพวกฝ้ายก็เป็นฝ่ายแพ้
…แต่ถ้าคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนคนบริสุทธิ์ เนื่องจากในปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าการตายของพวกเขาจะส่งผลเสียต่อพวกเขาหรือไม่ ดังนั้นไม่ว่ายังไงพวกฝ้ายก็จำเป็นต้องหยุดคนพวกนี้ให้ได้เสียตอนนี้ ต่อให้นั่นเป็นการกลืนคำพูดของตัวเองก็ตาม
บรรยากาศของพวกฝ้ายเลยตึงเครียดขึ้นมาโดยมิได้นัดหมายเพราะเตรียมใจที่จะสละวาจาสัตย์รวมถึงสิ่งที่ยึดถือ และไม่ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายแต่ดิวเองก็สังเกตเห็นเรื่องนั้น เขาถึงหักนิ้วตัวเองด้วยมือข้างเดียวประหนึ่งพร้อมสู้เต็มที่ สถานการณ์ที่กำลังคุกรุ่นจึงร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับรอเวลาปะทุในอีกไม่กี่อึดใจสมดังที่ดิวคาดการณ์และวางแผนเอาไว้ไม่มีผิด
“โลกสวยอย่างนั้นเหรอ…”
หากไม่มีใครพูดอะไรขึ้นเสียก่อนสงครามก็อาจปะทุขึ้นแล้ว และที่มันไม่เป็นแบบนั้นก็ต้องขอบคุณเด็กหนุ่มที่พูดขึ้นมาและดึงความสนใจของทุกคนไว้ด้วยกัน
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากทัต
“ว่าไปแล้ว… ‘โลกสวย’ นี่มันแปลว่าอะไรกันนะ”
ทัตเอ่ยคำสำคัญอีกครั้ง… หนแรกดิวเองก็คิดว่าทัตคงแค่พูดออกมาส่ง ๆ เพื่อทำให้บรรยากาศตึงเครียดถูกรีเซ็ท แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่แบบนั้น
“ถ้าจะหาคำจำกัดความก็คงเป็น ‘การทำบางสิ่งโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง’ คงใกล้เคียงที่สุดสินะ เห็นด้วยไหม”
“…ว่าต่อสิ”
นอกเหนือจากเนื้อความที่ทัตเอื้อนเอ่ย คงเป็นความสงบที่ไม่สั่นคลอนต่อสถานการณ์บีบคั้นของทัตด้วย ดิวถึงได้รู้สึกสนใจที่จะฟังในสิ่งที่ทัตอยากพูด
แต่อันที่จริง นั่นเป็นเพราะดิวมั่นใจในเหตุผลของการกระทำของตัวเองและพร้อมจะตอกหน้าทุกคนที่เถียงเขาต่างหากถึงไม่กลัวว่าจะมีใครค้านขึ้นมา
ในขณะที่ฝ้ายกับพิมนั้นเหงื่อทั้งตกและผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัดด้วยความเป็นห่วง แต่การที่ไม่ได้พูดอะไรขัดจังหวะทัตก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพวกเธอเชื่อใจทัตเอามาก ๆ อยู่เหมือนกัน
“ถ้าการโลกสวยนั้นหมายถึงการไม่มองความจริง… แล้ว ‘ความจริง’ ที่ว่าล่ะ มันหมายความว่ายังไงกันนะ” ทัตพูดในขณะที่จ้องตาดิวกลับไป
ดิวจำได้ว่านี่เป็นไม่กี่ครั้งที่มีคนกล้าเถียงเขาในขณะจ้องตาแบบนี้ เลยกลายเป็นว่าในวันนี้มีทั้งเด็กสาวและเด็กหนุ่มจ้องตาเผชิญหน้ากับเขาโดยไร้ความหวาดกลัว
ต่างแค่ว่ากับทัตคนนี้… ดิวกลับรู้สึกว่าเขามีบางอย่างที่แตกต่างจากคนอื่น
“ตอนนี้เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ประหลาดที่ไม่รู้ที่มาที่ไป และแน่นอนว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้… นี่คือความจริงของทุกคนและไม่มีใครปฏิเสธได้แน่นอน” ทัตพูดถึงตรงนั้นก็เริ่มมองกวาดพวกของพยัคฆ์ทุกคน ซึ่งในมุมมองของดิวมันเป็นตลกร้ายสิ้นดีที่ทัตใช้วิธีเดียวกันนี้ในการกดดันอีกฝ่ายแบบที่เขาเองก็ทำ
ถ้าบังเอิญก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ ไอ้หมอนี่ก็ร้ายน่าดู… ดิวแอบคิดแบบนั้น แต่แน่นอนว่าคนที่รู้คำตอบว่าเป็นอย่างหลังก็มีแค่เจ้าตัวอย่างทัตเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นคำถามก็คือ วิธีไหนกันล่ะที่มีประสิทธิภาพที่สุด… ในความหมายก็คือวิธีการเอาตัวรอดแบบไหนกันแน่ที่จะทำให้อัตราการรอดชีวิตใกล้เคียงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ในสถานการณ์แบบนี้”
“วิธีการในอุดมคติแบบนั้น ฟังดูออกจะเพ้อเจ้อเกินไปหน่อยนะ” ดิวพูดแล้วก็หัวเราะเยาะ ตามด้วยเสียงแบบเดียวกันจากลูกน้องของพวกเขาที่กำลังหัวเราะในความหัวอ่อนของทัต
นั่นทำให้ฝ้าย และโดยเฉพาะพิมโกรธจัดทีเดียวเมื่อเห็นว่าทัตถูกหัวเราะเยาะ
ทว่าตัวทัตกลับไม่ได้หน้าเปลี่ยนสีเลยสักนิด… สิ่งที่เขาทำก็แค่ยกนิ้วชี้ขึ้นประกบริมฝีปาก ประหนึ่งตั้งใจจะบอกให้พวกเขาเงียบ
“น่าเสียดายที่พวกนายมองไม่เห็นภาพรวมของปัญหานะ ไม่งั้นคงไม่กล้ายืนยันว่ามันไม่มีทางเลือกแบบนั้นหรอก… นี่หรือว่าฉันประเมินนายสูงเกินไปกันนะ”
“…”
ทัตโต้ตอบเสียงหัวเราะกลับด้วยความเงียบงันและเยือกเย็น แน่นอนว่ามันทำให้พวกพยัคฆ์ฟ้าส่วนใหญ่หงุดหงิด
…และคงมีแค่ดิวคนเดียวที่นิ่งเงียบและมองทัตด้วยสายตาคมกริบยิ่งขึ้น
สิ่งที่เขารู้สึกต่อทัตไม่ใช่ความโกรธแต่เป็นความระแวดระวัง… จากการที่ความตั้งใจของเขาถูกทำลายและถูกสวนกลับมาแทน
เจ้าหมอนี่… อ่านออกว่าเราจงใจยั่วโมโห
แถมยังตั้งใจจะยั่วเรากลับด้วย… โคตรแสบเลยเวรเอ้ย
ดิวถึงได้สบถแบบนั้น แต่แน่นอนว่าไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าจึงเป็นโอกาสให้ทัตพูดต่อ
“ภาพรวมของสถานการณ์ในตอนนี้คือการที่มีมอนสเตอร์เลเวลสูงปรากฏตัวและไล่กินคนรวมถึงผู้มีพลังก็ไม่มีข้อยกเว้น และศัตรูที่อันตรายที่สุดก็คือ ‘Chivalry’ ที่มีเลเวลสูงกว่าหนึ่งร้อย คิดว่าพวกนายเองก็คงเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหมล่ะ” ทัตพูดถึงตรงนั้นก็สังเกตสีหน้าของพวกพยัคฆ์ฟ้า และเหมือนเคยที่มีแค่ดิวเท่านั้นที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
เคยได้ยินอยู่เหมือนกันสินะ… ทัตคิดในใจแบบนั้น และคิดว่าการสาธยายลำดับถัดไปคงง่ายขึ้น
“เมื่อก่อนฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวแบบนั้นมันจะมีอยู่… ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีไอ้ตัวที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปรากฏตัวขึ้นมาอีก หรือเผลอ ๆ อาจจะเกิดสถานการณ์ที่มีมอนสเตอร์จำนวนมหาศาลปรากฏตัวขึ้นก็ได้เหมือนกัน… เข้าใจรึยังว่าตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง”
ทัตพยายามชี้ให้เห็นความอันตรายของสถานการณ์ แน่นอนว่ามันอาจเป็นไปได้และอาจเป็นไปไม่ได้ แต่หากพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่มาก และทัตเชื่อเหลือเกินว่าไม่มีใครในที่นี้กล้าเสี่ยงเผชิญหน้ากับอนาคตที่ไม่รู้จักโดยไม่วางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าแน่
เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น คนพวกนี้ก็คงเอาตัวรอดมาจนถึงตอนนี้ไม่ได้ ทัตที่รู้ว่าคนพวกนี้โดยเฉพาะดิวเองก็กลัวอันตรายที่ไม่รู้จักเหมือนกัน เขาถึงใช้ประเด็นนี้เป็นหลักในการตอบโต้
“วิธีการเอาตัวรอดของนายไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะ แต่จุดอ่อนก็คือการยึดติดกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากเกินไปจนไม่ยืดหยุ่นกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นแค่กลยุทธ์ระยะสั้นเท่านั้น… แน่นอนว่าความเรียบง่ายมันทำให้อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้นตาม แต่ในระยะยาวโอกาสรอดของพวกนายจะลดลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป… เรื่องนั้นถึงไม่ต้องบอกนายเองก็รู้ใช่ไหมล่ะ” ทัตพูดพร้อมกับมองเข้าไปในตาของพวกพยัคฆ์ฟ้าทุกคนราวข่มขวัญ
แน่นอนว่าเขาเน้นไปที่ดิว เพราะคิดว่าคนที่จะเข้าใจสถานการณ์ได้เร็วที่สุดก็มีแต่เขาคนเดียว และอาจเป็นเพราะเขาเข้าใจเรื่องที่ทัตพูดเป็นอย่างดี คิ้วของเขาถึงได้ขมวดเข้าด้วยกันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
“การเอาตัวรอดในระยะยาวจำเป็นต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรงเพื่อรองรับสถานการณ์อันตรายให้ได้เกือบทุกรูปแบบ… และแน่นอนว่าหนึ่งในโครงสร้างสำคัญคือเครือข่ายข้อมูลที่กระจายในวงกว้างและจำนวนของบุคลากรที่ทำงานได้ ถึงตรงนี้คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าแบบไหนมีโอกาสรอดสูงกว่ากัน”
เทียบกับวิธีการของพวกนายแล้ว เซฟเวอร์ต่างหากที่เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องในการเอาตัวรอด… ทัตบอกแบบนั้นผ่านดวงตาอันคมกริบ และคิดว่าดิวคงตระหนักด้วยตัวเองแม้จะไม่ต้องบอกว่าคำตอบควรเป็นแบบไหนระหว่างทั้งสองอย่างนั้น ดิวถึงขมวดคิ้วอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด นั่นคือจังหวะที่ทัตรู้สึกว่าท้ายสุดแล้วดิวก็เป็นแค่พวกที่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลเหมือนเคย ไม่ต่างจากพวกที่เจอมา
จัดการหัวหน้าใหญ่ไปแล้ว ทัตก็ตัดสินใจจะซัดพวกลูกน้องต่อโดยเฉพาะหัวหน้ากลุ่มย่อยที่ทัตเจอเมื่อวาน
“เมื่อกี้นายพูดไว้สินะ ว่าพวกโลกสวยน่ะอยู่ได้ไม่นานหรอก” เพราะแบบนั้นสายตาของทัตเลยเลื่อนไปจ้องที่มาวินแทน ด้วยความคมกริบแบบเดียวกับที่ใช้กับดิว แต่มาวินนั้นไหล่กระตุกทันที เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการรับแรงกดดันได้ไม่เท่าดิว จึงเป็นจังหวะดีให้ทัตเผด็จศึก
“งั้นฉันเองก็จะพูดแบบเดียวกัน… พวกโลกสวยที่คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คิดอย่างพวกนายเอง ก็อยู่ได้ไม่นานเหมือนกันนั่นแหล่ะ”
ทัตพูดจบแล้วก็กลับมากอดอกถอนหายใจ ซึ่งไม่ได้เกิดจากความโล่งใจแต่เป็นเพราะออกแรงพูดอย่างต่อเนื่องจนเหนื่อยมากกว่า แถมตอนที่พูดจบยังมีคนปรบมือชื่นชมให้อีก แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพิม
นั่นทำให้รู้สึกประหม่าก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ เพราะบรรยากาศกำลังถูกปรับให้พวกทัตเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าเพราะเรื่องที่เขาพูด แถมเนื้อหาหลาย ๆ อย่างยังทำให้กำลังใจของพวกเซฟเวอร์ทุกคนเพิ่มขึ้นอีกด้วย ไม่แม้แต่ฝ้ายเองก็ตาม
เพราะอย่างน้อย ๆ… สิ่งที่ทัตพูดมันก็เป็นการยืนยันว่าวิธีการของเซฟเวอร์คือตัวเลือกที่ถูกต้องเหนือตัวเลือกอื่น
สมกับเป็นพี่ทัตเลย
เพราะแบบนั้นฝ้ายถึงได้ฉีกยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจส่วนหนึ่งและชื่นชมอีกส่วนหนึ่ง
…แต่ที่น่ากลัวก็คือ ดิวเองก็กำลังยิ้มเหมือนกัน หากแต่เป็นคนละสาเหตุกับฝ้าย
“หึ… ฮะฮะฮ่า!!!” แถมนอกจากยิ้ม ดิวยังหัวเราะออกมาเสียดังลั่นอีก แทบจะคิดได้อย่างเดียวเลยว่าเขาอาจจะเป็นบ้าไปแล้ว
“แกนี่มันเจ๋งดีนี่หว่า ยอมรับเลย! ฉันไม่เคยเถียงแพ้ใครมาก่อนเลยนะเนี่ย!”
ดิวตบเข่าฉาดก่อนจะยิ้มร่าอีกรอบ ก่อนจะหันเหสายตามาที่ทัต ความสนใจของเขาทั้งหมดพุ่งไปที่ทัตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่แรกเริ่มการพูดคุยอันแสนน่าเบื่อ
เห็นได้ชัดเลยว่าหากจะมีอะไรที่เขาคาดการณ์ผิดไป ก็คงเป็น ‘ตัวทัต’ นี่แหล่ะ
…แต่ถึงทัตจะแสดงให้เห็นแล้วว่าฝ่ายที่ผิดคือวิธีการของดิว เขาก็ยังไม่ยอมง่าย ๆ ซึ่งนั่นแหล่ะคือดิว
“ว่าไปแล้ว แกชื่ออะไรนะ”
“…ทัต”
ดิวเอ่ยถามชื่อของทัต นั่นคืออีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าเขาสนใจทัตแค่ไหน และทางทัตเองก็ไม่มีเหตุผลให้ปิดบังอยู่แล้วด้วยจึงบอกออกไปตามตรง
“ทัตสินะ… ฉันจะจำชื่อของแกไว้” ดิวพูดราวกับย้ำเตือนตัวเองก่อนจะกลับมากอดอก
“แต่ว่านะ… ที่แกพูดมันก็เป็นการคาดการณ์ในระยะยาวเกินไปอยู่ดี”
แต่ประโยคถัดไปก็ชี้ชัดเลยว่าเขายังไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย
“ไอ้การคิดเผื่อมันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าตายก่อนถึงตอนนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ” ดิวเริ่มชี้ช่องโหว่ของการให้เหตุผลที่ทัตเอื้อนเอ่ย แต่ทัตไม่ได้ทำอะไรนอกจากอดอกฟังและไม่ขัดขึ้นอย่างมีมารยาท
“แล้วอีกอย่าง… ถ้าสถานการณ์ที่เราคิดเผื่อและป้องกันมันไม่ได้เกิดขึ้น สุดท้ายทรัพยากรและเวลาที่ลงแรงไปก็เสียเปล่าอยู่ดี ถูกไหม?”
ดิวพูดตรงประเด็น และหากวิธีการของพวกเซฟเวอร์จะมีข้อบกพร่องตรงไหนก็คงเป็นจุดที่ดิวชี้ให้เห็นนี้แหล่ะ
“ถูกอย่างที่นายว่านั่นแหล่ะ” ทัตยอมรับตามตรง เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะโกหกคนหัวไวด้วยกัน
“แต่พอได้ยินแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดเลยว่านายเป็นพวกที่ไม่เห็นอันตรายจากการเปลี่ยนแปลงสินะ… งั้นฉันจะให้นายดูอะไรดี ๆ ก็แล้วกัน”
แต่ถึงจะเป็นข้อเสียสำหรับดิว มันก็ไม่ได้เป็นข้อเสียสำหรับทัต… ตรงจุดนี้คงขึ้นอยู่กับการชั่งน้ำหนักความสำคัญของแต่ละคน
ทัตรู้เรื่องนั้น… และรู้วิธีเปลี่ยนมันด้วย… เพราะในแง่ของข้อมูลของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้ทัตมีสิ่งที่คนพวกนี้ไม่เคยรู้มาก่อนอยู่ในมือ
“นายน่ะเลเวล 95 สินะ… ลองโจมตีฉันดูสิ”
ทัตถึงพูดบางอย่างที่ดูบ้ามาก ๆ ออกมา ซึ่งนั่นทำให้เหล่าเซฟเวอร์ โดยเฉพาะพวกระดับหัวหน้าที่รู้จักทัต และที่เป็นห่วงที่สุดแน่นอนว่าเป็นพิม รวมถึงฝ้ายที่ถึงกับลุกขึ้นยืนหันขวับกลับไปมองทัตที่อยู่ด้านหลังเลยทีเดียว
“ไม่ได้ค่ะ! พี่คิดอะไรอยู่กันคะเนี่ย!” ทางฝ้ายถึงกับถลึงตาเข้าใส่ทัตเพื่อพยายามขู่ให้กลัว แต่แน่นอนว่าไม่ได้ผลหลังจากที่ทัตรู้แล้วระดับนึงว่าฝ้ายคิดยังไงกับเขา
“นั่นสิ! มันอันตรายไม่ใช่รึไง!? โดยเฉพาะกับคนพวกนี้เนี่ย!?” ในขณะที่พิมนั้นชี้นิ้วไปที่ดิวอย่างหงุดหงิด ท่าทางของเธอเองก็พยายามขู่ให้กลัวเช่นกัน แต่แตกต่างตรงที่เป้าหมายคือศัตรูอย่างดิวไม่ใช่ทัต
อย่ามายุ่งกับทัตของฉันนะยะ! สายตาอันเกรี้ยวกราดของพิมบอกแบบนั้น
“ไม่เป็นไรหรอก ก็ถ้าเกิดหมอนี่ฆ่าฉันได้จริง ๆ ก็ฝากล้างแค้นให้ด้วยแล้วกันนะ” ทัตเอ่ยด้วยรอยยิ้มติดตลก แต่น้ำเสียงเหมือนไม่ได้ยิ้มเลย
“…แบบนั้นมันไม่ตลกเลยนะคะ” และถึงจะดูเหมือนเป็นแค่มุกแต่แน่นอนว่าฝ้ายไม่ขำด้วย เช่นเดียวกับพิมที่ทำแก้มป่องแง่งอนผสมโกรธจัดไปแล้ว
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นแค่การบลัฟและข่มขู่เพื่อลดโอกาสที่ดิวจะสังหารทัตเท่านั้น
…แต่อันที่จริง ทัตมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นท์เลยว่าดิวคงตั้งใจจะฆ่าเขาจริง ๆ แน่ มุกตลกนั่นจึงเป็นแค่สิ่งที่ทำให้พิมกับฝ้ายผ่อนคลายลง
และถึงดิวตั้งใจจะฆ่าเขาจริง ๆ ดิวก็คงทำไม่ได้แน่ ๆ
เพราะมีแค่ทัตเท่านั้นที่รู้… ว่าเลเวลไม่ใช่ข้อได้เปรียบในกรณีขอตัวเขา
“แล้วก็… ก่อนจะโจมตีฉันก็ดูเลเวลของฉันก่อนด้วยล่ะ” ทัตพูดแบบนั้นเสริมในขณะที่เดินออกเก้าอี้ที่ฝ้ายนั่งไปอยู่ข้าง ๆ แทนเพื่อให้ดิวอยู่ในจุดที่จะโจมตีทัตได้ง่าย ๆ
ทางดิวเองก็ประหลาดใจเหมือนกันที่ทัตพูดแบบนั้นออกมา ความระแวดระวังเองก็เกิดขึ้นเพราะไม่เข้าใจว่าทัตตั้งใจจะทำอะไร
แต่ก็เอาเถอะ…
ดิวระแวงได้ไม่นานก็ปัดตกความคิดตัวเองลง เพราะยังไงบางเรื่องก็พิสูจน์ได้แค่การกระทำมากกว่าคิดตามตรรกะ
…ในพริบตาถัดมาร่างของเขาที่เคยนั่งบนเก้าอี้ยาวถึงอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
สายตาของเซฟเวอร์ทุกคนจึงเบิกโพลงขึ้นด้วยความหวาดกลัว เพราะตระหนักได้ในทันทีว่าเขากำลังใช้สกิล ‘พรางกาย’ ซึ่งนั่นจะทำให้ร่างและการสัมผัสถึงผู้ใช้หายไปอย่างสมบูรณ์ และหากรวมเข้ากับการโจมตีอันทรงพลัง การโจมตีแรกก็แทบจะมีโอกาสสำเร็จหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
“หา!!?”
เสียงประหลาดดังขึ้นในอีกพริบตาหนึ่ง ทว่าไม่ได้มาจากฝ่ายตั้งรับอย่างทัตหากแต่เป็นคนที่ใช้มีดสั้นพุ่งเข้ามาโจมตีทัตแทน และความประหลาดใจนั้นเกิดขึ้นก็เพราะทัตเอี้ยวตัวหลบคมมีดจนมันผ่านคอไปอย่างฉิวเฉียดทั้งที่ทัตไม่น่าจะรู้ว่าคมมีดมันพุ่งหรือเหวี่ยงเข้ามาจากทิศไหนแท้ ๆ แถมทัตยังสัมผัสเสื้อของดิวจนสกิลพรางกายของเขาหมดฤทธิ์ได้อย่างแม่นยำอีกต่างหาก
สถานการณ์อันตรายเมื่อครู่ทำให้ฝ้ายเรียกหอกคู่ใจออกมาเช่นเดียวกับพิมที่ดึงคาตานะออกมาจากฝัก รวมถึงสมาชิกเวฟเวอร์คนอื่น ๆ ที่เตรียมจู่โจม นั่นจึงส่งผลให้พวกพยัคฆ์ฟ้าเองก็กำอาวุธในมือตัวเองแน่นเช่นกัน
แต่พอเห็นว่าทัตไม่ได้เป็นอะไรทุกคนก็ผ่อนคลายลงยกเว้นพวกพยัคฆ์ฟ้า กับดิวที่เริ่มจะตระหนักถึงความผิดปกติบางอย่างจากเรื่องที่เกิดขึ้น
คนที่จะหลบการโจมตีของสกิล ‘พรางกาย’ ได้ จะต้องมีสกิล ‘ซิกส์เซนส์’ ที่มีเลเวลมากกว่าหรือเท่ากันเท่านั้นถึงจะทำได้
เลเวลสกิลพรางกายของฉันคือ 8 ดังนั้น ไอ้ทัตมันต้องมีสกิล ‘ซิกส์เซนส์’ อยู่ที่เลเวล 8
ไม่สิ… การที่มันสัมผัสถึงตัวเราได้ขณะที่สกิลเรายังไม่หายไปคือหลักฐานว่าสกิลของมันต้องสูงกว่าจึงต้องอยู่ที่เลเวล 9 เป็นอย่างน้อย
แต่เลเวลรวมของไอ้เวรนี่คือ 75 ซึ่งนั่นหมายความว่าเลเวลของสกิล ‘ซิกส์เซนส์’ ที่สูงที่สุดที่มันควรจะมีได้คือเลเวล 7 แต่ว่ามันกลับ…
…นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย?
“เห็นไหม? สถานการณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปมันเกิดขึ้นได้ตลอดนั่นแหล่ะ… เพราะงั้นคำตอบที่ถูกก็คือวิธีการของเซฟเวอร์ไม่ใช่นาย”
กับสถานการณ์ที่ไม่รู้ที่มีที่ไปมันได้เกิดขึ้นตรงหน้า บวกกับการตอกย้ำของทัตก็เริ่มทำให้ดิวเชื่อว่าเหตุผลของทัตมีน้ำหนักมากกว่าตัวเอง เพราะสิ่งผิดปกตินี้คือหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เขาเคยรู้
แม้ดิวจะไม่รู้ว่าที่ทัตมีพลังสูงกว่าคนอื่นในเลเวลเดียวกันหรือมากกว่าเป็นเพราะเขาถือครองฉายา ‘The One’ แต่ก็มั่นใจได้แน่ ๆ ว่าทัตแข็งแกร่งกว่าคนอื่นที่เลเวลเดียวกันหรือมากกว่าอย่างผิดปกติ
นั่นคือประเด็นที่ดิวกำลังขบคิดอย่างจริงจัง แต่สำหรับพวกพยัคฆ์ฟ้าคนอื่น ๆ แล้ว มันคือการหยามหน้ากันชัด ๆ
“วิธีที่ถูกต้องอะไรของแกฮะ!”
“อย่าคิดว่าแค่นั้นจะข่มพวกเราได้นะเว้ย!”
พวกเขาถึงได้แสดงความหงุดหงิดออกมากันใหญ่ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่อะไรนอกจากความหงุดหงิดที่โดนดูถูก ไม่เหมือนดิวที่หงุดหงิดเพราะถูกความเป็นจริงที่ตัวเองปฏิเสธซัดหน้าเข้าอย่างจัง
“พอเถอะว่ะ… ยิ่งพูดพวกแกก็ยิ่งดูโง่ซะเปล่า ๆ”
อาจเพราะแบบนั้นก็ได้ ดิวถึงได้โกรธพวกเดียวกันแทนที่จะเป็นทัต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่หงุดหงิดทัตเลย เห็นได้ชัดจากสายตาที่เขามองทัตแม้จะยังมีรอยยิ้มอยู่ก็ตาม
แต่ถึงจะเป็นรอยยิ้มน่าสงสัย ก็ยังบอกได้ยากว่าเป็นในแง่ดีหรือร้ายสำหรับทัต
“น่าสนใจดีนี่หว่า แทนที่จะตามก้นน้องสาว แกน่ะมาเป็นลูกน้องฉันดีกว่า” คำพูดถัดมาของดิวคืออีกสิ่งยืนยันว่าออกไปในทางสนใจทัตเอามาก ๆ จากที่เห็นสิ่งที่ทัตทำ แต่ว่า…
“ขอปฏิเสธ”
“เชอะ… รู้อยู่แล้วน่า”
ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่การถูกบอกปัดในทันทีก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่เบา
“เออ… ยอมรับเลยว่าทางที่ฉันเลือกเป็นคำตอบที่ผิด” ดิวพูดราวยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนจะเกาศีรษะ แต่ท่าทางของเขายังมั่นคงไม่เปลี่ยนแม้จะยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดจริง
“แต่ว่านะทัต… แกน่ะ คิดว่ามนุษย์เราจะฉลาดกันทุกคนรึไง?”
ดิวพูดแล้วก็กลับไปนั่งเก้าอี้ยาวที่เดิม แต่มาพร้อมคำถามปิดท้ายที่ทำให้ทัตหยุดสนใจ
“ส่วนใหญ่แล้ว ต่อให้มีคำตอบที่ถูกต้องอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังยึดติดกับความรู้สึกของตัวเองมากกว่าเหตุผลอยู่ดีนั่นแหล่ะ… เชื่อเถอะว่านี่ต่างหากคือความจริง”
คำถามของดิวคล้ายกับตั้งใจจะทำลายพื้นฐานของความคิดระหว่างทัตกับของตัวเอง เพราะแบบนั้นมันจะหมายความว่า ‘แนวคิดหรือวิธีการแบบไหนก็ไม่มีน้ำหนักเท่ากับความรู้สึกส่วนตัว’
“…ไม่ใช่ทุกคนหรอก” และแน่นอนว่าพวกนิยมเหตุผลอย่างทัตไม่เห็นด้วย
“แล้วแกจะได้รู้”
จนถึงที่สุด เส้นทางของทัตกับดิวก็ยังเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ แต่อย่างน้อยในเร็ว ๆ นี้ก็ยังไม่บรรจบกันในฐานะของศัตรูจนเกิดสงคราม นั่นจึงวางใจได้เปราะนึง
“ถ้างั้น ก็ช่วยเลิกทำพฤติกรรมแบบที่ว่าด้วยด้วยนะคะ ถ้ายอมรับตามนั้นพวกเราก็จะกลับทันที”
“จ้า ๆ จะไม่ทำอีกแล้วล่ะ”
และดูเหมือนบทสรุปจะมาถึงแล้ว ฝ้ายก็เลยพูดเหมือนเป็นการจบประเด็นประชุม พร้อม ๆ กับที่ทัตเดินกลับไปอยู่ข้าง ๆ พิมที่เดิม
เป็นเวลาเดียวกับที่ดิวเองก็ยืนขึ้นเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะมีสิ่งที่ต้องการจะพูดอยู่อีกแต่เป็นเพราะการพูดคุยได้จบลงแล้วต่างหาก
แต่… ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างราบรื่น
“แต่พวกแกก็คงไม่เชื่อพวกเราง่าย ๆ ใช่ไหมล่ะ”
“…ตามนั้นเลยค่ะ”
อย่างไรก็ดี… ทุกคนต่างก็รู้ว่าแค่คำพูดไม่อาจเป็นสิ่งที่ใช้ยืนยันได้ โดยเฉพาะกับคนพวกนี้ ซึ่งหากจะไว้ใจคำพูดนั้นก็คงไม่ปลอดภัย ฝ้ายที่เป็นหัวหน้าซึ่งแบกรับความรับผิดชอบในชีวิตของทุกคนอยู่ตระหนักเรื่องนั้นดีกว่าใคร
แต่วิธีการของเซฟเวอร์ก็ถูกจำกัดเพราะมีกฎอย่างที่บอก นั่นเลยเป็นปัญหาสำหรับพวกฝ้ายมาตั้งแต่แรกแม้พวกพยัคฆ์ฟ้าจะจำยอมแล้วก็ตาม
ในขณะที่ทัตเองก็กำลังสงสัยว่าต้องทำยังไง ฝ้ายก็เคลื่อนไหวไปก่อนแล้วด้วยการเดินเข้าไปหาพวกพยัคฆ์ฟ้าอย่างไร้ความเกรงกลัวเช่นเคย
“พวกคุณมีที่ปฐมพยาบาลอยู่ใช่ไหมคะ?” ก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ก็ต้องมีอยู่แล้ว ถามอย่างนั้นหมายความว่ายังไงวะ?” คำถามของฝ้ายทำให้มาวินเดินออกมาเผชิญหน้าด้วยความสงสัย และแน่นอนว่ามันสร้างความหงุดหงิดเช่นเคย
“แค่ถามเพราะเป็นเพราะห่วงน่ะค่ะ”
แต่สำหรับฝ้ายแล้ว พอมาวินเดินเข้ามาหา เธอกลับฉีกยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น
…ราวกับว่าเขาเดินมาอยู่ในจุดที่เธอต้องการไว้ไม่มีผิด
“เพราะถ้าพวกคุณรักษากันเองไม่ได้ ฉันก็ค่อนข้างรู้สึกรังเกียจถ้าให้คนอย่างพวกคุณมาที่ฐานของพวกเราน่ะค่ะ”
ฉั๊ว!!!
พริบตาถัดมาก็เกิดเสียงตัดขึ้น
ในมือของฝ้ายมีหอกที่ถูกสะบัดเลือดที่ติดอยู่ออกไปจากพื้น แต่ไม่มีใครตระหนักได้ว่านั่นมาจากไหน
จนกระทั่งโลหิตสีแดงฉานพวยพุ่งออกมาจากข้อมือขวาของมาวินที่ยืนอยู่ข้างหน้าฝ้าย
“อ้ากกกกกกก!!! มะ มือ… มือกู อ้ากกกกกก!!!”
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของเจ้าตัว นั่นถึงทำให้รู้ว่าที่มาของเรื่องทั้งหมดเกิดจากฝ้ายที่ใช้คมหอกตัดข้อมือของมาวินทิ้ง
ท่าทางของเธอเป็นธรรมชาติประหนึ่งทำเป็นเรื่องปกติ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีอาการรังเกียจหรือหวาดกลัวเลือดแบบที่พิมแสดงออกมาทางสีหน้าตอนนี้
แม้แต่พวกสิน คิว กิฟ เบลหรือลินดาเองก็มีปฏิกิริยา โดยเฉพาะพวกพยัคฆ์ฟ้าคนอื่น ๆ ที่ถึงกับผงะถอยหลังด้วยความกลัว
จะมีข้อยกเว้นก็แค่เจ้าตัวอย่างฝ้าย กับดิวที่ไม่รู้ว่าเคยชินกับเรื่องแบบนี้แล้วหรือไม่ใส่ใจเพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง และทัตที่ตกตะลึงจนพูดหรือขยับตัวอะไรไม่ได้เลย
…เพราะไม่คิดว่าน้องสาวของเขามีด้านที่เลือดเย็นแบบนี้อยู่นั่นแหล่ะ
“แก! ยัยเด็กเวร!————”
“นี่เป็นคำเตือนค่ะ… ถ้ายังทำเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร นี่คือสิ่งที่พวกคุณจะได้รับค่ะ”
ในจังหวะที่มาวินพยายามเปิดปาก ฝ้ายก็ชิงพูดขัดขึ้นมาก่อน และดูเหมือนความกลัวจะยังหลงเหลืออยู่ผ่านบาดแผล มาวินถึงชะงักในทันทีที่ฝ้ายแย่งจังหวะพูดของเขา
“แล้วก็… เอาเวลาไปหาผ้ามามัดปากแผลก่อนที่เลือดจะหมดตัวดีกว่านะคะ” ฝ้ายพูดเหมือนเป็นห่วง แต่แน่นอนว่าเป็นการพูดตามมารยาท เพราะถ้าคิดอย่างนั้นจริง ๆ เธอคงไม่ทำอย่างนี้แต่แรก
“ถึงพี่ของฉันจะพูดไปแบบนั้นก็จริง แต่ฉันก็ไม่ใช่พวกเถรตรงถึงขนาดที่จะยอมทำตามกฎไปทุกกระเบียดนิ้วหรอกนะคะ และไม่คิดจะประนีประนอมกับคนอย่างพวกคุณด้วย… ถ้าถึงคราวจำเป็นจะให้แหกกฎฉันก็ไม่เกี่ยงด้วยค่ะ เพราะงั้นอย่าบังคับให้ฉันหมดทางเลือกดีกว่านะคะ”
ฝ้ายพูดในขณะที่เดินกวาดสายตามองพวกพยัคฆ์ฟ้า และดูท่าจะไม่มีใครกล้าขยับแม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ฉลาดพอที่จะไม่คิดต่อกรกับระดับหัวหน้าหน่วยประจำภูมิภาคอย่างฝ้าย
“แล้วอีกอย่าง ถึงถูกตัดแขนไปก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนเลยนี่คะ” ปิดท้ายด้วยการกลับมาพูดกับมาวินที่เป็นเจ้าทุกข์โดยตรง
“เดี๋ยวตอนที่เวลาย้อนกลับไปมันก็กลับมาเหมือนเดิมเองนั่นแหล่ะค่ะ เหมือนกับพวกคนที่คุณฆ่าไปนั่นแหล่ะเนาะ”
ก่อนจะปิดท้ายด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับเด็กสาวขี้อ้อนทั่วไป… แต่แน่นอนว่าหากนำเรื่องที่ฝ้ายเพิ่งตัดมือคนไปมาประกอบ มันก็ทำให้รู้สึกขนลุกไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะพวกพยัคฆ์ฟ้า
โดยความตั้งใจของเธอ แน่นอนว่าคงเป็นการทำให้พวกนี้รู้สึกเสียบ้างว่าคนที่ถูกฆ่าไปต้องรู้สึกยังไง จะว่าเป็นการสั่งสอนก็คงไม่ผิด แต่ก็คงไม่ได้ผลมากนักกับคนจำพวกที่เอาแต่โทษคนอื่นยกเว้นตัวเองอย่างพวกนี้
พวกเขาไม่มีทางสำนึกกับเรื่องแค่นี้แน่ นอกจากนั้นยังทำให้คนพวกนี้แค้นฝังลึกไปเสียอีก แต่ที่น่าเจ็บใจคือพวกนี้คงทำอะไรฝ้ายไม่ได้แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนหรือใช้จำนวนที่มากกว่าก็ตาม
เห็นแบบนั้นแม้แต่ดิวยังได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แต่ก็ทำได้แค่ยักไหล่เพราะรู้ว่าฝ้ายเลเวลเหนือกว่าตนจึงทำอะไรนอกจากนี้ไม่ได้
ในขณะที่ทัตเองก็ได้แต่มองแผ่นหลังอันเย็นชาของน้องสาวตัวเองด้วยความสับสนไม่เบา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้คุยกันและคิดว่าได้รู้จักส่วนที่ไม่รู้จักของกันและกันมากขึ้นแล้ว
นี่จึงเห็นได้ชัดเลยว่าเขาคิดผิด… แต่เรื่องนั้นไม่ได้ทำให้ทัตกังวลมากเท่ากับมือที่กำลังสั่นของตัวเองหลังได้เห็นฝ้ายที่ทำแบบนั้นได้ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาโดยไม่ได้คำนึงเรื่องความถูกต้องเพราะรู้อยู่ว่าสิ่งที่ฝ้ายทำนั้นมันเป็นเพราะเธอไม่มีทางเลือกและเป็นเรื่องจำเป็น
ประเด็นสำคัญก็คือ มันทำให้ทัตรู้สึกกลัวมากกว่า… ว่าตัวฝ้ายที่เขาวาดไว้ในหัว อาจจะเป็นคนละคนกับที่เธอเป็นจริง ๆ
บ้าเอ้ย… ทั้งที่พี่ไม่ได้อยากจะกลัวน้องเลยแท้ ๆ
ทัตตระหนักความรู้สึกตัวเองแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมา เพราะความรู้สึกจริง ๆ ของเขาคืออยากจะเปิดใจและเป็นครอบครัวกับเธอ
…ไม่ใช่หวาดกลัวแบบที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้
❖❖❖❖❖