เจ้าหมอนั่น… ใต้ชื่อกับเลเวลมีแท็ก ‘ประเภท’ แสดงผล แสดงว่ามันเป็นมอนสเตอร์
แล้ว ‘Lord’ นี่มันอะไรกัน? ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีมอนสเตอร์ประเภทนี้อยู่ด้วย
ความสนใจของทุกคนพุ่งไปยังชายปริศนาที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันกันหมด และยิ่งสร้างความฉงนให้กับคนที่มีสกิลวิเคราะห์
ทัตเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาถึงจ้องชายวัยกลางคนในชุดสูทที่ดูแปลกตาบนดาดฟ้าไม่วางตา
แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้อำนวยให้ระวังแค่ชายปริศนาคนนี้ เพราะเบื้องหน้ายังเหลือชายที่ใช้ปืนคาบศิลาซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจอยู่อีกคน
ไม่สิ… ไม่ใช่แค่นั้นที่น่าเป็นห่วง
“อึก… เวรเอ้ย”
นอกจากนั้นยังมีสินที่ถูกยิงอยู่อีก อาการของเขาน่าเป็นห่วงสุด ๆ เพราะถูกยิงเข้าจากด้านหน้าเต็ม ๆ ไปหลายนัด เรียกว่าแปลกด้วยซ้ำที่เขายังทนยืนอยู่ได้
ให้ตายสิ ทางไหนก็มีแต่เรื่องให้กังวลทั้งนั้น
ทัตเริ่มบ่นอุบ หงุดหงิดกับความปั่นป่วนของสถานการณ์จนคิ้วขมวดแน่น
แต่ถึงแบบนั้น…
…ช่างมันก็แล้วกัน
ไม่ว่าจะมีศัตรูโผล่มาเพิ่มเท่าไร แต่เรื่องหนึ่งที่แน่ใจคือทัตไม่อยากเสียใครไปอีก
เขาถึงเดินเข้าไปพยุงสินที่กำลังจะล้มลงอยู่รอมร่อ หิ้วปีกเขาไว้โดยไม่สนว่าชายใช้ปืนคาบศิลากับมอนสเตอร์ปริศนาในร่างมนุษย์จะมองมาทางเขา
นั่นเลยทำให้ทัตไม่ทันสังเกตรอยยิ้มพึงพอใจของชายปริศนาตนนั้น แม้มันจะดูเหมือนเขากำลังสนุกมากกว่าก็ตาม
“พิม ระวังไอ้ตัวข้างบนไว้ให้ดี ๆ นะ” ทัตไม่ลืมที่จะเตือนพิมที่เดินเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อให้ระวังศัตรูแทนตน
พิมเองก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์ดี อย่างน้อยเธอก็จับสังเกตได้ถึงความผิดปกติที่ทัตใช้คำว่า ‘ตัว’ ไม่ใช่ ‘คน’
ทางด้านชายใช้ปืนคาบศิลากับดิวที่ดูอยู่ห่าง ๆ เองก็เห็นทัตเผยช่องว่างจากการให้ความสำคัญกับคนเจ็บเหมือนกัน แต่พวกมันก็ให้ความสนใจกับศัตรูใหม่มากกว่าอยู่ดี
คงคิดว่าพวกทัตเป็นของตายที่จะจัดการเมื่อไรก็ได้ไปแล้วกระมัง
“…นี่แกเป็นตัวอะไรกันแน่” ชายที่ใช้ปืนคาบศิลาถึงเงยหน้าไปถามชายปริศนาแทน
สำหรับคำถาม… ไม่ว่าใครก็อยากได้คำตอบทั้งนั้น
ฟุบ!
แต่การที่เจ้าตัวกระโดดลงมายืนอยู่ต่อหน้าพวกทัตนั้น ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าการสร้างความระแวง และกังวลเพิ่ม
“ตัวอะไรงั้นเหรอ?” ลอร์ดไร้นามกอดอกใคร่ครวญคำถาม ส่วนสูงของตึกเกือบสิบชั้นไม่ทำให้มันเสียจังหวะเลยสักนิด
ทว่านั่นไม่น่าตกใจเท่ากับคำตอบของมัน
“เป็นอะไร… ที่คล้ายกับลาสบอสล่ะมั้งนะ”
ลอร์ดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ …แต่เนื้อหาทำให้ร่างกายของทุกคนเกร็งพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ไม่ใช่เรื่องที่ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นจริงเท็จหรือไม่ แต่เพราะยืนยันไม่ได้ต่างหากถึงยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัว
“ลาสบอสเหรอ”
“มันพูดเรื่องอะไรของมัน”
พิมกับสินคือตัวอย่าง แม้จะแสดงออกอย่างใจเย็นแต่น้ำเสียงของทั้งสองคนก็ยังสั่นระรัว ถึงสำหรับสินส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพราะเจ็บแผลก็เถอะ
แต่สำหรับทัตที่ความพิโรธยังไม่ได้ลดลงเลยนั้นไม่ใช่
ลาสบอส… หมายถึงถ้าจัดการมันได้ เรื่องบ้า ๆ พวกนี้ก็จะจบลงงั้นเหรอ?
ความโกรธเกรี้ยวที่มีและไม่รู้จะไปลงที่ไหนเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปยังชายปริศนา… ลอร์ดคนนี้แทน
และดูเหมือนมันจะสัมผัสความอาฆาตนั้นได้ถึงหันมาทางทัต แต่ก็ด้วยสายตาหน่ายใจพอควร
“อย่าดีกว่า ‘The One’ เอ๋ย… แกยังไม่พร้อมหรอก”
และคำพูดของมันก็ดูมีประเด็นจนทำให้ทัตกับพิมเลิกคิ้วตกตะลึง
“แกรู้เรื่องนั้นได้ยังไง” ทัตระแวดระวังตัวขึ้นมาทันที พิมเองก็ขยับตัวเข้ามาบังทัตพร้อมกับกัดฟันแน่น
ถึงจะไม่น่าดีใจที่ได้รู้ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่ามันสามารถมองเห็นฉายาของคนอื่นได้ กับอีกจุดที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือมันน่าจะมีเลเวลสกิลมากกว่าทัตโข มันถึงอ่านข้อมูลของทัตออก
…ในอีกทางนึง มันก็ทำให้ดิวเริ่มรู้แล้วว่าทัตเป็นคน ‘พิเศษ’ จริงดังที่ได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้
อย่างไรก็ดี… ดูเหมือนลอร์ดจะไม่เก็บคำถามของทัตมาใส่ใจเลย
ได้ใจใหญ่เลยนะไอ้หมอนี่… ทั้งที่เป็นโอกาสดีที่จะได้รู้ความจริงแท้ ๆ
ทัตอยากจะถามย้ำแต่ไม่กล้าเปิดปาก เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าศัตรูแข็งแกร่งมาก… แข็งแกร่งเกินไป
เผลอ ๆ มันอาจฆ่าทุกคนที่นี่ได้ในพริบตาด้วยซ้ำ จึงยิ่งน่าสงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ทำแบบนั้นเหมือนกับมอนสเตอร์ตัวอื่น ๆ ที่เคยเจอ
เหงื่อเย็นที่ผุดบนผิวแผ่นหลังคือสิ่งย้ำเตือนถึงความกลัวเป็นอย่างดี การเลือกใช้คำและจังหวะจึงเป็นสิ่งจำเป็น
“แกนี่ดูฉลาดกว่าคนก่อน ๆ เยอะเลยนะ”
คนก่อนเหรอ?
ทุกอย่างที่ลอร์ดพูดออกมาล้วนแล้วแต่มีประเด็นทำให้ทัตต้องหยุดฟัง
เพราะเกี่ยวกับเขาโดยตรงส่วนหนึ่งก็ใช่ แต่มันทำให้เขารู้สึกอันตรายมากกว่า เขารู้สึกราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของลอร์ดคนนี้มาตั้งแต่แรกอย่างไรชอบกล
“แล้วนี่แกตั้งใจจะทำอะไร” ชายผู้ใช้ปืนคาบศิลาเอ่ยถามในจังหวะที่ทัตชะงักไปเพราะความสับสน
“นั่นสิ มาทำอะไรกันน้า” ลอร์ดทำเป็นเล่นลิ้น ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นชายวัยกลางคนทำให้รู้สึกน่าหมั่นไส้แม้เขาจะใช้น้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“ว่าแต่คนอื่น นายเองก็ดูเป็นมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญามากเกินไปนะ” ดิวเองก็ร่วมผสมโรง
“มากพอจะรู้ว่าแกมักประจบประแจงเลยล่ะ”
แต่สุดท้ายทุกคำถามก็ไม่มีคำตอบกลับมาเลยสักข้อ
สถานการณ์จึงยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่มีใครมองเจตนาของอีกฝ่ายออกเลยสักคน พอรู้ตัวอีกทีมือที่กำอาวุธอยู่ก็แน่นขึ้น เรียกว่าพร้อมจะหันใส่ศัตรูได้ทุกเมื่อคงไม่ผิด
คงมีแค่ทัตที่ประคองสินอยู่เท่านั้นที่ไม่พร้อมทำแบบนั้น
“เห้ย…” แต่ว่าก่อนหน้านั้น ก็ดันมีใครคนนึงส่งเสียงขัดจังหวะขึ้นมาก่อนจนทุกคนชะงักไปอีก
“กูกับมึงยังไม่จบนะโว้ย”
“ยังไม่ตายอีกเหรอวะเนี่ย”
ทัตเผลอกลืนน้ำลายหลังเห็นว่าชายใช้ดาบที่เขากับพิมร่วมกันฌาปนกิจไปก่อนหน้านี้ยังไม่ตาย ทัตเห็นชัดแล้วว่าคนที่มีเลเวลมากกว่า 100 นั้นอึดถึกทนแค่ไหน
แม้สภาพภายนอกของเขาจะดำเกรียมเหม็นไหม้ แต่มันก็ยังเดินย่องเข้ามาหาพวกทัตได้เหมือนศพเดินดิน
“พวกมึง… ทำกับกูขนาดนี้ คิดว่ากูเป็นใครวะ!”
น้ำเสียงของมันหงุดหงิดที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน การเรียกดาบดำเล่มเดิมมาถือว่อนยิ่งทำให้สภาพการณ์ย่ำแย่
เวรเอ้ย… สถานการณ์จะเลวร้ายไปถึงไหนกันวะ!
ทัตหันสลับมองทั้งชายใช้ปืน ดิว ลอร์ดและชายใช้ดาบที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาด้วยความสับสน เริ่มจัดลำดับความสำคัญไม่ถูกเพราะไม่รู้ใครจะเข้ามาก่อน
ไม่สิ… ก่อนจะคำนึงถึงเรื่องนั้น ต่อให้ใครเข้ามาก่อน แต่ทัตในตอนนี้จะรับมือได้งั้นเหรอ? คิดแบบนั้นความหวาดกลัวก็เริ่มเข้าครอบงำ
แต่สิ่งเดียวที่ทัตกังวลที่สุดก็คือพิม… เขาไม่อยากเสียเธอไปอีกคนแล้ว
ทว่า… สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหลือทางเลือกมากนัก
“หนีไปซะพิม!”
ยิ่งในตอนที่ชายใช้ดาบกำลังพุ่งเข้ามาหาด้วยแล้ว กลับมีแค่พิมคนเดียวที่ขยับไปบังได้ และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ทัตหวังให้เธอทำ
แม้ตั้งใจจะเป็นโล่กำบังให้พิมเอาตอนนี้ มันก็ไม่ทันแล้ว
“ตายซะพวกมึ————”
“เดี๋ยวก่อนสิ”
พั๊ว!!!
แต่คมดาบนั้นก็ไม่มีวันไปถึงพิมอีกแล้ว
ถัดจากเสียงที่ลอร์ดเอ่ยด้วยน้ำเสียงธรรมดาปนเบื่อหน่าย ร่างของลอร์ดก็ย้ายไปอยู่ด้านหลังของชายที่ใช้ดาบแล้วหลังแหวนใส่กกหู พริบตานั้นศีรษะของชายใช้ดาบก็ปลิวกระเด็นออกไปอย่างง่ายดายเหมือนลูกบอลกระเด้งพื้น
ร่างไร้หัวของมันล้มลงตรงพื้นข้างหน้าของพิม สร้างความหวาดกลัวหนาวเย็นไปถึงกระดูกดำให้กับทุกคนที่ได้เห็น
มีประกาศเลเวลอัพเข้ามาในหัวของทัตกับพิมเช่นกัน… แต่ว่านั่นไม่ได้ดึงความสนใจของพวกเขามากเท่ากับสิ่งที่ลอร์ดตัวนี้ทำ
ตอบสนองไม่ทันเลย…
ทัตกลืนน้ำลาย
ทั้งชายที่ใช้ปืนคาบศิลาหรือคนที่เพิ่งถูกฆ่า แม้จะเป็นพวกที่มีเลเวลสูงกว่า 100 แต่ทัตก็ยังพอตามการเคลื่อนไหวของพวกมันและโต้ตอบได้
แต่กับมอนสเตอร์ลอร์ดตัวนี้แล้ว อย่าว่าแต่ตอบสนองเลย แค่มองให้ทันยังไม่มีใครในที่นี้ทำได้เลยด้วยซ้ำ ทุกคนถึงเผลอชักเท้าหนีไปจากมัน
หลังได้รู้แล้วว่าตัวตนที่อันตรายที่สุดในที่แห่งนี้ ก็คือ ‘ลอร์ด’ ตัวนี้นี่เอง
“เปราะบางซะจริง ไม่สนุกเอาซะเลย” ลอร์ดสะบัดมือที่ติดเลือดก่อนจะถอนหายใจ ความเบื่อหน่ายที่แสดงออกทางสีหน้านั้นชัดเจนเอามาก ๆ
“สนุกเหรอ…”
ทัตบ่นพึมพำ แต่เหมือนจะไปเข้าหูลอร์ดเข้าให้ มันถึงหันมาสนใจทัตอีกครั้งจนเขารู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
ไม่สิ… ความจริงตั้งแต่ที่มันปรากฏตัวขึ้นมา ความสนใจเกือบทั้งหมดก็พุ่งไปที่ทัตตั้งแต่แรกแล้ว
“นี่… แกคิดว่าฉันมาที่นี่ทำไมงั้นเหรอ?”
เพียงแต่หนนี้… มันแสดงออกมาอย่างซื่อตรงด้วยการเดินเข้ามาหาทัตอย่างชัดเจน ทั้งยังตั้งคำถามออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
และถ้ามันจบแค่นั้นก็คงดี
“ถ้าตอบถูกฉันจะให้รางวัล” ลอร์ดยื่นข้อเสนอสุดเย้ายวน
“แต่ถ้าตอบผิดฉันจะฆ่าพวกแกทุกคน”
ก่อนจะตบท้ายด้วยบทลงโทษที่ไม่ได้คุ้มค่าเลยสักนิด สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนที่นี่จนถึงขีดสุด แม้แต่พวกที่เลเวลเกิน 100 เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“เห้ยเดี๋ยว! เกี่ยวอะไรกับกูด้วยวะ!” ชายที่ใช้ปืนคาบศิลาถึงเริ่มโวยวาย เขาเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่เอาชนะไม่ได้ถึงพยายามจะหนี
“อยากพนันก็พนันกันเองสิวะ! ฉันไม่เกี่ยวด้วยนะโว้————”
“หนวกหูน่า”
หารู้ไม่… ว่ามันจะกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง
ในพริบตาถัดมา ชายใช้ปืนคาบศิลาถึงโดนหมัดของลอร์ดทะลวงอก มันมีเวลากระอักเลือดแค่แปปเดียวก่อนจะสิ้นชีพในสภาพเดียวกับฝ้าย หากจะบอกว่ากรรมตามสนองก็คงไม่เกินเลย
แม้แต่ดิวเองก็รู้ตัวดีว่าทำอะไรไม่ได้ แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวกังวลออกมา
และไม่ว่ามันจะน่าสะใจแค่ไหน แต่ทัตคงไม่มีเวลาสนใจเรื่องนั้น
อะไรของมันวะเนี่ย!?
อยากจะฆ่าก็ฆ่า ไร้เหตุผลชะมัด!
นี่มันคิดว่ามันเป็นพระเจ้ารึไงกัน!?
ทัตอยากจะตะคอกกลับไปแบบนั้น แต่สถานะของเขาในตอนนี้ไม่อาจทำได้และบังคับให้ทัตทำได้แค่กัดฟัน
เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้านดี ๆ ก็ถูกภัยพิบัติอาทิพายุไซโคลนถล่มจนพังยับเยิน
ฆ่าคนเป็นผักปลา ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นไร้ต้นสาย… ความโหดร้ายนี้ไม่มีสัญญาณเตือนเหมือนกับสิ่งที่ลอร์ดตัวนี้กำลังทำไม่มีผิดเพี้ยน
“ว่าไง? ถ้าไม่เล่นกับฉัน งั้นจะให้ฆ่าผู้หญิงคนนี้ก่อนไหม?”
“หยุดก่อน! เข้าใจแล้ว จะตอบก็ได้!”
ลอร์ดหันไปเล็งพิมจนเธอไหล่สั่น ทัตถึงต้องรีบออกตัวก่อนแม้ในหัวจะไม่มีเบาะแสใด ๆ เลยก็ตาม
เวรเอ้ย! บอกตามตรง ใครมันจะไปรู้วะ! เอาแต่ใจชะมัด!
ไม่สิ! บ่นแบบนั้นมันไม่ช่วยอะไรเลย
ทัตตำหนิตัวเองเรียกสติ อย่างน้อยก็หวังให้กระบวนการคิดกลับมาเป็นปกติ
มันคือมอนสเตอร์… เรื่องนี้ไม่ผิดแน่
มอนสเตอร์ทุกตัวมีเป้าหมายคือการกำจัดมนุษย์
แต่จะเชื่อเรื่องนั้นไปเลยมันก็ไม่ถูก เพราะไอ้ลอร์ดนี่มันมีสติปัญญา
มันอาจจะมีหน้าที่อื่นไม่เหมือนมอนสเตอร์ปกติตัวอื่น ๆ ก็ได้
ถ้างั้นก็ต้องอนุมานเอาจากพฤติกรรมของมันตั้งแต่ปรากฏตัว
เบื่อหน่าย… ไม่ชอบศัตรูอ่อนแอ… มันมาเพราะอยากสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งเหรอ? หรือว่าแก้เบื่อ?
ไม่! เป็นการคาดเดาที่ไม่มีน้ำหนักเกินไป!
ตัวเลือกแรกดูจะมีความเป็นไปได้มากกว่าอีก!
หรือจะตอบว่า ‘มาเพื่อฆ่าคน’ แล้วอ้างถึงสิ่งที่หมอนี่ทำไปแล้ว?
ไม่… ไม่ได้! สิ่งที่ทำลงไปแล้วอาจเป็นคนละอย่างกับจุดประสงค์ที่มาก็ได้
เวรเอ้ย… จะทางไหนก็…
ยิ่งใช้เวลาคิดมากเท่าไหร่ คำตอบก็มีแต่จะยิ่งแตกแขนงและสร้างความสับสน
จะปล่อยให้นานกว่านี้ก็ไม่ได้อีก เพราะมันอาจจะไม่พอใจและทำร้ายพิมเมื่อไหร่ก็ได้
“คำตอบ… คือ…” ทัตกลืนน้ำลายแต่ไม่ลงคอเพราะแหบแห้งจากความกังวลก่อนที่จะตอบคำถาม
แต่สุดท้ายมันก็เลี่ยงไม่ได้ ทัตถึงต้องกลั้นใจตอบในจังหวะสุดท้ายด้วยการเดาที่คิดว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
“!!?”
ทว่า… ในจังหวะสุดท้าย ทัตกลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
นึกขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามที่ ‘ถูกต้อง’ แต่เป็นคำตอบที่ทำให้ ‘รอดชีวิต’
ความสับสนยังคงอยู่ในหัวของทัต สายตาเลื่อนไปสบกับพิมราวขอความช่วยเหลือ
…แต่เธอกลับยิ้มตอบพร้อมกับส่งสายตาไร้ความลังเลมาให้
ไม่เป็นไรหรอก เอาเลย
สายตาของพิมเหมือนอยากจะบอกแบบนั้น ไม่มีความเสียใจอยู่ในตาของเธอเลยไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง
ก็จริงที่สถานการณ์ในตอนนี้มันเหมือนกับตายไปแล้ว จะคิดถอดใจก็คงไม่แปลก การแสดงสายตาฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับคนอื่นมันถึงไม่ใช่เรื่องง่าย
จึงเป็นอีกครั้งที่พิมช่วยขจัดความกลัวและทำให้ทัตรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา พร้อมเผชิญหน้ากับการตอบคำถามอันไร้เหตุผลของลอร์ด
“แล้วถ้าฉัน… เลือกที่จะตอบว่า ‘ยังไม่ขอตอบตอนนี้’ ล่ะ”
ทัตตอบคำถามทั้งที่เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ทั้งพิมและสินหรือแม้แต่ดิวที่อยู่ห่างไปก็มีสภาพไม่ต่างกันหลังได้ยิน
แต่ในความคิดของทัต… เมื่อไม่รู้คำตอบที่แน่นอน การลองเสี่ยง ‘ทาง’ ที่มีโอกาสรอดสูงกว่าน่าจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การลอง
…แม้ว่าในทางปฏิบัติ โอกาสรอดมันจะต่ำเตี่ยเรี่ยดินไม่สูงไปกว่าการเดาเลยก็ตาม
มือที่เงื้อขึ้นสูงของลอร์ดคือสิ่งยืนยันเรื่องนั้น
“น่าเสียดายนะ เป็นคำตอบที่ผิ———”
“ทำไม ‘การไม่ตอบ’ ถึงเป็นคำตอบที่ผิดล่ะ” ทัตเอ่ยขัดก่อนที่ลอร์ดจะทันพูดจนจบ เขายังเงยหน้ามองลอร์ดด้วยท่าทีที่สงบกว่าก่อนหน้า
ความกลัวของมันหายไปไหน? ความสงสัยนั้นเกิดขึ้นในความคิดของลอร์ด แต่ไม่มากเท่ากับความมั่นใจที่สะท้อนในดวงตาของทัต
มือที่กำลังจะสับร่างของพวกทัตถึงหยุดลงก่อน ด้วยความสนใจของลอร์ดตัวนี้ล้วน ๆ
“ไม่สิ… เดิมทีคำว่าถูกกับผิดเนี่ย มันหมายความว่ายังไง”
ทัตถามคำถามนั้นกับลอร์ด จองมองเข้าไปในตาอันเวิ้งว้างไร้สิ้นสุดของมันเป็นหนที่สอง แต่รู้สึกเหมือนคำถามมันย้อนกลับเข้าหาตัวเองมากกว่า
“ทุกอย่างบนโลกนี้น่ะเสมอภาค ทุกอย่างต่างก็เป็นของมันอย่างนั้น… และมันไม่ได้มีอะไรดีหรือเลวจนกว่าจะมีคนไปตัดสินมัน”
ใบไม้ก็คือใบไม้… พื้นดินคือพื้นดิน… ทุกสิ่งไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าตัวของมันเอง
ไม่แม้แต่นามธรรมหรือแนวคิดอย่าง ‘การฆ่าคน’ ที่ทัตปฏิเสธว่าเป็นเรื่องผิดมาตลอดเองก็ไม่ต่างกัน
รวมถึงคำถามของลอร์ดตนนี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“ใช่แล้ว… คำว่าถูกผิดน่ะ ไม่ได้มีมาแต่แรก แต่เกิดขึ้นเพราะมีคนไปตัดสินมันต่างหาก”
และคำถามของลอร์ดก็คือเกณฑ์ตัดสินนั้นที่ทัตได้เปรียบเปรย
“แล้วเกณฑ์ตัดสินของนายคืออะไรล่ะลอร์ดมอนสเตอร์” ทัตเอ่ยถามย้ำ
“คงจะเป็น ‘คำตอบของฉันตรงกับคำตอบที่นายเตรียมไว้รึเปล่า’ สินะ เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว”
คงไม่ผิดไปจากนี้ นั่นคือเกณฑ์ปกติสำหรับการตอบคำถามอยู่แล้ว
“ใช่… ก็จริงที่ ‘การไม่ตอบคำถาม’ มันไม่ตรงกับคำตอบที่เตรียมไว้ของนาย” ทัตยืนยันเรื่องนั้นด้วยตัวเอง
คิดจะขุดหลุมฝังตัวเองรึไง? นั่นคือสิ่งที่ลอร์ดคิด
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แบบนั้น
“ถึงมันจะไม่ถูก แต่นายกล้ายืนยันว่าคำตอบนั้นมันผิดเหรอ? นายไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าห้ามไม่ให้เลือกที่จะ ‘ไม่ตอบ’ หรือ ‘มีกำหนดเวลาในการตอบ’ ”
คนที่ไม่รอบคอบในการตั้งกติกาคือฝั่งนาย จะมาบอกว่าการตอบไม่ตรงคำถามเป็นคำตอบที่ผิดมันสมเหตุสมผลแล้วเหรอ? ทัตอยากจะบอกแบบนั้น
“ดังนั้น จนกว่าจะถึงเวลาที่ฉันตอบคำถามจริง ๆ ออกมา ถ้ายังไม่ตัดสินใจเลือก ก็จริงที่คำตอบจะไม่มีวันถูก แต่มันก็จะไม่มีวันผิดด้วยเหมือนกัน” ทัตยืนยันความคิดตัวเองอีกครั้งด้วยความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
“ถ้าอยากจะตัดสินกันทั้งที่ข้อสรุปยังไม่ถึงความถูกหรือผิดอย่างใดอย่างนึงก็ตามใจ แต่ก็จำไว้ด้วยว่าการตัดสินของนายมันจะไม่ใช่การตัดสินที่เที่ยงตรง 100% ถ้าอยากจะชนะกันแบบนั้นก็เชิญ”
ท้ายสุดทัตก็ยังคงยืนยันความคิดของตัวเอง แม้ดวงตาและน้ำเสียงจะสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวทั้งยังเผลอกลืนน้ำลาย
แต่ความมั่นใจและแน่วแน่ ไม่สิ… การเตรียมใจที่มีก็มากพอ ๆ กับความกลัว
…และมากพอที่จะดึงความสนใจของลอร์ดตัวนี้ด้วย
“ฮะฮะฮ่า แกนี่มันกวนประสาทมาก!” ลอร์ดถึงหลุดหัวเราะเสียงดังลั่น กุมขมับชอบใจใหญ่ แต่กลับสัมผัสไม่ได้เลยว่ามันหงุดหงิดกับคำตอบหรือไม่
เหงื่อของทัตจึงยังคงไหลไม่หยุด ไม่รู้ว่ามันจะเอาไงแน่
เพราะถ้าจะว่ากันตามตรง ไม่มีอะไรยืนยันเลยว่าเจ้าลอร์ดตัวนี้จะตัดสินใจโดยใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง หากมันเกิดไม่พอใจที่ทัตตอบไม่ตรงคำถามหรือตั้งใจจะฆ่าทุกคนทิ้งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทัตก็ไม่อาจหาทางรอดได้เลย ผลลัพธ์จึงเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
…จนกระทั่งลอร์ดมันเปิดปากอีกครั้ง
“ถึงจะกวนประสาท… แต่แกนี่มันน่าสนใจดีจริง ๆ” ลอร์ดหันมามองทัตด้วยรอยยิ้มเร้นเล่ห์
“เอาอย่างที่แกว่าก็ได้ ครั้งนี้ถือว่าเป็นโมฆะ”
พอมันพูดแบบนั้นทุกคนก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไปตาม ๆ กัน
ไม่มีใครคิดเลยสักคนว่าสถานการณ์จะพลิกกลับตาลปัตรกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ เรื่องนั้นต้องขอบคุณไหวพริบและเล่ห์เหลี่ยมของทัต
…แต่ดูเหมือนจะมีอยู่คนนึงที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
“งั้นถ้าเรื่องจบแล้ว ฉันจะเผ่นล่ะ”
“เห้ย!”
พอได้จังหวะ ดิวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงวิ่งหนีออกไปจากจุดเกิดเหตุในทันที แม้จะสะบักสะบอม แต่มันก็ยังเหลือแรงพอให้วิ่งได้แม้ทัตจะตะโกนไล่หลัง
ทัตไม่ยอมให้มันหนีไปง่าย ๆ แน่… เขาไม่คิดจะปล่อยตัวต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาตายหรอก
“พิม! ฝากดูสินหน่อย ฉันจะไปฆ่ามัน!”
“…เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วย”
พิมเองก็เป็นห่วง แต่ก็ยังเห็นด้วยกับทัตจึงรับฝากหิ้วปีกสินแทนเขาไว้ เพื่อให้ทัตวิ่งตามดิวได้สะดวก
ทว่าในจังหวะที่เท้าเหยียบพื้นจมดินเตรียมจะพุ่งไปคว้าคอของดิว ลอร์ดตัวปัญหาก็ดันเข้ามายกมือขวางจนทัตต้องหยุดเท้า
“…ทำไมถึงช่วยไอ้เวรนั่น” ทัตกัดฟันถาม
“ไม่ได้ช่วย… ก็แค่อยากรู้ว่าหลังจากนี้แกจะทำยังไงต่อ”
สิ่งที่มันทำกลับยิ้มให้ด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
มันตั้งใจจะทำอะไรของมันกันแน่… คาดเดาไม่ได้เลย
ไม่ว่ามันตั้งใจจะทำอะไร แต่สิ่งเดียวที่ทัตจับใจความได้คือมันกำลังปั่นประสาทเขาแบบเดียวกับที่เขาทำกับการตั้งคำถามของมันก่อนหน้านี้
แต่… เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่าง
ไม่ว่ามันตั้งใจจะทำอะไร ก็ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่ทัตตั้งใจจะทำอยู่ดี
“…ฉันจะตามหามัน แล้วฆ่ามัน”
หนนี้คำตอบของทัตต่อคำถามของลอร์ดไม่มีความลังเล นั่นสร้างความประทับใจให้กับลอร์ดตัวนี้ไม่น้อย
ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่มีท่าทีจะสนับสนุนทัตเลย มันยังคงยืนขวางจนกระทั่งดิวหายไปจากสัมผัสของทุกคน คอยรับสายตาเกลียดชังของทัตแต่แน่นอนว่าไม่ได้ทำให้มันรู้สึกอะไรมากไปกว่าความชอบใจที่ได้ปั่นหัวทัต
ในทางกลับกันทัตเองก็ทำอะไรไม่ได้… ไว้ใจอะไรไม่ได้จนกว่ามันจะยอมถอยออกไปเอง
และเวลานั้นก็มาถึงถัดจากนั้น พอสบโอกาสที่เหมาะสมมันก็หันหนีไปทางอื่นและเริ่มเดินเหมือนกำลังจะจากไป นั่นทำให้ทัตโล่งใจได้เสียที
“ขอถามอย่างนึง” แต่ก็ไม่วายยังหันมาถามคำถามกับทัต
ต้องขอบคุณที่มันไม่ตั้งเงื่อนไขหรือเล่นเกมอีก ไม่งั้นทัตคงเหนื่อยเกินกว่าจะรับความกดดันได้แล้ว
“ถ้าจะเดา แกจะตอบคำถามของฉันว่าอะไร”
“…ถ้าตอบผิดแกจะฆ่าฉันรึเปล่า?”
แม้จะเป็นช่วงที่เรื่องกำลังจะจบ แต่ทัตก็ไม่ประมาท เขาคิดว่ามันอาจถามแบบนั้นเพื่อเป็นกับดักให้ทัตตอบคำถามก่อนหน้านี้เพื่อสานต่อเงื่อนไขให้จบก็เป็นได้
“แกนี่ขี้กังวลจริง ๆ ครั้งนี้ไม่มีบทลงโทษอะไรทั้งนั้นแหล่ะ”
แต่ดูเหมือนครั้งนี้ทัตจะคิดมากเกินไป… ถึงส่วนตัวแล้วทัตจะไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องแย่ก็เถอะ
ส่วนคำตอบของคำถามที่คิดเอาไว้แล้วนั้น…
“ฉันจะตอบว่า ‘นายมาเพื่อฆ่ามนุษย์เหมือนกับที่มอนสเตอร์ตัวอื่นทำ’ ”
ถึงจะมีรูปลักษณ์ของมนุษย์ แต่แกก็เหมือนกับมอนสเตอร์ตัวอื่น ๆ นั่นแหล่ะ… นั่นคือสิ่งที่ทัตต้องการจะสื่อ
และคำตอบนั่น ทำให้คิ้วของลอร์ดเลิกขึ้นด้วย
“ฮะฮะฮ่า! อย่างที่คิด ‘The One’ คนนี้น่าสนใจดีจริง ๆ”
ลอร์ดโยนของบางอย่างให้ทัตหลังเสียงหัวเราะ ก็จริงที่การหลบคงเป็นการดีกว่า แต่ทัตกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่อันตรายเพราะรูปร่างของมัน เขาจึงรับไว้แต่โดยดีแม้จะยังไม่เข้าใจความหมายของมัน
“เอารางวัลไปใช้ให้คุ้มค่าล่ะ… ‘The One’ เอ๋ย”
นั่นคือคำพูดทิ้งท้ายก่อนที่ร่างของมันจะหายไปจากสายตาของพวกทัต ถ้าไม่มีลมปะทะหน้าคงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเคลื่อนที่เร็วขนาดไหน ความเร็วของมันทำให้ทัตตระหนักอีกครั้งว่ามันแข็งแกร่ง
ภาวนาขออย่าให้เจอกันอีกเลย
ทัตหวังแบบนั้น แน่นอนว่าเป็นได้แค่ความหวังล้ม ๆ แล้ง ๆ
“ทัต! ทำไงดี! หมอนี่จะแย่แล้วนะ!!!”
พิมตะโกนไล่หลังทัตมา น้ำเสียงกังวลนั่นหมายถึงสินไม่ผิดแน่ ทัตถึงต้องทิ้งความคิดไร้สาระแล้วรีบวิ่งไปรวมกับเธอก่อน
“เฮ้ยสิน! ยังได้ยินอยู่ไหม!?”
“…เออ”
การตอบสนองของสินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด อีกจุดที่น่าเป็นห่วงคือใบหน้าที่กำลังซีดเผือกและลมหายใจถี่รัวของเขา
แต่จะให้ปฐมพยาบาลพิมก็ทำได้แค่เอาผ้าสะอาดมากดแผลไว้ อาการหนักขนาดนี้ยังไงก็ต้องให้คุณหมอนิวช่วยดูให้
ทัตถึงรีบตามหาพลุสัญญาณเพื่อบอกให้กลุ่มอพยพกลับมาโดยเร็ว… นั่นคือทั้งหมดแล้วที่ทั้งสองคนสามารถทำได้
❖❖❖❖❖
หลังจากจุดพลุสัญญาณ ไม่ถึง 5 นาทีมิ้นก็มาถึงจุดที่พวกทัตอยู่ แม้ว่าทัตจะบอกไปอย่างชัดเจนว่าให้หนีไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตั้งรับในจุดที่ไม่ได้ห่างจากที่นี่มากนัก บางทีคงคิดเผื่อสถานการณ์ที่ทัตจะรอดเอาไว้กระมัง
ต้องขอบคุณมิ้นที่คิดเผื่อไว้ ทั้งกลุ่มผู้มีพลังและผู้อพยพถึงกลับมายังโรงพยาบาลได้ในเวลาไม่นาน
สินเองก็ถึงมือคุณหมอนิวก่อนที่จะหมดสติ ทัตกับพิมก็รอดชีวิต
ความวุ่นวายจบลงแล้ว… แต่สถานการณ์ยังห่างไกลกับคำว่าจบลงด้วยดี
สมาชิกเซฟเวอร์ที่มีทั้งหมด 54 คนเสียชีวิตไป 38 คน
และในบรรดาคนเสียชีวิตที่มีจำนวนมากกว่า 70% ยังมีหัวหน้าใหญ่อย่างฝ้ายรวมอยู่ด้วย เรียกว่ากำลังรบเกือบทั้งหมดของเซฟเวอร์สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้สูญเสียไปอย่างไม่มีวันกลับมา
เรื่องการเสียกำลังพลนั้นก็เป็นแค่ส่วนนึง แต่ที่หนักยิ่งกว่าคือขวัญกำลังใจที่สูญเสียไปของทุกคน
โชคดีในโชคร้ายก็คือเหลือเวลาอีกแค่ 3 ชั่วโมงก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นเหล่าเซฟเวอร์คงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมาแน่
ในขณะเดียวกัน… โชคร้ายในโชคดีของเหตุการณ์นี้ก็คือเมื่อทุกอย่างย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว เหล่าผู้มีพลังที่ตายไปจะต้องเผชิญหน้ากับอาการอวัยวะภายในล้มเหลวเฉียบพลันจนเสียชีวิต
สำหรับคนใกล้ตัวจึงต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียต่อหน้าต่อตาเป็นหนที่สอง นั่นคงเป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุดไม่มีอะไรเทียบได้
เหล่าผู้มีพลังจึงได้ตระหนักถึงชะตากรรมอันโหดร้ายของตัวเองอีกครั้ง
คงไม่มีครั้งไหนอีกแล้วที่พวกเขาทุกคนรวมถึงทัตไม่รู้สึกว่าการได้รู้ความจริงของโลกนี้มันคุ้มค่าเมื่อเทียบความตายของตัวเองหรือคนสำคัญ
เวลาที่เหลือสูญไปกับการจัดการความรู้สึกของตัวเอง
ไม่ว่าจะทัตที่เอาแต่โทษตัวเองกับความสูญเสีย หรือพิมที่เป็นคนโอบกอดปลอบโยนเขาด้วยความเศร้าโศกอย่างเดียวกัน
ทั้งเหล่าลูกน้องคนสนิทของฝ้ายอย่างมิ้นและคิวที่หมกตัวอยู่คนเดียวด้วยความรู้สึกผิด
กิฟ เบลและลินดาที่ก่นด่าความไร้พลังของตัวเอง ไม่อาจช่วยเหลือคนที่น่าจะช่วยได้
กระทั่งยามเช้าได้มาถึง… แปรเปลี่ยนเป็นค่ำคืนแห่งความจริงอันหนาวเหน็บสำหรับพวกเขาทุกคน
❖❖❖❖❖