แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน – ตอนที่ 33

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

เหตุการณ์แสนปั่นป่วนจากมอนสเตอร์จบลงหลังอาทิตย์ขึ้นเป็นกิจวัตร

แน่นอนว่าไม่มีใครเป็นอะไรทั้งฝั่งของทัตและพิม เรื่องนั้นต้องขอบคุณการเตรียมการของฝ้ายที่ส่งคนไปสนับสนุนพิมได้ทันท่วงที สถานการณ์เลวร้ายที่สุดเลยไม่เกิดขึ้น

เป็นโอกาสให้ชีวิตประจำวันกลับมาอีกครั้ง… เป็นโอกาสให้ทัตกับพิมสานต่อสิ่งที่ทำค้างไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่อง หรือบางทีอาจเป็นการสานต่อสิ่งที่เริ่มไว้มานานกว่านั้น

แน่นอนว่านั่นหมายถึงนัดหมายสำคัญที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้

ทั้งสองคนจึงจัดแจงทั้งเวลาและสถานที่ผ่านแชทหลังมื้อเย็น อาจเพราะประหม่าเกินกว่าจะกล้าแสดงเสียงตัวเองแก่อีกฝ่ายด้วยการโทรตรง ๆ ทั้งที่ใจจริงก็อยากไปหาอีกฝ่ายใจจะขาด แต่อีกใจนึงก็ดันไม่อยากเพราะแอบกลัวว่าจะไม่อยู่ในสภาพที่สร้างความประทับใจได้

ความขัดแย้งนั้นทำเอาทั้งสองคนใจเต้นไม่เป็นสั่นจนถึงกับนอนผิดเวลาเลยทีเดียว

แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็เป็นความจริงที่ทั้งสองคนเฝ้ารอเวลานี้มานานมาก

ในเช้าวันถัดมา… จึงเป็นเหตุผลที่พิมกำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าห้างสรรพสินค้าตรงตามจุดที่นัดไว้กับทัต

จุดสังเกตอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่งคือตอนนี้แทบจะไม่มีคนเดินสัญจรไปมาเลยทั้งที่เป็นวันหยุด

และอีกอย่างหนึ่ง คือเรื่องที่พิมกำลังยืนรอด้านข้างประตูทางเข้าอยู่คนเดียวมานานกว่าสิบนาทีแล้ว โดยไม่มีวี่แววของคู่เดทเธอเลยไม่ว่าจะหันซ้ายแลขวาทางใดก็ตาม

อาจเป็นเพราะเพิ่งมาถึงก็ได้… จิตสำนึกเธอคิดไปแบบนั้น แต่แท้จริงคำตอบอยู่ที่นาฬิกาข้อมือของพิม หลังเธอยกขึ้นมาดูมันก็แสดงเข็มชี้เป็นเวลา 9 โมงเช้า

…ซึ่งเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาทีก่อนเวลานัด และเป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อนที่ห้างสรรพสินค้าจะเปิดทำการ

“เห้อ…”

มาเร็วเกินไปซะได้

พิมถึงถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ ให้กับความอ่อนหัดของตัวเอง ไม่สิ… ความตื่นเต้นราวกับเป็นเด็กของตัวเองจนอะไร ๆ ผิดพลาดอย่างที่กลัว

ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น เธอคงไม่ดี๊ด๊าเกินจนออกมาถึงก่อนเวลานัดนานขนาดนี้ นั่นถือว่าผิดวิสัยของพิมที่ถูกสอนให้เคร่งครัดเรื่องเวลาจนแม้แต่ตัวเธอเองยังตกใจ

แถมเธอยังมาที่นี่โดยให้พ่อบ้านขับรถมาส่งอีก การไม่ได้มาด้วยรถโดยสารประจำทางจึงยิ่งไม่มีข้อแก้ตัวเข้าไปใหญ่

แบบนี้แย่แน่… ถ้าหมอนั่นเห็นว่าฉันมาก่อนเวลาล่ะก็ เขาต้องล้อฉันแหงเลย!

นั่นแหล่ะคือสิ่งที่พิมกลัวว่าจะเกิดขึ้น พอรู้ตัวอีกทีก็กังวลจนเผลอยกมือสองข้างขึ้นลูบแก้มจะเป็นจะตายประหนึ่งจำลองภาพวาด The Scream ยังไงอย่างนั้น

อือ…

ติดตรงที่แก้มของเธอแดงเกินกว่าจะเป็นสีหน้าของคนที่กำลังตกใจ แถมยังแดงลามไปจนถึงหูอีกต่างหาก นั่นคงชัดเจนแล้วว่าเป็นความประหม่า

ทั้งที่ความจริงเธอควรจะกังวลเรื่องที่ตัวเองเสียเวลาแท้ ๆ แต่ดูเหมือนความคิดพวกนั้นจะถูกความคิดอื่นฝังกลบไปหมดแล้ว

หรือไม่งั้น การรอคอยก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่รอคอยมาตลอดในความคิดส่วนลึกของเธอ

เพราะอย่างไรเสียพิมก็รอเวลานี้มาตลอดอยู่แล้ว และยังเป็นเหตุผลที่เธออยากจะมารอยังจุดนัดก่อนทัตเพื่อเก็บความทรงจำทุกหยดหยาดไว้ด้วย

…แต่ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้เธออยากหนีกลับบ้านไปตั้งหลักก่อนก็คงจะเป็นเรื่องที่กลัวว่าทัตจะแกล้งเธอนี่แล

“เห… อยากมาเที่ยวกับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?” นั่นคือหนึ่งในตัวอย่างที่พิมกลัวว่าจะเจอ ยิ่งถ้าทัตยิ้มหยอกใส่เธอเสริมด้วย หัวใจเธอคงรับไม่ไหวแหงแซะ

ถึงในความเป็นจริงมันมีโอกาสน้อยมากที่ทัตจะพูดแบบนั้น เรียกว่าน้อยมากจนแทบไม่มี แต่สาวน้อยที่กำลังกระวนกระวายคงอยู่เหนือความจริงไปไกลโขแล้ว โดยเฉพาะพิมในตอนนี้

รวมถึงการได้อยู่คนเดียว มันเลยทำให้ความคิดแปลก ๆ แลบเข้ามาในหัวง่ายกว่าปกติ ยิ่งในตอนที่กำลังคาดหวังอะไรมาก ๆ ด้วยยิ่งแล้วใหญ่

ใจเย็น ๆ ก่อน… สงบไว้สิพิม

พอรู้สึกว่ามากเกินไปเธอจึงพยายามปรับลมหายใจเสียใหม่ ต้องขอบคุณที่เคยถูกจับฝึกให้รับแรงกดดันมาแต่เด็ก ใช้เวลาไม่นานสติสตังของเธอก็กลับมาเป็นปกติ

แต่ถึงทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมเหมือนเดิมแล้ว มันก็ยังมีเรื่องที่สลัดออกไปไม่ได้อยู่

เหมือนกับการกังวลเรื่องอนาคตที่ยังไม่เกิดไปเรื่อยอย่างก่อนหน้า หนนี้กลับกลายเป็นการครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแทน

นี่มัน… เดทสินะ

พอตระหนักเรื่องนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่อาจเลี่ยง แต่ใกล้เคียงคำว่าดีใจมากกว่าประหม่าเหมือนกับก่อนหน้านี้ เพราะไม่คิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้

แถมไม่คิดด้วยว่ามันจะเกิดขึ้นจากการชวนของทัตเอง

หมอนั่นกังวลอะไรอยู่รึเปล่านะ? หรือกำลังร้อนใจอะไรอยู่?

พิมเกิดคำถามตามมาอยู่เนือง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มที่ขาดความมั่นใจในตัวเองคนนี้กันแน่? ความเป็นห่วงเองก็เกิดขึ้นตามมาติด ๆ

แต่ก่อนที่จะทันได้หาคำตอบ เด็กหนุ่มที่เธอเฝ้ารอคอยก็ปรากฏตัวจากทางด้านข้างเสียก่อน ซึ่งดูจากทิศทางแล้วเขามาจากลานจอดรถจักรยานยนต์ไม่ผิดแน่

นั่นสร้างความประหลาดใจให้พิมจนเธอเบิกตาโพลงกว้าง ด้วยสาเหตุที่ทัตมาก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมงครึ่งด้วยยานพาหนะส่วนบุคคลที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาไม่แน่นอนเหมือนกับพวกรถโดยสารประจำทาง มันแสดงให้เห็นเลยว่าเขาอยากรีบมาที่นี่ด้วยตัวเอง …เหมือนกับเธอ

จึงเป็นจุดที่ทำให้พิมแอบดีใจไม่น้อยอยู่ลึก ๆ และเป็นหนึ่งในจุดที่เหมือนกันของทั้งสองคนจนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา

“…รอนานยังเนี่ย?”

อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือแก้มฝาดสีแดงระเรื่อบนใบหน้าของทัตในตอนที่รู้ว่าพิมเองก็มาถึงก่อนเวลานัดเหมือนกัน

และรอยยิ้มในตอนที่ทั้งสองสบสายตากันเองก็ไม่แตกต่างกันเลย

“ไม่หรอก ฉันเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน” พิมยิ้มตอบด้วยความดีใจ ไม่รู้ความประหม่าก่อนหน้านี้มันหายไปไหนหมด แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี

เพราะมันทำให้เธอสังเกตเห็นสิ่งเดียวกันจากทัตได้ง่ายขึ้น

“เหรอ แต่ก็มาเร็วเกินไปหน่อยรึเปล่าเนี่ย?” ทัตเอ่ยถามเรื่องนั้นอย่างที่พิมคาด ถึงจะเป็นคนละอารมณ์กับที่คิดไว้ก็เถอะ

ไม่สิ… เพราะเป็นคนละอารมณ์กับที่คิดไว้ พิมเลยมีโอกาสได้เป็นฝ่ายรุกเหมือนอย่างเคย

รอยยิ้มหยอกแกล้งของปีศาจสาวจึงสำแดงออกมาอีกครา

“แหม… นายเองก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ นี่อยากมาเที่ยวกับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”

พิมกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่นั่นยังไม่เท่ากับตอนที่เธอเดินเข้าไปประชิดทัตแล้วเริ่มวาดนิ้วบนหน้าอกของทัตไปมา ทำเอาทัตไหล่กระตุกตกประหม่าอ้าปากเหวอไปเลย

ชนะแล้ว! พิมยิ้มดีอกดีใจอยู่คนเดียว …ถึงไม่รู้ว่าเธอกำลังแข่งกับใครอยู่ก็เถอะ

แต่หารู้ไม่… ในตอนนั้นทัตกลับค่อย ๆ เบือนหน้าหลบไปทางอื่นจนพิมคิดว่าเขาคงทนความเขินอายไม่ไหว ก่อนที่จะหันมาทางเธออีกครั้ง

“ก็ใช่น่ะสิ… ไม่งั้นฉันก็ไม่ชวนแต่แรกหรอก”

แล้วจัดการสวนกลับด้วยหมัดตรงจนพิมแทบจะล้มลงไปกอง

ใบหน้าประหม่าแต่จริงจัง เถรตรงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสร้างดาเมจทางจิตใจให้เธอมหาศาลจนตาเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจ แต่ที่ทำให้อาการหนักคงเป็นเพราะเธอไม่ทันตั้งตัวต่างหาก

อะ อะไรของหมอนี่เนี่ย! ไหงอยู่ ๆ ถึงพูดออกมาตรง ๆ แบบนั้นกันล่ะ!!!

…นั่นคือครั้งแรกที่พิมรู้สึกพ่ายแพ้

เพราะไม่ว่าจะเลือกเป็นฝ่ายแกล้งก่อนหรือถูกเขาแกล้ง หัวใจของเธอก็ดูเหมือนจะเกินรับไหวไปเสียทุกกรณีอยู่ดี

อือ… ไม่ดีต่อใจเลย

พิมที่ทำตัวเองพยายามลูบแก้มให้ความร้อนเบาบางลง แต่แน่นอนว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย

❖❖❖❖❖

ฟู่ว… เอาล่ะ ทีนี้จะเอายังไงต่อดี

ทัตคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความกังวลไม่เบา เพราะหลังจากเจอกันทั้งคู่ก็หย่อนก้นลงม้านั่งหน้าทางเข้ามานานกว่าสิบนาทีแล้ว โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยเพราะไม่รู้จะเริ่มบทสนทนาต่อจากบรรยากาศงุ่นง่านเมื่อครู่อย่างไรดี

จะให้รอต่อไปก็ได้อยู่ แต่อากาศร้อนแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่

ทัตคิดแบบนั้นหลังแอบเหลือบมองพิมในชุดเดรสติดระบายสีขาว เสริมภาพลักษณ์ความเป็นลูกคุณหนูผู้เรียบร้อยเพียบพร้อม แม้มันอาจไม่ได้ผลกับทัตที่รู้จักความแก่นแก้วของเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันดูเข้ากันมากอย่างน่าประหลาด

ยิ่งในตอนที่พิมกำลังสงบเสงี่ยมเพราะถูกความประหม่าเข้าครอบงำ นั่นยิ่งทำให้พิมดูเหมือนเป็นไข่ในหินราวกับแก้วอันเปราะบางที่แตกละเอียดได้เพียงแค่นิ้วสัมผัส ไม่ว่าใครต่อใครที่ได้ยลโฉมย่อมเลี่ยงความรู้สึกที่อยากจะปกป้องสาวงามคนนี้ไม่ได้แน่

…รวมถึงทัตเองด้วย

“นี่”

“คะ คะ!?” แต่พอถูกเรียกเข้าหน่อย พิมก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกเลยทีเดียว

“จะพูดเพราะทำไมเนี่ย” ทัตถึงกับเอียงคอกับปฏิกิริยาของเจ้าหล่อน …ถึงแม้ใจจริงจะรู้สาเหตุอยู่แล้วก็เถอะ

“…ขอร้องล่ะ ลืมที่พูดไปทีเถอะ”

พิมที่รู้สภาพตัวเองตอบกลับมาด้วยความเอียงอายอย่างที่คาด เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าทัตด้วยซ้ำ

ไม่ถนัดเป็นฝ่ายรับมือสินะ

เอาเถอะ… แบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบแหล่ะ

ทัตแอบคิดแบบนั้นแล้วก็เผลอยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว

…แต่แน่นอนว่าไม่กล้าพูดออกมาในเวลาแบบนี้แน่

“ไปนั่งรอในคาเฟ่ข้าง ๆ ก่อนดีไหม รออยู่ตรงนี้ร้อนจะตายชัก” ทัตเสนอแบบนั้นพร้อมกับชี้ไปทางคาเฟ่เฟรนไชส์ชื่อดังที่เปิดก่อนตัวห้างทั้งที่อยู่ในตึกเดียวกัน

“…นั่นสินะ ชักหิวแล้วด้วยสิ”

พิมตอบเสียงอ่อยเหมือนยังทำตัวไม่ถูกจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ดีดตัวขึ้นยืนทันที คงหวังจะให้ของหวานช่วยเยียวยาจิตใจที่เพิ่งแพ้พ่ายมากระมัง

ด้วยเหตุนั้นทัตก็เลยลุกขึ้นตามไปติด ๆ ด้วยรอยยิ้มเอ็นดูไม่เบา

ทั้งสองเดินผ่านเข้าไปในประตูร้านคาเฟ่ที่มีคนจำนวนไม่น้อยใช้บริการ บางทีพวกเขาอาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกทัตก็ได้ บรรยากาศแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทัตกับพิมได้สัมผัสเช่นกัน

ว่าไปแล้วคาเฟ่แห่งนี้เองทัตกับพิมก็มาเที่ยวด้วยกันบ่อย มีหลายครั้งด้วยซ้ำไปที่มาด้วยกันแค่สองคน

ทุกอย่างแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นพนักงาน สไตล์การตกแต่งร้าน ความสงบร่มรื่นของต้นไม้ของประดับ

ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม… แต่ทั้งสองคนกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิดแค่เพราะว่าหนนี้มันเป็นเดท

แล้วไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกหรืออย่างไร โต๊ะที่กำลังว่างอยู่ถึงมีแค่แบบเคาน์เตอร์ที่นั่งข้างกัน ทั้งสองคนถึงยิ่งใกล้ชิดกันมากเข้าไปอีก ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งที่หวังแต่ไม่ใช่ในจังหวะเวลานี้

ทั้งสองจึงยังไม่หายประหม่าสนิทดีและไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเร็ว ๆ นี้ด้วย แม้จะได้ทั้งเครื่องดื่มและของหวานวางบนโต๊ะแล้วก็ตาม

“นี่” หลังใช้หลอดกวนน้ำแข็งอยู่นานสองนาน หนนี้เป็นพิมที่เริ่มเอ่ยก่อน

“…จะไม่ชมชุดของฉันหน่อยเลยเหรอ?” เธอหันไปถามทัตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้ากังวลไม่เบา

แต่สำหรับคำตอบ… ทัตมีมันตั้งแต่พริบตาแรกที่เจอพิมวันนี้แล้วด้วยซ้ำ

“ฉันคิดว่าเธอใส่อะไรก็เหมาะหมดนั่นแหล่ะ”

“…อย่าล้อเล่นแบบนั้นสิ” เพราะนั่งใกล้กันจึงยิ่งทำให้การตอบคำถามของทัตส่งผล ยิ่งง่ายต่อการสังเกตเห็นรอยยิ้มของพิมที่อยู่ข้าง ๆ แม้เธอจะเบือนหน้าหนีแต่มันก็สายไปแล้ว

“ฉันพูดจริง” ทัตยืนยันอีกหนเพราะคิดว่าพิมไม่เชื่อ แต่ที่จริงมันตรงกันข้าม

“โถ่…”

เห็นทัตตอบกลับมาจริงจังเอาเรื่องยิ่งทำให้อุณหภูมิใบหน้าสูงขึ้น เธอถึงกับต้องม้วนผมตัวเองแก้เขิน

นั่นคือก่อนที่เธอจะกลับมาตั้งสติได้

เพราะคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อ เดทที่เธอรอคอยมาตลอดจะต้องล่มไม่เป็นท่าแน่

ต่อให้ประหม่าแค่ไหน แต่นั่นเป็นเรื่องที่พิมไม่อยากให้เกิดที่สุด

“เฮ้อ…” และสิ่งแรกที่ทำคือการถอนหายใจเพื่อปรับอารมณ์ตัวเองเสียใหม่

“โอเค มาเริ่มใหม่ดีกว่า… วันนี้วางแผนไว้ยังไงบ้างล่ะ?”

ความเยือกเย็นกลับมาแล้วเหรอ? สมแล้วแฮะ

ทัตคิดชื่นชมแบบนั้นหลังเห็นพิมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ถ้าพูดออกไปคงดูเหมือนหยอกเลยเงียบไว้ดีกว่า

“ว่าจะมาซื้อหนังสือน่ะ” ทัตตอบคำถามให้พิมสมใจ แต่นั่นก็กึ่งจริงกึ่งเล่นอยู่

“…เดี๋ยวนะ นั่นเรียกว่าเดทเหรอ?” พิมถึงกับขมวดคิ้วหลังได้ยิน ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าเป็นการล้อเล่น เธอถึงยิ้มแห้งออกมา

“เดี๋ยวเลี้ยงหนมด้วยเอาไหมล่ะ?”

“นี่นายเห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย!”

“เป็นชานมไข่มุกเลิฟเวอร์น่ะสิ”

“ขี้โกงนี่นา พูดแบบนั้นจะไปปฏิเสธได้ไง”

พิมได้ยินแล้วก็พองแก้มยังกับเป็นลูกโป่ง นั่นทำให้เห็นว่าเธอหงุดหงิดที่ถูกเห็นว่าเป็นคนเห็นแก่กิน

ถึงสำหรับทัตแล้วนั่นจะดูน่ารักมากกว่าน่ากลัวก็เถอะ

และไม่ว่าจะดีหรือร้าย จุดที่น่าพอใจคือบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนกลับมาเป็นปกติแล้ว

อาจเพราะแบบนั้น ทั้งสองคนถึงอมยิ้มออกมาให้กันในแบบที่ไม่ตกประหม่าจนสติหลุดเหมือนไม่กี่นาทีก่อนอีกแล้ว

ได้จังหวะพิมก็เขย่าแก้วน้ำในมือ เป็นชานมไข่มุกแบบที่เจ้าตัวชอบ

“ชิมป่ะ?” เธอเสนอให้ทัตกินด้วย นั่นเป็นปกติของทั้งสองคนในตอนที่อยู่ด้วยกัน

“ก็เอาสิ”

ถึงที่จริงจะไม่ได้อยากกินอะไรขนาดนั้น แต่ทัตก็รับเอาไว้แต่โดยดีตามเคย

“อร่อยป่ะ” หลังดูดไปอึกนึง พิมก็กลับมานั่งท้าวคางยิ้มหยอกมองจากด้านข้าง

“ก็อร่อยอยู่หรอก” ทัตยักไหล่แบบไม่ได้คิดอะไรมาก สำหรับเขาถ้าไม่ได้แย่มันก็คืออร่อยหมดนั่นแหล่ะ

“เหรอ” ถึงจะถูกตอบแบบขอไปทีแต่พิมกลับสงบอย่างน่าประหลาด ถ้าเป็นปกติน่าจะหงุดหงิดบ้างแล้ว นั่นคือสิ่งที่ทัตคิด

แต่ดูเหมือนการตอบคำถามจะไม่ใช่ความคาดหวังอย่างเดียวของพิม …รอยยิ้มของเธอเป็นเหตุที่สังเกตได้

“แต่จะว่าไป เมื่อกี้นี้คือจูบทางอ้อมสินะ” คำหยอกถัดมาคือหลักฐานชั้นดี

“ฉันไม่ได้เพิ่งกินของต่อจากเธอเป็นครั้งแรกซะหน่อย” แต่ทัตกลับถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ เป็นการตอบโต้ที่คาดไม่ถึง

“เอ๋〜 ไม่เห็นสนุกเลย”

พิมว่าแล้วก็ทำหน้าเบื่อ ๆ บางทีเธอคงคาดหวังปฏิกิริยาร้อนรนจากทัตมากกว่านี้จึงค่อนไปทางเสียดาย

แต่ในมุมกลับ เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกเขินอะไรกับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นมันคงสายไปแล้วถ้าจะมาเขินกันเอาป่านนี้

“แล้ว… ทำไมอยู่ ๆ ถึงชวนฉันออกมาเที่ยวล่ะ? คงมีเหตุผลอะไรอยู่ใช่ไหมล่ะ”

นอกเหนือจากเรื่องที่หยอกกันเล่นพิมเองก็ดูเหมือนจะมีคำถามอื่นในใจด้วย การรอให้บรรยากาศสงบลงจากความประหม่าก่อนถือเป็นตัวเลือกที่ดี

อาจเพราะเธออยากได้คำตอบที่จริงจังกระมัง

และสำหรับทัต เขาสัมผัสความเป็นห่วงได้จากพิมด้วย ถึงรู้สึกว่าควรตอบกลับอย่างจริงใจเหมือนกัน

“เพราะไปคิดเรื่องของหมอนั่น… ของเจ้าสินเข้าน่ะ”

ทัตเอ่ยแล้วก็เริ่มหันไปมองข้างนอกตัวร้าน นั่นไม่ใช่ความพยายามหลบหน้าหรือภาษากายอะไร แต่เหมือนจิตใจเขาไม่ได้อยู่ที่นี่มากกว่า

“จะว่าไป นายอยู่กับหมอนั่นตอนที่ตายสินะ” พิมถามแบบเกรงไม่เบาเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทัตเองก็พยักหน้ารับแบบเงียบ ๆ ก่อนจะพูดต่อ

“หมอนั่นเสียใจที่ไม่ได้บอกลินดาเรื่องความรู้สึกของตัวเองน่ะ เป็นคำพูดก่อนตายของหมอนั่นเลยด้วย”

“…จะว่าไปก็มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ”

พอมานึกดู พิมเองก็จำได้ว่าสินมีท่าทางแปลก ๆ เอาการเวลาคุยกับลินดา เรื่องนั้นคิดว่าใครก็คงสังเกตเห็นกันหมดยกเว้นคนหัวช้าอย่างตัวลินดาเอง

“หืม… แสดงว่านายกลัวจะไม่ได้ใช้เวลากับฉันก่อนที่มันจะสายเกินไปสินะ”

แต่ไม่ว่าเรื่องของสินกับลินดาจะเป็นยังไง สิ่งที่ทัตเล่าให้ฟังก็เป็นการง่ายแก่การทำความใจ พิมถึงยิ้มกรุ้มกริ่มทั้งด้วยความอยากหยอกแกล้งทัตตามเคย แต่ที่มากยิ่งกว่าคือความดีใจ เพราะในที่สุดทัตก็มีแรงกระตุ้นในการเข้าหาเธออย่างจริงจังเสียที

ทว่า…

“ใช่… ตอนฝ้ายก็ทีนึงแล้ว ฉันไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดกับเธออีก”

พอพิมได้ยินทัตตอบกลับอย่างซื่อตรงแถมด้วยสีหน้าตึงเครียดไม่เบาอย่างนั้น ความขี้เล่นของเธอก็พลอยปลิวหายไปหมด คงเพราะเธอสัมผัสได้ว่าทัตคิดจริงจังกับเรื่องที่พูดแค่ไหน

…และกลัวว่าจะเสียเธอไปมากแค่ไหนด้วย

ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะทั้งสองคนอยู่ในสถานการณ์อันตรายทุกคืนราวกับอยู่ท่ามกลางสนามรบที่ไม่รู้ว่าความตายจะคืบคลานเข้ามาหาเมื่อไร มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะกังวลเรื่องนั้น

พิมเองก็เหมือนกับคนอื่น เธอเองก็รู้สึกกลัวเรื่องนั้นอยู่ลึก ๆ ไม่สิ… ถ้าไม่กลัวก็คงจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว

เพียงแต่เธอมีวิธีรับมือเรื่องนี้แตกต่างจากคนอื่น… ทัตตระหนักเรื่องนั้นอีกครั้งในตอนที่เธอเอื้อมมือเข้ามาสัมผัสมือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะ

“คิดมากไปแล้วน่า นายจะเป็นคนปกป้องฉันเองไม่ใช่เหรอ? เรื่องนั้นมันไม่เกิดหรอกน่า”

พิมพูดแบบนั้นแล้วก็ยิ้มให้ทัต ออกแรงกุมมือของเขาแน่น

เพราะมีการมองโลกในแง่ดีของพิมอยู่นั่นแหล่ะที่ค้ำจุนทัตผู้อยู่กับความเป็นจริงอันโหดร้ายมากเกินไป การอยู่ด้วยกันกับพิมจึงทำให้จิตใจของทัตเป็นกลางและมั่นคงยิ่งกว่าอะไร การพูดว่าพิมเป็นสิ่งเติมเต็มส่วนที่ขาดไปของทัตจึงไม่เกินเลยสักนิด

ทัตต้องการพิมมากกว่าอะไรทั้งหมด… เขาถึงนึกไม่ออกเลยว่าหากเสียพิมไปจะเป็นยังไง

“จะว่าไป คิดเรื่องของคนอื่นระหว่างมาเที่ยวกับสาวนายนี่มันจริง ๆ เลยนะ”

ในขณะที่พิมพูดแล้วก็กอดอกพยักหน้าอืม ๆ โดยไม่รู้ว่าทัตกำลังกลัวเรื่องนั้นอยู่

แต่ทัตเองก็เข้าใจดีว่ามันเป็นความพยายามปรับบรรยากาศอันอึมครึมให้กลับมาสดใส เป็นอีกครั้งที่เขาต้องขอบคุณพิม

“แต่เอาเถอะ ถ้าคิดเรื่องผู้หญิงคนอื่นคงน่าโกรธกว่าแหล่ะ” พิมบ่นอุบไปตามประสา ในขณะที่ทัตหลุดยิ้มให้กับภาพนั้น คือหลักฐานว่าความพยายามเปลี่ยนบรรยากาศของพิมมันได้ผล

ส่วนการที่เขาสนใจคนอื่นระหว่างเดทก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่พิมยอมรับได้ เธอถึงแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา

กระทั่ง… การที่พิมพูดอย่างนั้นกลับทำให้ทัตนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้

“จะว่าไป มีเรื่องของฝ้ายที่อยากคุยด้วยพอดีเลยแฮะ”

“นี่นาย… จะให้ฉันโกรธให้ได้เลยใช่ป่ะ?”

พิมขมวดคิ้วแน่นเลยทีเดียวหลังเพิ่งท้วงทัตไปหยก ๆ แต่ทัตเองก็คิดอยู่ว่าสมควรแล้วที่โดนดุ

ถึงแบบนั้นเขาก็ตั้งใจจะพูดต่อ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ

“พูดไปอาจจะโกรธก็ได้ แต่นี่บริสุทธิ์ใจนะเลยเล่าให้ฟัง”

“…เล่ามาด่วน ๆ เลย”

เกริ่นมาแบบนั้นทำให้พิมรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น ความหงุดหงิดเลยหายไปหมดเหลือแต่ความอยากรู้อยากเห็นล้วน ๆ

“ฉันพูดเองก็ยังไงอยู่ แต่ดูเหมือนฝ้ายจะรุกเข้าหาฉันเอาเรื่องเลย”

“หืม…”

พอพูดถึงตรงนั้น ทัตสัมผัสได้เลยว่าอุณหภูมิรอบตัวของพิมเย็นลงจนรู้สึกขนลุกชูชัน เขาถึงกับเห็นภาพหลอนว่ามีเงามืดอยู่ด้านหลังเธอเลยด้วยซ้ำ

…แน่นอนว่ามันเป็นการคิดไปเอง แต่ก็ทำให้ทัตถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัวเหมือนกัน

“คะ แค่จับมือเฉย ๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก”

“อ๋อเหรอ” พิมพูดแค่นั้นแล้วก็หันไปดื่มน้ำ

โดนด่ายังดีกว่าซะอีกนะเนี่ย… ทัตคิดแล้วก็เหงื่อตกหลังเห็นว่าพิมเงียบไป เพราะแบบนี้มันน่ากลัวกว่า

แต่หลังจากนั้นพิมก็ถอนหายใจออกมาเสียอีก แต่ทัตไม่รู้ว่าเธอทำไปด้วยความรู้สึกแบบไหน

“ให้ตายสิ ถึงได้บอกไงว่าไว้ใจไม่ได้น่ะ… แต่ก็ดันโกรธไม่ลงเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม” พิมเริ่มบ่นแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หนนี้เธอน่าจะกำลังสับสนไม่ผิดแน่

แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดมันก็เป็นเรื่องดี เพราะถ้าพิมเกิดเกลียดฝ้ายขึ้นมาจริง ๆ ทัตเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน

และการได้เห็นว่าลึก ๆ แล้วพิมเองก็ไม่ได้เกลียดฝ้ายขนาดนั้น จึงเข้าทางทัตที่อยากจะให้พิมกับฝ้ายสนิทกันมากกว่านี้พอดิบพอดี

“เมื่อวานนี้ น้องเขาขอร้องฉันน่ะ… ว่าถึงมีแฟนแล้วก็อย่าทิ้งให้อยู่คนเดียว” ทัตถึงพูดออกมาให้ตรงประเด็นเพื่อตัดโอกาสที่จะสร้างความเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ น้ำเสียงจริงจังนั่นทำให้พิมหยุดปากที่กำลังดูดน้ำลงคอ

“…งั้นเองเหรอ”

พิมตอบสั้น ๆ เหมือนว่าเธอจะมีเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนักคิด แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องแย่เพราะหว่างคิ้วเธอไม่ได้ขมวดเข้าด้วยกันเหมือนก่อนนี้

ในมุมมองของพิมหลังจากฟังเรื่องที่ทัตเล่า ฝ้ายนั้นแลดูคล้ายกับน้องสาวหวงพี่ชายมากกว่าจะเป็นหญิงสาวหึงหวงชายหนุ่ม พิมในตอนนี้จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองขึ้นมาแล้วว่าทำไมถึงเกลียดฝ้ายไม่ลง

“พิม?” แต่เพราะเธอนิ่งนานไปหน่อยทัตเลยต้องแตะไหล่เรียก

“อ้อ! เปล่าหรอก… แค่กำลังคิดว่าฉันยังไม่รู้จักน้องเขาดีเท่าไรเลยไม่อยากตัดสินอะไรไปเองน่ะ”

พิมคงอยู่ในห้วงความคิดลึกพอดูถึงตกใจตอนโดนเรียก แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังตัดสินใจเรื่องจริงจัง

“จะว่าไป เธอยังไม่รู้เรื่องก่อนที่แม่ของฝ้ายจะแต่งงานใหม่ด้วยนี่นะ” ทัตถามเรื่องที่เพิ่งนึกขึ้นได้ พิมเองก็ขมวดคิ้วแง่งอนออกมาทันที บางทีเธอคงรู้สึกว่าอยู่นอกวงของทั้งสองคนเลยไม่พอใจกระมัง

“ก็ไม่มีใครเคยเล่าให้ฟังนี่นา แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?” และถ้าจะมีเหตุผลอะไรให้เธออยากรู้ก็คงเพราะเธอไม่อยากเป็นคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย

แต่ว่า… ทัตกลับแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาแทนที่จะบอกเธอทันทีเหมือนเรื่องอื่น ๆ

“ขอโทษนะ… ถึงเป็นเธอ แต่คิดว่ามันคงไม่ดีเท่าไรถ้าไม่ได้ฟังจากเจ้าตัวน่ะ”

“เห… เป็นเรื่องที่หนักหน่วงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“สำหรับฉันมันก็ใช่แหล่ะ”

ทัตพยักหน้าตามก่อนจะก้มหน้าให้เป็นการขอโทษ แต่ถึงเขาไม่ต้องทำแบบนั้นพิมก็เข้าใจดีว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่เอาอดีตของคนอื่นมาปากโป้งลับหลังแบบนี้

“แต่เอาเถอะ ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้เกลียดน้องเขาขนาดนั้นหรอกนะ ก็น้องเขาน่ารักจะตายไปนี่นา… แน่นอนว่าถ้าไม่นับเรื่องที่เล็งผู้ชายคนเดียวกันอยู่น่ะนะ”

“แหะแหะ”

ได้ยินแบบนั้นทัตก็ทำได้แค่หัวเราะแห้ง ๆ แต่นั่นก็แอบสร้างความหงุดหงิดให้พิมไม่น้อยจนเธอต้องหยิกแก้มทัต และแน่นอนว่ามันเจ็บเอาเรื่องแต่เขาไม่มีสิทธิบ่น

“ว่าไปแล้ว ที่มิ้นไปคุ้มครองเธอก็เป็นฝีมือของฝ้ายด้วยนะ” พอถูกปล่อยทัตเลยพยายามทำคะแนนเพิ่ม แน่นอนว่าเพื่อให้พิมมองฝ้ายในแง่ดียิ่งขึ้น

…ถึงที่จริงมันจะเพียงพอแล้วก็เถอะ

“…หืม มิน่าล่ะ” พิมออกน้ำเสียงแปลกใจ ท่าทางเธอเองก็พอจะเดาได้แต่ไม่แน่ใจเท่าไรนัก

“งั้นต้องไปขอบคุณทีหลังแล้วสิ” อีกเรื่องที่พิมดูเหมือนจะยอมไม่ได้คือการได้รับอยู่ฝ่ายเดียว เรื่องนั้นพิมเองก็ค่อนข้างถือไม่เบาเพราะมันเหมือนเธอเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

“งั้นก็ต้องไปบ้านฉันอีกสิเนี่ย” นั่นคือที่ทัตจับใจความได้ และนั่นก็ทำให้พิมกลับมายิ้มกรุ้มกริ่มไม่เบากับวิธีการที่ทัตพูด

“แหม น้ำเสียงดูดีใจไม่ใช่รึไง”

“มะ ไม่รู้สิ”

ทัตทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันไปทางอื่น ถึงยังไงสำหรับพวกเขา การมีคนที่ชอบมาหาถึงที่บ้านก็เป็นประสบการณ์ที่พึงปรารถนาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร

ตรงจุดนี้คงเป็นจุดที่ทั้งสองคนเข้าใจตรงกัน

“แต่เอาเถอะ… ถึงนายจะไม่ขอ ยังไงไม่ช้าก็เร็วฉันก็คิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ”

พิมพูดแล้วก็กลับไปกวนน้ำในแก้วตัวเองอีกครั้ง ท่าทางเธอแสดงให้เห็นว่าเรื่องของฝ้ายไม่ใช่เรื่องที่เธอกังวลอีกต่อไปแล้วและแสดงให้เห็นว่าเธอมีวิธีจัดการไม่ให้ความสัมพันธ์กลายเป็นปัญหาด้วย

เธอมักจะเตรียมการอะไรบางอย่างไว้ตลอดโดยที่ทัตไม่รู้ และนั่นก็เพื่อกรุยทางให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอมาคิดดูมันก็สมกับเป็นพิมดี

เพราะถ้าต้องกลายเป็นครอบครัวเดียวกันในอนาคต มันก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะต้องสนิทกับน้องสาวแฟน (ในอนาคต)

นั่นแหล่ะคงเป็นสิ่งที่พิมหมายถึง

“ขอบใจนะ” สำหรับความพยายามตรงนั้น ทัตก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากขอบคุณยินดี

พิมเองก็เขิน ๆ เหมือนกัน เพราะถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่ามันหมายความอย่างนั้น

“หะ ห้างมันเปิดแล้วนะ นี่คงไม่ได้จะนั่งอยู่นี่ทั้งวันหรอกใช่มะ!?”

อาจเพราะแบบนั้นพิมถึงกลับมาประหม่าอีกครั้ง การพยายามเบี่ยงประเด็นทำให้ดูน่ารักดีในสายตาของทัต แต่จะปล่อยสาวเจ้าสติหลุดอีกก็ใช่เรื่องเขาเลยยอมทำตามที่พิมต้องการ

ในจังหวะนั้น ทัตก็ลุกขึ้นตามพิมพร้อม ๆ กับยื่นมือข้างที่ว่างไปทางเธอ… ด้วยใบหน้าที่แอบเขินไม่เบาเช่นเดียวกันกับพิมที่มองมือข้างนั้นของทัตตาปริบ ๆ

“ยังไงมันก็เป็นเดทนี่นา สนใจจับมือไหมล่ะ” ทัตเสนอแบบนั้น ทำเอาพิมแปลกใจไม่เบา

แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังยิ้มออกมา และจับมือนั้นของทัตในทันทีราวถวิลหามานาน

การออกแรงกุมมือนั้นทั้งนิ่มนวลและอบอุ่น ให้บรรยากาศต่างจากทุกครั้งที่มาเที่ยวด้วยกันจนทั้งคู่ยังรู้สึกแปลกใจตัวเอง แต่กลับไร้ข้อสงสัยในส่วนของความรู้สึก

เพราะถึงแม้สถานะของทั้งสองคนมันจะยังไม่ชัดเจน

แต่เรื่องที่แน่นอนคือ นี่เป็นเดทแรกอันแสนวิเศษของทั้งสองคน

❖❖❖❖❖

แล้วในที่สุดเราสองคนก็เข้าไปในตัวห้างสรรพสินค้าตามที่นัดไว้ตอนแรก

หลังจากที่หายใจรับลมเย็นเต็มอิ่มแล้วพวกเราก็มุ่งตรงไปยังโรงหนังตามแผนที่ฉันวางเอาไว้

พอทำแบบนั้นพิมก็เหวอไปเลยล่ะ ในทางที่ดีล่ะนะ

คงเพราะไม่คิดว่าฉันจะรู้วิธีการเดทแบบที่ชาวบ้านเขาทำกัน หรืออาจคิดว่าฉันไม่น่ามีประสบการณ์พอจะหาที่เดทดี ๆ ได้ล่ะมั้ง

แต่… มนุษย์เรามีนวัตกรรมที่เรียกว่า ‘G**GLE’

ต่อให้ไม่รู้อะไร แค่ถามก็รู้ได้หมดทุกอย่างนั่นแหล่ะ

เพราะงั้น ถึงเป็นเราก็สามารถจัดลำดับการเดทดี ๆ ได้เหมือนกัน!

เรื่องที่น่าเสียดายก็คือช่วงนี้มันไม่มีหนังโรแมนติกเข้าโรงเลยเนี่ยสิ

ไอ้ที่น่าดูหน่อยก็เป็นแนวแอคชันที่มีนักแสดงนำเป็นเ*นเซล วอชิงตันนั่นแหล่ะ

โชคดีของฉันคือพิมเองก็สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน เลยไม่ต้องกังวลเรื่องว่าไม่มีหนังที่เข้ากับการเดท

พิมไม่ได้ยึดติดเรื่องความเหมาะสมกับแนวของหนังขนาดนั้น คิดว่าต่อให้เป็นแนวสยองขวัญก็คงใช้เป็นหนังระหว่างเดทได้แหง ๆ

นั่นเลยทำให้ฉันโล่งอกไปเปราะนึง เพราะเรื่องรสนิยมที่ตรงกันเองก็ถือเป็นความเหมาะสมของคู่รัก

ไม่สิ… เพราะเราสองคนรสนิยมคล้ายกันก็เลยสนิทกันได้มาจนถึงป่านนี้ต่างหาก

แต่… พูดไปแล้วก็จะหาว่าย้อนแย้ง

ระหว่างดูหนังนี่บรรยากาศไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าเดทเลยแฮะ

เพราะถ้าเป็นหนังรักโรแมนติก มันก็คงมีจังหวะจับมือกันในหนังแบบที่เห็นกันบ่อย ๆ (พูดตรง ๆ ก็แอบคาดหวังแหล่ะนะ)

พอเป็นหนังแอคชันที่พิมเองก็ชอบ ยัยนั่นก็เลยเอาแต่ชูมือชูไม้สะใจเวลาพระเอกไล่กระทืบโจร

ถ้ามีอะไรที่เสียดายก็คงเป็นเรื่องนี้แหล่ะ

แต่… พอเห็นว่าพิมสนุกถึงขนาดนั้น มันก็พลอยคิดว่าช่างมันไปเถอะ

เพราะยังไง… เรื่องสำคัญของการเดทก็คือการทำให้พิมมีความสุขล่ะนะ

แล้วหลังจากดูหนังเสร็จมันก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่า ๆ แล้ว ก็เลยย้ายไปกินมื้อเที่ยงที่โรงอาหารในห้าง

แต่เพราะทำเป็นใจป๋าเลี้ยงทั้งตั๋วหนังและป๊อปคอร์น เงินฉันก็เลยแทบจะบ๋อแบ๋

ต้องขอบคุณพิมที่ช่วยหารให้ล่ะนะ เลยพอจะได้กินอะไรดี ๆ ในร้านเดียวกัน

ถึงจะรู้สึกน่าสมเพชอยู่หน่อย ๆ ก็เถอะ แต่อีกฝ่ายเป็นคุณหนูที่รวยพอจะซื้อห้างนี่ไปทุบเล่นได้เลยเพราะงั้นมันก็ช่วยไม่ได้หรอก

…และถึงยัยนั่นบอกว่าจะเลี้ยง แต่ไว้วันหลังค่อยคืนเงินแล้วกัน

พอจะมีเงินเหลืออยู่นิดหน่อย แน่นอนว่าเวลาเองก็ด้วย

พวกเราก็เลยไปต่อกันที่เกมเซนเตอร์ที่พิมอยากจะเล่น

ทั้งเกมเต้น เกมชู๊ตบาส ตกปลา แล้วก็เกมยิง ยัยนั่นเล่นแทบจะหมดทุกอย่างที่มีเลย

ทั้งที่เมื่อวานซืนก็เล่นไปเยอะแล้วแท้ ๆ นะ

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมพิมถึงสนุกขนาดนี้

เพราะเธอถือตัวเองว่าเป็นลูกคุณหนู ถึงได้ระวังกิริยาตัวเองให้ดูเรียบร้อยอยู่ตลอดต่อให้อยู่กับเพื่อนร่วมชั้นก็ตาม

คงจะว่าอะไรไม่ได้ด้วย เพราะว่าเธอถูกสอนมาให้ทำแบบนั้นนี่นะ

มีแค่ตอนที่อยู่กับเราล่ะมั้ง ที่ไม่ต้องระวังเรื่องกิริยาท่าทางแล้วเล่นสนุกได้อย่างเต็มที่แบบนี้

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันก็ดีใจอยู่ล่ะนะ…

การเป็นคนเดียวที่ได้เห็นรอยยิ้มจริง ๆ ของพิมแบบนี้น่ะ

❖❖❖❖❖

เพราะใช้เวลาในเกมเซนเตอร์ด้วยกันนานมาก หลังจากเล่นจบเลยเป็นเวลาสี่โมงครึ่งเศษ หากจับเวลาตั้งแต่เริ่มเดททั้งคู่ก็ใช้เวลาด้วยกันไปถึง 7 ชั่วโมงทีเดียว

นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเลิกรา เพราะมันนานเกินไปมากแม้เทียบกับการไปเที่ยวด้วยกันหนก่อน ๆ

แต่ทั้งสองคนกลับไม่รู้สึกว่ามันนานเลยสักนิด และซ้ำดีคือไม่ว่าจะฝ่ายทัตหรือพิมต่างก็ไม่รู้สึกว่าอยากกลับเลย

ขออยู่ต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน… ทั้งสองต่างก็คิดแบบนั้นและภาวนาให้เวลามันเดินช้าลง แต่ความปรารถนานั้นช่างสวนทางกับแรงเต้นหัวใจที่กำลังสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นปิติเสียเหลือเกิน

“แล้วนี่เราจะไปไหนกันต่อดีล่ะ?” พิมจึงยิ้มออกมาอย่างสบายใจเฉิบแถมยังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขนาดนี้ คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่ที่เธอคิดอยากจะกลับบ้าน

“…ไปซื้อของที่ระลึกก่อนกลับสักหน่อยไหมล่ะ”

ทัตเสนอแบบนั้นพิมก็ทำเสียงลมออกจมูกดัง หืม… ด้วยความประหลาดใจ

ทั้งเพราะเขาตอบทันทีเหมือนกับคิดไว้แล้ว และเพราะมันเป็นสิ่งที่ทัตไม่เคยให้ความสนใจก็ด้วย

ร้านกิฟต์ช๊อปชื่อดังอันเป็นเป้าหมายเองก็ตั้งอยู่ในชั้นเดียวกัน ทัตกับพิมใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึง

พอเดินเข้าไป สิ่งแรกที่พบคือเครื่องประดับจำพวกสร้อยคอ สร้อยข้อมือตั้งเรียงรายหน้าร้าน ตามมาด้วยของใช้ที่กำลังนิยมบนอินเทอร์เน็ต

“โอ๊ะ! ไอ้นี่มันตุ๊กตา ‘น้องแมวหน้าเบื่อ’ ที่กำลังดังอยู่นี่นา” ตัวอย่างง่าย ๆ ที่เห็นได้ชัดคือตุ๊กตาที่พิมทำตาเป็นประกายในทันทีที่เห็น

มันเป็นตุ๊กตาแมวที่มีขนาดใหญ่เอาการ คาดเดาได้ว่าคงใช้สำหรับเป็นหมอนข้างหรือวางประดับในห้องของเด็กผู้หญิง

เพียงแต่จุดที่ทำให้รู้สึกประหลาดคือดวงตาปลาตายของเจ้าแมวเหมียวแต่ก็ยังดูน่าหงุดหงิดจนอยากอัดสักป๊าปของมันนี่แหล่ะที่ทัตหาจุดชอบมันไม่ลง

“แมวแบบนี้เนี่ยนะน่ารัก” ทัตที่ไม่เห็นว่ามันน่ารักเลยได้แต่ยิ้มแห้งออกมา แต่พิมก็ถลึงตาใส่ในทันทีที่เขาบ่นแบบนั้น

“พูดอะไรของนายเนี่ย เพราะแบบนั้นแหล่ะมันเลยน่ารักน่ะ!”

“จริงดิ? ไม่เห็นเข้าใจเลย” กับพิมที่ค้านเสียงแข็งแถมยังทำแก้มป่องใส่ ทัตเอียงคอสงสัยกลับยิ่งทำให้แก้มของพิมพองลมโตกว่าเดิม

“ใช่น่ะสิ! แต่ที่สำคัญ… หน้าตากวน ๆ ของมันก็เหมือนกับใครสักคนด้วยนะ”

กระทั่งเธอหยิบมันออกมาจากชั้นวาง แล้วเริ่มมองสลับระหว่างหน้าตุ๊กตาแมวกับหน้าของทัต

“เฮ้ย… นี่แอบด่ากันใช่ไหม”

“เปล่าสักหน่อย!”

กับทัตที่รู้ทัน พิมก็ยังเฉไฉทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แถมยังแลบลิ้นใส่กลบเกลื่อน

ถึงจะน่าหงุดหงิด มันก็ทำให้ทัตเข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่ไม่ได้ยึดติดกับกระแสนิยมอย่างพิมถึงชอบเจ้าตุ๊กตาหน้าตาแปลก ๆ แบบนี้

แต่ถึงแม้จะดีใจที่พิมชอบตุ๊กตาแปลก ๆ เพราะมันเหมือนกับเขาแค่ไหน หนนี้ทัตกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอีกครั้งจนเป็นที่ขบขันของพิมอีกตามเคย

“แต่ถ้าอยากได้ ฉันซื้อให้ไหมล่ะ”

ไม่ว่าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้จะเป็นยังไง แต่ถ้าพิมอยากได้เขาก็อยากจะซื้อให้

“…ฉันไม่อยากได้อะไรจากนายหรอก ของพวกนี้ฉันซื้อเองได้หมดแหล่ะ” แต่ทางพิมดูเหมือนจะไม่อยากให้ทัตลำบาก

ในขณะเดียวกันคำปฏิเสธของเธอก็ยิ่งทำให้ทัตดื้อดึง

“แต่บางครั้ง คุณค่าของสิ่งของมันก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์กับคนที่ซื้อให้มากกว่าราคานะ”

“คุณค่าทางจิตใจสิน้า งั้นก็คงจริงแหล่ะ”

พิมพยักหน้ายอมรับเพราะเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ หรืออย่างน้อยเธอก็คิดแบบเดียวกับทัต

เพราะถ้ามองว่ามันเป็นของที่คนสำคัญซื้อให้ ต่อให้เป็นของชิ้นเดียวกันที่ซื้อมาเองหรือได้รับมาจากคนอื่น ระดับความหวงแหนย่อมต่างกันมากอย่างแน่นอน

…แต่การพูดถึงประเด็นดังกล่าว มันก็ทำให้พิมฉุกคิดอะไรได้ขึ้นมา เธอถึงค่อย ๆ เลื่อนสายตาที่มองตุ๊กตาไปมองที่ทัตแทน แถมยังจ้องจี่อีกต่างหาก

“หรือว่า… นี่นายจะอดข้าวเพื่อซื้อของขวัญให้ฉันเหรอ?” ในที่สุดพิมก็เหมือนจะอ่านความตั้งใจแรกของทัตออกเสียที

แต่แทนที่จะทำให้ดีใจอย่างเปี่ยมล้น นั่นกลับทำให้พิมไม่สบอารมณ์แทนด้วยเรื่องที่ทัตใช้เงินไปจนเกือบหมดเพื่อปรนเปรอเธอ

จะเซนส์ดีไปไหนกันเนี่ย… ทัตถึงกับเหงื่อตกเมื่อถูกพิมรู้ถึงสิ่งที่จะทำ

แต่เขาเองก็ไม่ยอมล้มเลิกความพยายามเหมือนกัน

“อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องใหญ่สิ นี่เป็นเงินส่วนที่ตัดค่าข้าวออกไปแล้ว แถมพรุ่งนี้เงินฉันก็เข้าแล้วด้วย”

พิมรู้เรื่องนั้นเพราะเห็นทัตจ้องสังเกตเธอมาตั้งแต่เข้าร้าน เธอพอจะเดาได้แล้วว่าทัตพยายามจับสังเกตว่าอะไรเป็นของที่เธออยากได้ โดยการจะซื้อของเหล่านั้นได้จำเป็นต้องเตรียมเงินเผื่อไว้ค่อนข้างมากพอดู พิมจึงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมทัตต้องยอมกินมื้อเที่ยงถูก ๆ

รู้แบบนั้นแล้วมีหรือพิมจะยอมง่าย ๆ เธอถึงยังขมวดคิ้วมองบอกให้รู้ว่าเกรงใจ

ไม่สิ… เธอก็แค่เป็นห่วงกระเป๋าตังค์ของทัตที่เลี้ยงเธอมาทั้งวันแล้วมากกว่า และเธอไม่อยากจะให้ทัตลำบากไปมากกว่านี้อีกแล้ว

…แม้ในความเป็นจริง ทัตจะไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิดก็ตาม

“เธอนี่คิดมากจังเลยนะ” ทัตรู้ดีว่าพิมเป็นห่วงเขาแค่ไหนและรู้ด้วยว่าพอกลายเป็นแบบนี้พิมจะต้องปฏิเสธเสียงแข็งแน่

เขาจึงตั้งใจจะใช้ท่าไม้ตายที่เตรียมมา

“ก็บอกแล้วนี่ ว่าของแบบนี้มันไม่ได้อยู่ที่ราคา แล้วราคามันก็ไม่ได้แพงซะหน่อย”

“อ๊ะ?”

ทัตพูดแล้วก็หยิบตุ๊กตาออกมาจากมือของพิมในจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะโอ้อวดโดยการชูมันให้เห็นใกล้ ๆ ไม่สิ… หลอกล่อให้พิมอยากได้ต่างหาก

“ลองคิดดูสิ… นี่จะเป็นของขวัญชิ้นแรกของฉันในเดทแรกของเราเชียวนะ มันจะกลายเป็นของที่รวมความทรงจำดี ๆ ไว้ขนาดนี้ แล้วยังจะบอกว่าไม่อยากได้อยู่อีกเหรอ?”

ทัตถามย้ำ ทำให้พิมแสดงสีหน้าลำบากใจสุด ๆ ในชีวิตออกมา

มีเสียง งึ้ย! หลุดออกมาจากลำคอของเธอหลายต่อหลายครั้งจากการที่ไม่รู้ว่าจะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองหรือว่าจะให้ความสำคัญกับเงินในกระเป๋าของทัตดี

แต่ใช้เวลาไม่นาน คำตอบมันก็ออกมา

“…วันหลังห้ามทำอย่างนี้อีกนะ ไม่งั้นฉันโกรธจริง ๆ ด้วย” สุดท้ายพิมก็ยอมศิโรราบต่อความความรู้สึกของตัวเองที่อยากจะได้ของขวัญจากคนที่ตัวเองชอบ การใช้น้ำเสียงบ่นอุบเป็นเพียงการแก้เขินเท่านั้น

“เข้าใจแล้วคร้าบ”

ทัตตอบแบบขอไปที เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ได้จริงจัง หรือไม่งั้นก็กำลังดีใจที่พิมยอมให้เขาซื้อของขวัญให้แต่โดยดี และแน่นอนว่าจงใจไม่รับปากเรื่องที่พิมขอด้วย

เพราะสำหรับทัตแล้ว… ถ้ามันเป็นการทำเพื่อพิม ต่อให้เป็นการตระบัดสัตย์เขาก็ต้องยอม

ยิ่งรู้แบบนั้นพิมก็ยิ่งหงุดหงิดถึงได้ทำแก้มป่องใส่ แต่มันก็ให้อารมณ์เหมือนกับแมวน้อยกำลังแยกเขี้ยวขู่มากกว่า ทัตเลยไม่รู้สึกอะไรนอกจากคิดว่าเธอน่ารัก

และถึงพิมจะแสดงท่าทีหงุดหงิดถึงขนาดนั้น… แต่พอเอาเจ้าตุ๊กตาไปจ่ายเงินปุ๊บเธอก็กอดมันไว้แน่นด้วยรอยยิ้มกว้างเลยทีเดียวเชียว

คงลืมเรื่องเมื่อกี้ไปแล้วแหง ๆ… ทัตแอบคิดแบบนั้น และคิดว่าดีแล้วที่เป็นแบบนั้น

ทั้งสองเดินเล่นไปจนถึงหน้าทางเข้าห้างอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวกลับ

เพราะเป็นเวลาห้าโมงครึ่งเข้าไปแล้วสถานการณ์จึงคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับตอนเริ่มแรกไม่มีผิด แตกต่างตรงที่พิมมีของติดไม้ติดมือกลับมาด้วย แถมรอยยิ้มยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจมากกว่าประหม่าเมื่อเทียบกับตอนเช้า

“เห็นชอบขนาดนั้นก็คุ้มแล้วล่ะนะ” ทัตเห็นพิมยิ้มพริ้มในขณะที่กอดเจ้าตุ๊กตาแน่นไม่คิดปล่อยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแซว นั่นถึงทำให้พิมขมวดคิ้วอีกครั้ง

“อือ… อย่ามาล้อกันสิ”

เธอว่าแบบนั้นแล้วก็ทำแก้มป่องก่อนจะฝังคางลงไปกับหน้าของตุ๊กตา ท่าทางเอียงอายของพิมในตอนนี้เหมือนกับแฮมสเตอร์น้อยที่ดูน่ารักน่าชังยิ่งกว่าตุ๊กตาที่เธอกอดอยู่เสียอีก

น่ารักจนทัตรู้สึกอยากจะกอดพิมแทนตุ๊กตาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยทีเดียวเชียว… นั่นถึงทำเอาทัตใจเต้นแรงจนกลัวว่าเธอจะได้ยิน

“นะ นี่จะหมดวันแล้วสินะ เร็วจริง ๆ แฮะ” ทัตก็เลยพยายามบ่ายเบี่ยงไปทางอื่น อุตส่าห์แสดงความเยือกเย็นออกมาตลอดแล้วเขาก็อยากแสดงมันออกมาให้ตลอดรอดฝั่ง

“…อือ นั่นสินะ”

อย่างไรก็ดี คำพูดของทัตทำให้พิมตื่นจากฝันอันแสนหวาน เธอถึงทำหน้าเสียดายออกมาอย่างชัดเจนเมื่อรู้ว่าเดทนี้กำลังจะจบลง

เรื่องนั้นเองก็ทำให้ทัตใจหายตามไปด้วย

“งั้น… อยู่ต่ออีกสักหน่อยไหมล่ะ? ‘เมื่อคืนวาน’ เราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันซะด้วยสิ”

ทัตเสนอแบบนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจกันแค่สองคนสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น

‘รอจนกว่ามอนสเตอร์มันจะปรากฏตัวขึ้นมา เราจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันต่อ’ นั่นคือสิ่งที่ทัตต้องการจะสื่อ เพราะเป็นการดีที่จะให้อีกฝ่ายอยู่ในระยะสายตา เมื่อเทียบกับเมื่อวานที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีไหมแล้วมันน่ากังวลกว่าเยอะ

แม้แต่การให้อีกฝ่ายอยู่กับคนที่แข็งแกร่งพอจะไว้ใจได้ ถึงแบบนั้นมันก็ยังรู้สึกโล่งใจกว่าหากได้เห็นกับตาและคอยอยู่ใกล้ ๆ

พิมเข้าใจเรื่องนั้นเป็นอย่างดีพอ ๆ กับทัต เธอถึงพยักหน้ารับเบา ๆ ด้วยความเอียงอาย

เธอพยายามเอาหน้าจุ่มตุ๊กตาเพื่อหลบทัต แต่ความพยายามปิดบังความรู้สึกดีใจมันยิ่งทำให้ทัตรู้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

กริ๊ง!

“!?”

ระหว่างทัตเสพภาพพิมเขินอายด้วยความเพลิดเพลิน อยู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นขึ้นมาทำให้เขาจำต้องรีบตรวจสอบ

ยิ่งน่าแปลกใจและน่ากังวลเมื่อข้อความถูกส่งเข้ามาผ่านแอพของ ‘เซฟเวอร์’ แถมคนที่ส่งมายังเป็นฝ้ายอีกต่างหาก

“มีอะไรเหรอ?” อาจเพราะแบบนั้นพิมก็เลยใช้น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง

“ฝ้ายส่งข้อความมาน่ะ”

ทัตว่าแบบนั้นแล้วก็ส่งหน้าจอให้พิมดู

‘วันนี้หน่วยของหนูได้รับคำสั่งให้ไปปราบกลุ่มนอกคอกที่ต่างจังหวัด

ดังนั้น รีบไปที่ศูนย์อพยพให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้เลยนะคะ’

นั่นคือข้อความที่ฝ้ายส่งมาพร้อมสติ๊กเกอร์พนมมือขอโทษขอโพย และเข้าใจสาเหตุที่ทัตกังวลได้ในทันที นั่นเพราะกำลังหลักที่แกร่งที่สุดที่เคยเป็นกองหนุนให้จะไม่อยู่ในคืนนี้แล้ว

“หืม… งั้นแปลว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองยาวเลยสิเนี่ย” ในตอนนั้นพิมก็ยิ้มกรุ้มกริ่มมาทางทัตอีก ท่าทางเธอจะไม่ยอมพลาดทุกจังหวะที่สามารถหยอดใส่ทัตเลย

“นั่นคือที่จับใจความได้เหรอเนี่ย ให้ตายสิ”

ทัตถึงกุมขมับ ไม่ใช่จากอาการเหนื่อยใจแต่เป็นจากเนื้อความที่พิมพูดเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

…เพราะไอ้สถานการณ์ที่ว่า ‘อยู่ด้วยกันสองต่อสองในคืนวันสิ้นโลก’ มันก็เป็นเรื่องปกติของทั้งสองคนตั้งแต่เกิดเรื่องอยู่แล้ว หนนี้มันก็แค่กลับไปเป็นเหมือนตอนแรกก็เท่านั้นเอง

“งั้นเราควรไปอยู่แถว ๆ พวกเลเวลน้อยกันดีกว่าไหม” ทัตเสนอแบบนั้น พยายามดึงเรื่องกลับมาเข้าประเด็นจริงจัง

และแน่นอนว่าเรื่องนั้นหมายถึงความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ที่จะปรากฏตัวขึ้นตามความแข็งแกร่งของผู้มีพลัง

เลเวลของทัตในตอนนี้คือ 98 ส่วนของพิมคือ 87 ดังนั้นมอนสเตอร์ที่จะปรากฏตัวขึ้นหลังอาทิตย์ตกดินก็จะมีเลเวลอยู่ที่ 87-98 ด้วยเช่นกัน

ถึงแม้ในตอนนี้มอนสเตอร์จำพวกนั้นจะไม่ใช่ศัตรูที่น่ากังวลมากเท่ากับคนด้วยกันเอง แต่การประมาทมันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักทั้งสองคนเองก็รู้อยู่

“แต่จะให้ไปศูนย์อพยพตอนนี้คงไม่ทันแล้วมั้ง” ทัตเปลี่ยนไปตั้งข้อสังเกตเรื่องระยะทางแล้วก็ถอนหายใจ แต่ทางพิมยังไม่เสียรอยยิ้ม

“เอาน่า ๆ ยังไงในเมืองก็ไม่ได้มีแค่พวกเราไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่เลเวลเฉลี่ยมันคงไม่เกิน 100 หรอก”

พิมเริ่มเป็นฝ่ายเสนอบ้าง และคำพูดของเธอเองก็น่าสนใจเพราะมันทำให้ทัตนึกขึ้นมาได้ว่าในเมืองนี้น่าจะมีพวกของเจสันที่เหลือรอดอยู่ รวมถึงคนที่ไม่อยู่กลุ่มไหนเลยเองก็คงมี ซึ่งคนพวกนั้นเลเวลเฉลี่ยส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่ 50-70 เทียบค่าน้ำหนักแล้ว ต่อให้รวมเลเวลของทัตกับพิมไปค่าเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นไม่มาก

ดังนั้น โดยหลักการแล้วเลเวลของมอนสเตอร์ที่อยู่ในเมืองจึงควรจะอยู่ที่ประมาณ 50-70

“แล้วอีกอย่าง ต่อให้มีตัวน่ากังวลอย่าง ‘Chivalry’ โผล่มา แต่ตัวนายในตอนนี้คงชนะได้อยู่แล้วล่ะมั้ง” พิมพูดแบบนั้นแล้วก็กระโดดจากม้านั่งก่อนวางตุ๊กตาไว้แทน

คำพูดของเธอดูสบาย ๆ ก็จริงแต่เนื้อหาไม่ได้ทำให้วางใจได้เลย

ทั้งพิมทั้งฝ้ายพูดเหมือนกันหมดเลยนะ

คาดหวังกันเกินไปหน่อยแล้ว

ก็จริงที่การมี ‘The One’ ทำให้สเตตัสสูงกว่าคนที่มีเลเวล 100 คนอื่น

‘Chivalry’ ที่เป็นกำแพงกั้นระหว่างคนที่เลเวลสูงกว่า 100 และถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นศัตรูกับคนที่มีเลเวลไม่เกิน 100 จึงไม่น่าจะใช่คู่ต่อสู้เพราะเรามีสเตตัสโดยรวมสูงกว่าก็จริงอยู่

คิดตามปกติมันก็คงเป็นแบบนั้น แต่มันก็ไม่ควรประมาทอยู่ดีรึเปล่า?

หรือเราเป็นคนเดียวที่คิดมากเกินไป? ทัตคิดกังขาแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงนั้นไปเสียทีเดียว

และถึงแม้จะยังมีความกังวลซ่อนอยู่ลึก ๆ แต่เขาก็ยืนขึ้นตามพิมติด ๆ

ไม่ใช่เพราะทั้งสองคนกำลังจะเตรียมตัวกลับจากการเดท

…แต่เป็นเพราะความปกติสุขกำลังจะจบลงในอีกไม่กี่อึดใจต่างหาก

หลังจากที่ยืนขึ้นไม่นาน ท้องฟ้าสีดำครึ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นรัตติกาลสนิท พริบตานั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นในทันทีพร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องแสดงความวุ่นวายของสถานการณ์

เหมือนอย่างที่ทัตกับพิมได้เห็นทุกวัน

“แล้วนี่จะวางของขวัญฉันไว้ตรงนี้เลยเหรอ?” ทัตยิ้มหยอกก่อนจะเหลือบมองไปทางตุ๊กตาบนม้านั่ง และแน่นอนว่านั่นเป็นแค่การแกล้ง

“ก็มันสู้ลำบากนี่นา ที่สำคัญกว่านั้น ตอนนี้ฉันไม่มีอาวุธด้วยเนี่ย”

พิมพูดแล้วก็บิดขี้เกียจก่อนจะยืดแขนวอร์มอัพร่างกาย ยังไงตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็ต้องเป็นการเอาตัวรอด เพราะถ้าเวลามันย้อนกลับมาเดี๋ยวตุ๊กตามันก็กลับมาอยู่ในมือเธอเหมือนเดิมอยู่ดี

บรรยากาศสบาย ๆ ถูกแสดงออกมาจากทั้งสองคน ในขณะที่ประชาชนคนอื่น ๆ เริ่มวิ่งหนีตายกันเข้าไปในห้างบ้าง ออกไปลานจอดรถบ้าง มีแค่ทัตกับพิมเท่านั้นที่ยังใจเย็นอยู่ได้

ทั้งเพราะชินชากับสถานการณ์แบบนี้ และเพราะยังไม่มีมอนสเตอร์ปรากฏตัวออกมาในระยะสายตา

“งั้นเข้าไปยืมมีดในห้างมาใช้ก่อนไหมล่ะ”

“ความคิดดีนี่”

ทัตเสนอแบบนั้นแล้วพิมก็พยักหน้าเห็นด้วยในทันที ตอนนี้ทั้งสองคนกระฉับกระเฉงขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าต่อให้ท่าทีเหมือนกับสบาย ๆ แต่ก็เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอด

ทว่า… ต่อให้คนเราเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นมากแค่ไหน สิ่งที่ไม่คาดคิดมันก็มักจะเกิดขึ้นได้เสมอ

ความหมายของคำว่า ‘อนาคต’ จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหมายรู้ได้ต่อให้คาดการณ์มาดีแค่ไหนก็ตาม

ตู้ม!!!!

ระเบิดที่เกิดขึ้นด้านหน้าของห้างสรรพสินค้าดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยคือสิ่งย้ำเตือนถึงเรื่องนั้น

เสียงที่เกิดขึ้นนั้นดังมากจนทุกคนต้องเหลียวมอง แม้แต่ทัตกับพิมที่ตัดสินใจเข้าไปในห้างยังต้องหันกลับมาตามเสียงนั้นด้วยความสงสัยและระแวดระวัง

สิ่งที่ทัตกับพิมมองเห็นมีเพียงแสงสองจุดเท่านั้นที่ลอดผ่านควันฟุ้ง ทั้งสองคนรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเมื่อสบกับมัน

ยิ่งในตอนที่ฝุ่นจางลงไป… แล้วปรากฏร่างของเกราะมนุษย์สีดำสะท้อนแสงจันทร์นั่งคุกเข่ากับพื้นค่อย ๆ ชนร่างยืนขึ้นอย่างองอาจน่ายำเกรง

ร่างอันสูงใหญ่เกือบ 4 เมตรของมันบดบังจนมองไม่เห็นถนนฝั่งตรงข้าม ออร่าสีดำอมม่วงแดงดูชั่วร้ายปกคลุมทั่วร่างของมันสร้างความพรั่นพรึงให้กับผู้สบสายตา

แต่จุดที่สร้างความหวาดผวาที่สุด คงเป็นโซ่หนาที่พันรอบแขนสองข้างของมัน ทิ้งปลายโซ่ทั้งสองที่ติดคมขวานลากพื้นส่งเสียงแหลมคมราวสัตว์ร้ายแผดเสียง พาลหวาดกลัวจินตนาการถึงตอนที่คมขวานเชือดเฉือนผ่านผิวหนังร่างกายแล้วก็ถูกสะกดด้วยความหวาดกลัว

ขนเองก็ลุกชูชันทั้งตัวโดยไม่ทันได้รู้สึก ราวกับเป็นปฏิกิริยาปกป้องตัวเองของร่างกายบอกกับสมอง

…ว่าให้ ‘หนีไปซะ’

ไอ้ตัวนี้…

บรรยากาศแบบเดียวกับตอนที่ฝ้ายใช้ ‘จิตล่าสังหาร’

ไม่ผิดแน่… ไอ้ตัวนี้แหล่ะ ‘Chivalry’!!!

ทัตคำนึงในใจด้วยความกังวลแต่ไม่จำเป็นต้องยืนยันความคิดตัวเองเป็นหนที่สอง

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

Status: Ongoing
ทัตได้เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาดที่โลกจะเปลี่ยนเป็นเกมเอาตัวรอดจากมอนสเตอร์สุดโหดในตอนกลางคืน เขาจำต้องอัพเลเวลและกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะภัยอันตรายไม่ได้มีเพียงแค่มอนสเตอร์เท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท